วันพฤหัสบดี ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / การเมือง
เปิดเหตุผล!!! ก.ต.ฟัน'ผู้พิพากษา' ไล่ออก 1 ราย-ให้ออก 2 ราย

เปิดเหตุผล!!! ก.ต.ฟัน'ผู้พิพากษา' ไล่ออก 1 ราย-ให้ออก 2 ราย

วันพุธ ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2568, 15.15 น.
Tag : ไล่ออก ตุลาการ ให้ออก กต แนวหน้าออนไลน์ คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม ผิดวินัยร้ายแรง
  •  

เปิดเหตุผล!!! ก.ต.ฟัน"ผู้พิพากษา" ไล่ออก 1 ราย-ให้ออก 2 ราย เหตุ"ถอนหมายจับ-พิพากษาเกินเลย-ให้ประกันไม่ชอบ" พบเงินเข้าบัญชีแจงไม่ได้ ส่ง ป.ป.ช.ดำเนินคดี

เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ที่ผ่านมา นางชนากานต์ ธีรเวชพลกุล ประธานศาลฎีกา เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) ครั้งที่ 13/2568  มีวาระที่น่าสนใจคือ การพิจารณาผลการสอบสวนวินัยลงโทษผู้พิพากษา จำนวน 3 ราย


โดยผู้พิพากษารายแรก ก.ต.ได้พิจารณารายงานผลการสอบสวนข้าราชการตุลาการ 1 ราย กรณีมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมไม่สุภาพ ไม่สำรวมกิริยามารยาท และเข้าไปก้าวก่ายแทรกแชงการพิจารณาพิพากษาคดีของข้าราชการตุลาการอื่น อันเป็นการไม่ถือและปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนและประเพณีปฏิบัติของราชการ และจริยธรรมของข้าราชการตลาการกรณีเป็นความผิดวินัยร้ายแรง เห็นควรให้ออกจากราชการ

ส่วนผู้พิพากษารายที่ 2 พิจารณารายงานผลการสอบสวนข้าราชการตุลาการ 1 ราย กรณีเป็นผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนทำคำพิพากษาโดยกล่าวถึงบุคคลภายนอกที่ไม่ไม่ใช่คู่ความ และไม่ได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยว่ามิได้กระทำความผิดโดยไม่ปรึกษาและแจ้งให้องค์คณะและผู้บริหารทราบ เป็นเหตุให้มีการนำคำคำพิพากษาส่วนดังกล่าวไปไช้ประโยชน์โดยมิชอบ อันเป็นความผิดวินัยร้ายแรง เห็นควรให้ออกจากราชการ

สำหรับผู้พิพากษารายที่ 3 พิจารณารายงานผลการสอบสวนข้าราชการตุลาการ 1 ราย กรณีมีพฤติการณ์เป็นที่สงสัยว่ากระทำผิดวินัย ร่วมรู้เห็นเรื่องการขอแลกเปลี่ยนเวร และร่วมขบวนการเกี่ยวกับการยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งปล่อยชั่วคราวโดยมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวขัดต่อกฎหมายอันเป็นดุลพินิจที่ไม่ชอบ และไม่ถือปฏิบัติตามระเบียบแบบแผน และประเพณีปฏิบัติของราชการ และจริยธรรรมขอข้าราชการตุลาการ เป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง เห็นควรไล่ออกจากราชการ และมีมติเอกฉันท์ให้ส่งเรื่องแก่คณะกรรมการ ป.ป.ช.เพื่อดำเนินการต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับตุลาการรายแรกนั้น เป็นเหตุการณ์สมัยที่ผู้พิพากษาที่โดนลงโทษเป็นอดีตรองอธิบดีในศาลขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ ที่เคยถูกร้องให้สอบสวนทางวินัย กรณีแทรกแซงเพิกถอนหมายจับ สว.คนดัง

จากมูลเหตุ เดิมคดีนี้เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2565 สารวัตรสืบสวน สน.แห่งหนึ่ง ได้เดินทางไปยื่นคำร้องต่อศาลอาญาเพื่อขอออกหมายจับอดีต สว.ในข้อหาสมคบคิดกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและฟอกเงิน โดยมีพยานหลักฐานจากสืบสวนและการสอบปากคำผู้ต้องหาและเอกสารที่เกี่ยวข้อง เชื่อมโยงว่ามีการทำธุรกรรมผ่านบริษัทที่ สว.เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติดและฟอกเงินของนักธุรกิจชาวเมียนมา แต่ในวันเดียวกันกับที่ศาลอนุมัติหมายจับ สารวัตรสืบสวนคนดังกล่าวได้รับการติดต่อจากเจ้าหน้าที่ศาลให้นำหมายจับและเอกสารที่เกี่ยวข้องไปพบ รองอธิบดีผู้พิพากษาคนดังกล่าวซึ่งภายหลังมีคำสั่งให้เพิกถอนหมายจับ โดยอ้างว่า สว.คนดัง เป็น "บุคคลสำคัญ" และไม่มีพฤติการณ์หลบหนี

ต่อมา สารวัตรสืบสวนคนดังกล่าวจึงได้ร้องเรียนต่อคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) รวมถึงยังมี สส.ยังได้ยื่นหนังสือถึง ก.ต.เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2566 เพื่อขอให้ตรวจสอบการเพิกถอนหมายจับดังกล่าว จน ก.ต.มีการตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง เสนอมายังอนุกรรมการตุลาการ (อ.ก.ต.) กลั่นกรองทำความเห็นเสนอ ก.ต.

ทั้งนี้ คณะอนุ ก.ต.มีมติเห็นควรว่า ผิดวินัยไม่ร้ายแรงเสนอไปยัง ก.ต.ให้พิจารณาลดขั้นเงินเดือน 2 ปี แต่ก.ต.พิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นเรื่องการแทรกแซงและเป็นวินัยร้ายแรง จนสุดท้ายมีมติตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง

โดยมีรายงานว่า เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2567 ภายหลัง ก.ต.ตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง ก็ได้ประชุมพิจารณาว่าจะสั่งพักราชการผู้พิพากษารายดังกล่าวหรือไม่ และ ก.ต.มีมติ 8 ต่อ 7 เสียง ไม่สั่งพักราชการรองอธิบดีผู้พิพากษา

จนล่าสุด ก.ต.มีมติให้ลงโทษให้ออกผู้พิพากษาระดับรองอธิบดีศาลคนดังกล่าว เนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องในการแทรกแซงการถอนหมายจับ สว.คนดังในคดีฟอกเงินและยาเสพติด

อย่างไรก็ตาม ในคดีอาญา เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2567 ศาลอาญาได้พิพากษายกฟ้อง นักธุรกิจชาวเมียนมา และพวก รวม 5 คน ฐานสมคบค้ายาเสพติดและฟอกเงิน โดยศาลชี้ว่าพยานหลักฐานของโจทก์ไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องทุกข้อหา และพยานหลักฐานฝ่ายจำเลยสามารถหักล้างได้ทั้งหมด แต่ในส่วนคดีของ สว.ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล โดยอัยการได้ยื่นฟ้องใน 6 ข้อหา ได้แก่ ฟอกเงินและสมคบค้ายาเสพติด ซึ่ง สว.คนดังให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา

สำหรับรายที่ 2 ผู้พิพากษาที่โดนลงโทษเป็นผู้พิพากษารุ่นเดียวกับคนแรก ซึ่งเป็นคดีที่มีการทำคำพิพากษาเกี่ยวพันกับคดีค้ามนุษย์อาบอบนวดวิคตอเรียซีเครท เอื้อประโยชน์ให้ นายกำพล วิระเทพสุภรณ์ เจ้าของ และครอบครัวนำไปร้องขอความเป็นธรรม จนอัยการสั่งไม่ฟ้องลูกเมีย

ซึ่งในช่วงปี 2566 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองชื่อดัง และเจ้าของอาบอบนวดชื่อดัง เดินทางมายื่นหนังสือร้องเรียนขอให้ตรวจสอบคำสั่งไม่ฟ้อง นายธนพล และนางนิภา วิระเทพสุภรณ์ ลูกและภรรยาของนายกำพล ทำให้ความปรากฏ และจนมีการเสนอเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของ ก.ต.

ทั้งนี้ เมื่อครั้ง รองอัยการสูงสุดในสมัย นายเข็มชัย ชุติวงศ์ เป็นอัยการสูงสุด มีการสั่งตามร้องขอความเป็นธรรมของกลุ่มผู้ต้องหานายกำพล และลูกเมีย ซึ่งรอง อสส.คนนั้นพิจารณาแล้วเห็นด้วยกับคำร้องขอความเป็นธรรมว่า เดิมก่อนหน้านี้ทางพนักงานอัยการมีคำสั่งฟ้องนายกำพล ภรรยา ลูก และลูกน้องของนายกำพล แต่ในส่วนนายกำพล ภรรยา และลูก หลบหนีออกนอกประเทศ อัยการจึงได้ตัวฟ้องแค่เฉพาะลูกน้อง ซึ่งในการทำคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ในคดีที่ลูกน้องนายกำพลถูกอัยการฟ้อง ผู้พิพากษาท่านนี้มีการทำคำพิพากษาไปในส่วนพฤติการณ์ของนายกำพล และนางนิภา ภรรยา ว่าไม่มีความผิด โดยระบุว่านางนิภา เป็นแค่คนคุมบัญชี ไม่ได้เป็นคนคัดเลือกพนักงานเข้าไปในตู้ จึงไม่ทราบว่าเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ในส่วนนายกำพลเป็นเจ้าของไม่ได้เป็นคนคัดเด็กเอง นานๆ จะเข้ามาสถานที่

ซึ่งคำพิพากษาดังกล่าวเป็นคำพิพากษาที่พาดพิงเลยไปถึงจำเลยที่อัยการสั่งฟ้องไว้แล้วแต่ยังไม่ได้เอาตัวมาฟ้อง ทางฝั่งนายกำพล และภรรยา จึงใช้โอกาสนี้ร้องขอความเป็นธรรมว่ามีพยานเบิกความ จนศาลพิพากษาแล้วว่าไม่ได้กระทำผิด จนเป็นเป็นเหตุให้มีการเปลี่ยนแปลงคำสั่งฟ้องโดย รอง อสส.คนดังกล่าว เป็นมีคำสั่งไม่ฟ้องนายธนพล และนางนิภา ซึ่งเป็นภรรยา และลูกของนายกำพล แต่ในส่วนของนายกำพลยังยืนคำสั่งฟ้องเดิมของอัยการสูงสุด

จนต่อมานายชูวิทย์ได้ร้องต่ออัยการสูงสุดจนความปรากฏต่อสาธารณชน และเมื่อ ก.ต.มีการหยิบยกขึ้นมาพิจารณา โดยตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง และตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงตามลำดับเสนอ อ.ก.ต.กลั่นกรองไปยัง ก.ต.พิจารณาแล้วเห็นตรงกันว่าพฤติการณ์ผิดวินัยร้ายแรง จึงลงโทษให้ออกจากราชการ

สำหรับรายที่ 3 เป็นผู้พิพากษาระดับสูงในศาลอุทธรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการมีคำสั่งประกันตัว ขัดต่อกฎหมายโดยใช้ดุลพินิจไม่ชอบใน 3 คดี โดยคดีแรกเป็นเรื่องประกันตัวเกี่ยวกับคดีกลุ่มของ นายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือ "ตู้ห่าว" กับพวกที่เกี่ยวข้องกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ยาเสพติด และฟอกเงิน

ส่วนคดีที่ 2 - 3 เป็นเรื่องการให้ประกันตัวคดีเว็บพนัน โดยพฤติการณ์มีการนัดแนะกับผู้จ่ายสำนวนและแลกเปลี่ยนเวรเพื่อไปสั่งประกัน โดยมีความเชื่อมโยงกับผู้พิพากษาในศาลอุทธรณ์ด้วยกันที่ฆ่าตัวตายเมื่อช่วงปี 2566

โดยจากการสอบสวนพบว่า มีเส้นทางการเงินเข้าบัญชี 5 บัญชี ของผู้พิากษาศาลอุทธรณ์รายนี้ 4 ล้านกว่าบาท โดยเป็นการทยอยโอนเข้าบัญชีหลักแสนบาทในช่วง 2 ปี ซึ่งเจ้าตัวชี้แจงได้ไม่สมเหตุสมผล โดยคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง คณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง อ.ก.ต.และ ก.ต.พิจารณาแล้วเห็นว่าผิดวินัยร้ายแรง จึงลงโทษไล่ออกจากราชการ และส่ง ป.ป.ช.ดำเนินคดีอาญา เนื่องจากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการประกันตัว และอาจจะมีผลประโยชน์ตามกฎหมาย จะต้องส่ง ป.ป.ช.พิจารณาสอบสวนตามขั้นตอนต่อไป

สำหรับที่มีการตั้งข้อสังเกตุว่าวันเดียวกันมีการประชุมเกี่ยวกับการลงโทษวินัยผู้พิพากษาถึง 3 ราย เนื่องจากที่ประชุม ก.ต.มีการพิจารณาวาระอื่นเสร็จสิ้น นางชนากานต์ ประธานศาลฎีกา จึงได้บรรจุวาระทั้งสามเรื่องนี้ต่อเลย ถือเป็นเรื่องปกติในการบริหารงาน ก.ต.ที่มีปริมาณมาก (ข่าวที่เกี่ยวข้อง : ก.ต. ฟัน 3 ผู้พิพากษา ให้ออกจากราชการ ฐานผิดวินัยร้ายแรง แทรกแซงคดี)

- 006

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • \'ปลอดประสพ\'ท้อ!! โพสต์ฟ้องปชช.ขอแรงบี้ ‘ผู้ว่าฯ สตง.’หลังชิ่งแจงกมธ. 4 ครั้งแล้ว 'ปลอดประสพ'ท้อ!! โพสต์ฟ้องปชช.ขอแรงบี้ ‘ผู้ว่าฯ สตง.’หลังชิ่งแจงกมธ. 4 ครั้งแล้ว
  • ‘อนุทิน​‘ ติดตามโครงการป้องกันน้ำท่วม ‘ชุมชนเสนา - สามกอ’ เมืองกรุงเก่า ‘อนุทิน​‘ ติดตามโครงการป้องกันน้ำท่วม ‘ชุมชนเสนา - สามกอ’ เมืองกรุงเก่า
  • จี้ยกเลิก\'วิน Grab\' กลุ่ม\'แท็กซี่\'ขู่ยกระดับ!ปิดทางเข้า-ออก\'สุวรรณภูมิ\' จี้ยกเลิก'วิน Grab' กลุ่ม'แท็กซี่'ขู่ยกระดับ!ปิดทางเข้า-ออก'สุวรรณภูมิ'
  • รับโทษ-ใช้หนี้คืนแผ่นดิน! \'สมชาย\'จับตาศาลชี้ขาด\'ยิ่งลักษณ์\'คดีจำนำข้าว รับโทษ-ใช้หนี้คืนแผ่นดิน! 'สมชาย'จับตาศาลชี้ขาด'ยิ่งลักษณ์'คดีจำนำข้าว
  • \'ประเสริฐ\'อ้างสถานการณ์โลกเปลี่ยนทำชะลอเงินหมื่นเฟส 3 เชื่อปชช.เข้าใจ 'ประเสริฐ'อ้างสถานการณ์โลกเปลี่ยนทำชะลอเงินหมื่นเฟส 3 เชื่อปชช.เข้าใจ
  • ​‘มท.1’ยันต้องเตรียมแผนรับมือ‘น้ำท่วม’ ชี้โยก 1.57 แสนล.แค่ส่วนหนึ่งแก้ปัญหาน้ำ ​‘มท.1’ยันต้องเตรียมแผนรับมือ‘น้ำท่วม’ ชี้โยก 1.57 แสนล.แค่ส่วนหนึ่งแก้ปัญหาน้ำ
  •  

Breaking News

บุรีรัมย์โกงตาย! แม่นโทษโค่นเวียดนามคว้าแขมป์อาเซียน

'เพิ่มพูน'ดันนำ'ดิจิทัล-AI'พัฒนาคุณภาพการศึกษาไทย

เข้าถึงยากขึ้น! 'สมศักดิ์'เล็งใช้ใบรับรองแพทย์ก่อนใช้'กัญชา'

'DSI'จับกุมตัวผู้ต้องหาฟอกเงินเว็บพนันออนไลน์

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นที่เกียวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2017 Naewna.com All right reserved