เชื่อ 13 มิ.ย.การเมืองเปลี่ยน คาดแรงกระเพื่อมเริ่มก่อตัว 22 พ.ค. วันศาลปกครองสูงสุดนัดตัดสินจำนำข้าว ชี้ชะตา"ยิ่งลักษณ์"ชดใช้เงินคืนรัฐ 3.5 หมื่นล้านหรือไม่ ย้ำ"ทักษิณ"ปัญหาของชาติทำลายกระบวนการยุติธรรม ทำบ้านเมืองขาดโปร่งใส
21 พ.ค. 2568 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์รายการประเทศไทยต้องมาก่อน ว่า การเมืองฝ่ายรัฐบาลออกอาการพล่าน ร้อนรน งัดเกมสงครามตัวแทนเชือดเฉือน ไม่ยอมลดราวาศอกให้กัน โดยมีศูนย์กลางปัญหาอยู่ที่ทักษิณ ชินวัตร ที่พยายามแย่งชิงบารมีอำนาจการนำกลับคืนมา
"คาดว่า การเมืองหลัง 22 พ.ค.นี้ จะรุมร้อนแรงขึ้น เมื่อมีผลวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดกรณีให้ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ต้องชดใช้เงิน 3.5 หมื่นล้านที่สร้างความเสียหายในโครงการจำนำข้าวหรือไม่"
นายจตุพร กล่าวว่า ถัดจากนั้นภายในวันที่ 12 มิ.ย.ผลสอบจริยธรรมแพทย์รักษาทักษิณ ชั้น 14 รพ.ตำรวจ ย่อมชัดเจนและครบถ้วนตามกระบวนการกฎหมาย ซึ่งจะนำพาไปสู่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดพร้อมหรือไต่สวนบังคับให้เป็นไปตามหมายจำคุกหรือไม่ ในวันที่ 13 มิ.ย.
“สถานการณ์การเมืองจะกระเพื่อมแรงขึ้น ล้วนมีศูนย์กลางปัญหาอยู่ที่ทักษิณทั้งสิ้น ดังนั้นทักษิณ จึงเป็นปัญหาของชาติและปัญหาของตัวเอง แม้กองเชียร์พยายามประโคมโหมบอกว่า ทักษิณ กลับมาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ แต่สภาพบ้านเมืองขณะนี้เศรษฐกิจปากท้องยิ่งย่ำแย่หนักขึ้นไปอีก”
นายจตุพร ย้ำว่า การกลับมาของทักษิณ สิ่งที่เกิดขึ้นคือการแลกด้วยกระบวนการยุติธรรมที่ถูกทำลายอย่างย่อยยับ แล้วลุกลามให้เกิดความเสียหายในแต่ละกระบวนการขององค์กรต่างๆมาซ้ำเติมอีก และที่สำคัญเกือบ 2 ปี สภาพเศรษฐกิจบ้านเมืองไม่ได้มีอะไรที่ดีขึ้นแล้ว
นอกจากนี้ ยังจะมีสิ่งที่กำลังตามมาใหม่ ทั้งเปิดบ่อนกาสิโน หรือการแบ่งผลประโยชน์พลังงาน 50 ต่อ 50 กับกัมพูชา รวมทั้งจ้องเสนอโครงการให้ต่างชาติซื้อที่ดินอยู่ได้ 99 ปี แล้วลามออกไปกว้างขวางจนถึงแนวคิดออกเงินกู้ G-Token เพื่อซ่อนการทำลายสกุลเงินหลักของประเทศให้เสียหาย
"ทุกอย่างนั้น ไม่ได้สร้างความแข็งแรงให้ประเทศ แต่สร้างความอ่อนแอให้บ้านเมือง ดังนั้น ถ้าทักษิณ ได้ทบทวนตัวเองอย่างช้าๆ แล้ว จะพบว่า ไม่มีใครทำลายโอกาสของทักษิณเลย นอกจากตัวทักษิณทำตัวเอง"
นายจตุพร กล่าวว่า ทักษิณ ประกาศย้ำคำมั่นสัญญาขออนุญาตกลับประเทศเพื่อเลี้ยงหลานเพราะแก่แล้ว กระทั่งถึงถวายฎีกา ซึ่งระบุการยอมรับผิดในคดีทุจริตคอร์รัปชั่น ยอมรับกระบวนการยุติธรรมและสำนึกในการกระทำผิดของตัวเองนั้นแล้ว แม้เมื่อกลับมาแล้ว ไม่ได้ปฎิบัติตามคำมั่นสัญญาตามนั้น โดยไม่ติดคุกสักวันเดียวและไม่ได้อยู่ในสภาพของคนกลับมาเลี้ยงหลาน หรือเป็นคนแก่ป่วยช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อกระบวนการยุติธรรมถูกทำลายแล้ว อาการย้อนแย้งย่อมตามมา เพราะทักษิณ จะใช้ความรู้ความสามารถมารับใช้บ้านเมืองได้อย่างไรกัน ดังนั้นโอกาสที่จะใช้ชีวิตอย่างผาสุขจึงเป็นปัญหาของทักษิณและบ้านเมือง เพราะ 13 มิ.ย.นี้ ศาลฎีกานัดไต่สวนการบังคับรับโทษติดคุกหรือไม่ โดยมีข้อเท็จจริงตามผลสอบชั้น 14 ของแพทยสภารัดเอาผิดทักษิณให้แน่นขึ้น จนโอกาสดิ้นหลุดแทบไม่มีหนทางเลย
"กองเชียร์ฝ่ายกฎหมายพยายามอ้างกฎหมายซึ่งไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง ย่อมเป็นการใช้กฎหมายโดยมิชอบ ดังนั้น ปัญหาของทักษิณคือ จะทำใจเข้าเรือนจำได้หรือไม่ หรือถ้าใจไม่แข็งพอ ก็ต้องคิดแบบเดิมอีก คือหนี”
นายจตุพร เตือนว่า ทุกองค์รัฐที่เกี่ยวข้องกับทักษิณ อย่าได้อ้างกฎหมายไม่ตรงข้อเท็จจริง เพราะจะนำพาไปถึงการทำผิดกฎหมาย ม.157 เข้าข่ายปฎิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติโดยมิชอบ ยิ่งกรมราชทัณฑ์ส่งตัวทักษิณไป รพ.ตำรวจ นั้น เกิดปัญหาว่า ส่งตัวไปภายใต้กฎหมายอะไร เมื่อข้อเท็จของแพทยสภาระบุจนทำให้เข้าใจว่า รายงานป่วยเป็นเท็จ ดังนั้น เมื่อเริ่มโกหกวันแรกเพื่อช่วยทักษิณแล้ว การโกหกซ้ำๆ จึงขยายไปกว้างขวางตามมากันตลอด
"ในวันที่ 13 มิ.ย.ปัญหาคือ ทักษิณจะไปศาลหรือไม่ ถ้าไม่ไปตามหมายศาลแล้ว ศาลสามารถออกหมายจับได้ ซึ่งจะทำให้เหตุการณ์ง่ายๆ ได้ทวีแรงขึ้นตามลำดับ อีกทั้งถัดไปในเดือนกรกฎาคมจะมีการพิจารณาคดี 112 อีก ย่อมยากจะคาดเดาผลการพิจารณาของศาลได้”
ดังนั้น ปัญหาของทักษิณ ย่อมเป็นบทเรียนแสดงว่า อะไรก็ตามที่ไม่ตรงไปตรงมา ก็ไม่ควรทำให้เกิดขึ้น เพราะจะเน้นย้ำถึงการสำแดงตัวตนของตัวเองให้คนไทยได้รู้จักกระจ่างชัดเจนขึ้น ถึงที่สุดแล้วไม่มีใครทำอะไรทักษิณได้ นอกจากตัวทักษิณเอง
นายจตุพร คาดว่า หากทักษิณติดคุก การเมืองจะเปลี่ยนไป หรือถ้าหนีอีกยิ่งทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไปอีกแบบทั้งที่ปัจจุบันรัฐบาลแทบทะเลาะลึกและจ้องกัดหูกันอยู่แล้ว ดังนั้น การแก้ปัญหาของบ้านเมืองต้องไม่ใช่การเพิ่มปัญหาขึ้นมาอีก เพราะยิ่งจะทำให้บ้านเมืองสะสมความเสียหายกันอีกมากมาย
"วันนี้บ้านเมืองไม่ได้ถกเถียงกันว่า อยู่ที่ระบอบการปกครองแบบไหนดีกว่ากัน แต่อยู่ที่ความโปร่งใส ความเชื่อมั่น ถ้าไม่มีสิ่งนี้แล้ว จะเป็นประชาธิปไตยให้ตายก็แค่นั้น ย่อมไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วย”
พร้อมทั้งกล่าวว่า ดูอย่างธุรกิจสหรัฐวันนี้หันไปลงทุนที่เวียดนามกันมากมาย ซึ่งไม่เกี่ยวกับประชาธิปไตยเลย คงเป็นเพราะเชื่อมั่นในความโปร่งใสของประเทศเวียดนามเป็นด้านหลัก ดังนั้น ประเทศไทยต้องมีความคิดเปลี่ยนใหม่ โดยระดมคนเก่ง ดี มีความสามารถมาช่วยกันเสนอทางออกให้บ้านเมืองยึดมั่นในหลักการความโปร่งใสเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้เป็นจริงเป็นจังขึ้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี