ถึงวันนี้ ต้องยอมรับนโยบายเรือธงของรัฐบาล เพื่อไทย นโยบาย“โครงการเติมเงินดิจิทัลให้ประชาชนคนละ10,000บาท ผ่านระบบดิจิทัลวอลเล็ต”ตั้งแต่ยุครัฐบาล นายกฯ“เศรษฐา ทวีสิน”ต้องผจญปัญหารุมคัดค้านมากมาย จนต้องปรับรูปแบบออกมาก็ไม่ตรงปก แถมเลื่อนการแจกเงินหมื่นเฟส1แจกเป็นเงินสด ให้กลุ่มเปราะบาง 14ล้านคน ไม่ใช่ดิจิทัลวอลเล็ต ไม่ตรงปก ตามที่ประกาศไว้ช่วงประโคมหาเสียงเลือกตั้งและที่แถลงนโยบายต่อรัฐสภา
จนถึงมารัฐบาล“นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร”ลุยแจกเงินหมื่นเฟส2ให้ผู้สูงวัยที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ยอด3.02ล้านคน ก็เจอโรคเลื่อน ตั้งใจให้เกิดขึ้นภายในปี2567 สุดท้ายกดแจกได้จริงเมื่อวันที่29 ม.ค.2568 โดยยอดแจกเงินหมื่นทั้ง 2 เฟส อัดเงิน รวมแล้วกว่า152,000 ล้านบาท แต่ยังไร้วี่แววเกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจก่อตัวให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศแต่อย่างใด
รัฐบาล‘อิ๊งค์’ยังเดินหน้าจะแจกเงินหมื่นเฟส3ให้เยาวชน อายุ 16-20ปี อีกกว่า2.7ล้านคน ผ่านระบบดิจิทัลวอลเล็ต ใช้วงเงินกว่า 27,000 ล้านบาท ทั้งๆที่โครงการแจกเงินหมื่นถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากกมายทั้งหลายๆฝ่าย เพราะตั้งแต่ที่รัฐบาล“เพื่อไทย”ที่เป็นแกนนำเริ่มตั้งต้นเดินเครื่องแจกเฟสแรกก็ไม่สามารถก่อให้เกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจได้แค่ลมเป่าหวิวๆ และเมื่อรัฐบาลจะเดินหน้าลุยแจกเฟส3 ก็เกิดปัญหามาตรการภาษีทรัมป์ของสหรัฐฯรุมเจ้าเข้าซ้ำเติมอีก
ก่อนหน้านี้ แจกเงินหมื่นเฟส3 เจอโรคเลื่อน“นายกฯอิ๊งค์”แถลงหลังประชุมครม.เมื่อวันที่ 6 พ.ค.ว่าเรื่องแจกเงินหมื่นเฟส3 ยังไม่เข้าที่ประชุมครม. เพราะสถานการณ์เศรษฐกิจโลกเปลี่ยนไปจึงต้องรวบรวมความคิดเห็นจากทุกหน่วยงานก่อน แต่ยังย้ำว่ารัฐบาลยังไม่ยกเลิกนโยบายนี้
ล่าสุด เมื่อวันอังคารที่ 19 พฤษภาคม นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง แถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่มีนายกฯแพทองธารเป็นประธานโดยระบุว่าที่ประชุมชะลอโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต1.57 แสนล้านบาท เพื่อนำเงินไปกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวม โดยยืนยันอีกครั้งว่า ยังไม่ยกเลิกนโยบายนี้ ขอชะลอไปก่อน จนกว่าสถานการณ์เหมาะสม
สิ่งสำคัญ นายกฯแพทองธารให้สัมภาษณ์เพียงสั้นๆยอมรับว่า ทบทวน ชะลอแจกเงินหมื่นเฟส 3
ไม่ว่าจะเลื่อน หรือ ทบทวนการแจกเงินหมื่น รัฐบาลต้องคิดให้รอบคอบ เพราะนับวันความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลลดลงไปอย่างมาก จากปัญหาปากท้อง ปัญหาเศรษฐกิจโดยรวมแย่อย่างมาก ถึงวันนี้แม้รัฐบาล จะชะลอแจกเงินหมื่นเฟส3 เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศอยู่รอด แต่คงหนีไม่พ้น เนื่องจากการแจกเงินหมื่น เฟส1และเฟส2 ได้กระทำไปแล้ว กลายเป็นเหมือนความผิดสำเร็จแล้ว
เนื่องจากเรื่องดังกล่าวเมื่อวันที่ 25 เมษายน นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ พร้อม นายสมชาย แสวงการ อดีต สว. นายเจษฎ์ โทณะวณิก อดีตที่ปรึกษากรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.)และนายนิติธร ล้ำเหลือ หรือ ทนายนกเขา นักเคลื่อนไหว เข้ายื่นเรื่องต่อป.ป.ช.ขอให้ตรวจสอบการกระทำผิดฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา144 ซึ่งต้องห้าม ไม่ให้ไปตัดงบประมาณ เกี่ยวกับเรื่องของการให้เงินกู้ที่กฎหมายบังคับเอาไว้
โดยนายชาญชัย ระบุว่าที่มายื่นเรื่อง เพราะพบการกระทำความผิดของคณะรัฐมนตรีและกรรมาธิการงบประมาณของ สส.และสว. ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 ประเด็นแรกพบว่าเมื่อผ่านวาระ1ไปแล้ว แต่ครม.ได้มีมติตัดงบประมาณ 35,000 ล้านบาท ที่มีการให้ไปกู้ตามมาตรา 28 ซึ่งเอามาใช้ในกิจกรรมและต้องชดใช้ดอกเบี้ยพร้อมเงินกู้ ทั้งที่ตามรัฐธรรมนูญบัญญัติว่าห้ามมิให้แตะต้องเงินงบประมาณดังกล่าว
ในรัฐธรรมนูญเขียนไว้ว่าให้สส.และ สว.ถอดถอนงบประมาณนี้และยังเป็นครั้งแรกในรัฐธรรมนูญปี60ระบุไว้ว่าแม้แต่ครม.รู้ว่ามีการกระทำ แต่ไม่ยับยั้ง ก็ให้ถอดถอนครม.ทั้งคณะและยังเป็นครั้งแรกที่ให้อำนาจป.ป.ช.ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อถอดถอนครม. สส.และสว. หากเห็นว่าเรื่องดังกล่าวมีมูล อีกทั้งให้เรียกเก็บเงินทั้งหมดที่เอาไปทำเสียหายคืนแก่แผ่นดินภายใน 20 ปี ทั้งหมดนี้ จึงมายื่นให้ป.ป.ช.เพื่อดำเนินการต่อไป
อดีต สว.สมชาย ระบุว่า เรื่องนี้เห็นแล้วว่าการใช้งบประมาณผิดประเภท เป็นเรื่องผิดและเคยตักเตือนมาแล้วว่าขัดรัฐธรรมนูญ จึงมั่นใจว่า จะสามารถเอาผิดได้ แต่ต้องให้ป.ป.ช.เป็นผู้ดำเนินการตามกฎหมาย คิดว่าเรื่องนี้ จะช่วยแก้ปัญหาประเทศเพื่อไม่ให้เสียหายไปมากกว่านี้ เพราะตอนนี้กำลังใกล้จะเข้าสู่การพิจารณางบประมาณปี2569 และการแจกเงินดิจิตอลวอลเล็ต ก็จะมีขึ้นอีก หวังว่าจะทำให้เรื่องนี้หยุดและทำให้ถูกต้อง ส่วนที่ทำผิดไปแล้ว ก็ต้องรับผิดแค่นั้น
นายเจษฎ์ย้ำว่า"ความผิดนี้จะครอบคลุมตั้งแต่ครม.ชุดของนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรีและการกระทำดังกล่าว ยังผลต่อเนื่องมาถึงรัฐบาลของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯแยกเป็น 2 ประเด็น1.การใช้งบประมาณที่ผิด 2.ได้มีโอกาสเข้าไปใช้งบประมาณไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ส่วนสส.ชุดปัจจุบันรวมถึงสว.ชุดปัจจุบันด้วย"
และเรื่องนี้ ถ้า ป.ป.ช.เห็นว่ามีมูล ก็ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ ศาลก็จะเป็นผู้วินิจฉัย าระของป.ป.ช.ไม่ถึงต้องตัดสินเรื่องนี้เลย ถ้าเรื่องนี้มีมูลก็ต้องดำเนินการโดยพลัน ซึ่งการดำเนินการของป.ป.ช.คาดว่าไม่เกิน 1 เดือน ส่วนถ้าส่งศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ศาลมีเวลา 15วัน
ทุกอย่าง ต้องจับตา ป.ป.ช.จะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่อย่างไร ซึ่งจุดเกิดเปลี่ยนทางการเมืองครั้งใหญ่จะเดินเครื่องทันที จะกลายเป็นบรรทัดฐานในการเชือดเอาผิดกับนักการเมืองที่กระทำผิดฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญไม่เพียงครม.รัฐบาล‘อิ๊งค์’ที่โดน แต่ย้อนไปถึง ครม.เศรษฐา ทวีสิน พร้อมยังส่งผลกระทบสส.ทั้งสภา และสว.ชุดปัจจุบันที่จะโดนไปด้วย เรียกว่าม.144 สะเทือนไปทั้งหมด เหมือนสึนามิการเมือง อาจล้มไปทั้งกระดาน
ทีมข่าวแนวหน้า
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี