การเลือกตั้งทั่วไปปี 2566 พรรคเพื่อไทยกลับเข้าสู่อำนาจพร้อมความคาดหวังมหาศาลจากประชาชน โดยเฉพาะในด้าน“เศรษฐกิจ”และ“ปากท้อง”ซึ่งเป็นจุดแข็งของพรรคเพื่อไทยในการหาเสียงด้วยนโยบายเศรษฐกิจที่ดูหวือหวา เช่น“แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท,”“พักหนี้ 3 ปี,” “ค่าแรงขั้นต่ำ 600บาท”ซึ่งสร้างความหวังอย่างแรงกล้าในหมู่ชนชั้นแรงงาน เกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อย
เมื่อเวลาผ่านไปกว่า 2 ปี ความเป็นจริงกลับเผยให้เห็น“ความล้มเหลวเชิงระบบ”การเปลี่ยนนโยบายเป็นการปฏิบัติ ทำให้เกิดคำถามถึงขีดความสามารถทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยว่า หมดความน่าเชื่อถือ และความศรัทธาในการแนวทางการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจลดลงอย่างมาก
นโยบายไม่มีกลไกและไม่มีความชัดเจน อย่าง“เงินดิจิทัล 10,000บาท”ถูกมองว่าเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในเชิงมหภาค เกิดความล่าช้า โดยมีคัดค้านจากหลายฝ่าย แต่รัฐบาลก็ยังเดินหน้าทำได้ สามารถแจกเงินหมื่นไปถึง2เฟส แต่ไม่ได้สร้างให้เกิดพายุเศรษฐกิจลูกใหญ่อะไรไปกระตุ้นเศรษฐกิจ...และสุดท้ายรัฐบาล‘แพทองธาร’ได้ชะลอโครงการเฟส3 ไปก่อน อ้างรอโอกาสที่เหมาะสมอีกที โดยเอางบ 1.57 แสนล้านบาทปรับไปกระตุ้นเศรษฐกิจใน 4 โครงการแทน จากนี้ไปจะต้องจับตาตรวจสอบการใช้งบส่วนนี้ให้ดีๆ เป็นห่วงการจัดสรรมีความโปร่งใสหรือไม่
ขณะที่นโยบายเร่งด่วนที่ควรทำ ได้ทันที เช่นการช่วยเหลือราคาพืชผลทางการเกษตร ค่าแรงหรือ การลดต้นทุนชีวิต กลับถูกทอดทิ้ง หรือทำแบบเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น
จุดนี้สะท้อนถึง“ความไม่พร้อม”ของทีมเศรษฐกิจของพรรคและรัฐบาล‘แพทองธาร’ที่ไม่สามารถสร้างกลไกเชิงบริหาร เพื่อรองรับนโยบายได้ทันการณ์ อีกทั้งยังติดกับดัก“นโยบายประชานิยมเชิงวาทกรรม”มากกว่าการออกแบบเชิงโครงสร้าง ซึ่งไม่นำไปสู่ผลอย่างเป็นรูปธรรม ตรงกับความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง
หลังการจัดตั้งรัฐบาลผสมของพรรคเพื่อไทยกับพรรคคู่แข่ง อย่าง พรรคภูมิใจไทย พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคประชาธิปัตย์ ทำให้พรรคเพื่อไทยต้องยอมกลืนเลือดแลกนโยบายหลายประการ เพื่อความอยู่รอดทางการเมือง นำไปสู่การแต่งตั้งรัฐมนตรีที่ไม่ตอบโจทย์ ความเชี่ยวชาญ ยอมประนีประนอมกับโควตาพรรคร่วม และแม้ในโควตาตนเอง ก็ยังมีการแบ่งขั้วอำนาจระหว่าง “กลุ่มบ้านใหญ่” กับ“กลุ่มเพื่อไทยใหม่”ซึ่งส่งผลต่อการประสานเชิงนโยบาย และผลประโยชน์กันอย่างชัดเจน จนมีกระแสการปรับ ครม.ภายในพรรคเพื่อไทยอย่างต่อเนื่องตามวงรอบพรรคซึ่งเป็นปกติ เพื่อสลับเปลี่ยนหมุนเวียนเข้ามาเป็นรัฐมนตรี
ความไม่เป็นเอกภาพนี้ส่งผลทำให้หลายกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับปากท้องเช่นกระทรวงเกษตรฯ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน ยังขาดเอกภาพในการทำงานและไม่สามารถออกมาตรการแก้ไขปัญหาที่ส่งผลจริงต่อชีวิตความเป็นอยู่ประชาชนและภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงโดยรวมได้
ในอดีตจุดแข็งของพรรคเพื่อไทยในยุคพรรคไทยรักไทยและพลังประชาชนคือ“ความเชี่ยวชาญด้านนโยบายเศรษฐกิจแบบรากหญ้า”ที่แม้จะถูกวิจารณ์ว่าเป็น”ประชานิยม”แต่ก็“ใช้ได้จริง”ในทางปฏิบัติไม่ว่าจะเป็น 30บาทรักษาทุกโรค ที่ปรับมาเป็น 30บาทรักษาทุกที่ กองทุนหมู่บ้านหรือสินเชื่อ OTOP ทุกอย่างเหมือนกินบุญเก่า ที่นำมาปัดฝุ่นใช้อีกครั้ง ไม่มีนโยบายใหม่อะไรที่ประชาชนจดจำแล้ว
ในยุครัฐบาล‘แพทองธาร’จุดแข็งนี้กลับเลือนรางลงไปอย่างมาก แม้พรรคเพื่อไทยพยายามปรับภาพลักษณ์ให้เป็น“พรรคของคนรุ่นใหม่”และคนในเมือง โดยเดินหน้าเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วมกับพรรคให้มากขึ้น แต่ ณ วันนี้กลับเสียได้ฐานรากในชนบทที่เคยเป็นหัวใจหลักไปแล้ว เพราะไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่สัมผัสหรือจับต้องได้ ทั้งในเรื่องรายได้ ตรงกันข้าม ค่าครองชีพกลับพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนเงินในกระเป๋าแทบไม่มีจ่าย ทุกวันนี้สภาพคล่องเงินหมุนเวียนในตลาดหายไปหมด เพราะคนไม่กล้าที่จะจับจ่ายซื้อของกันแล้ว
จนถึงขณะนี้หากเศรษฐกิจระดับครัวเรือน ก็ยังไม่ดีขึ้นภายในปี 2568 พรรคเพื่อไทยจะยิ่งเผชิญกับแรงเสียดทานจากประชาชนที่เคยสนับสนุนอย่างแน่นอน โดยเฉพาะกลุ่มรากหญ้า กลุ่มเกษตรกรทุกภาคส่วนและคนทำงานนอกระบบ ที่กำลังรู้สึกว่าความหวังที่พวกเขาเคยมอบให้ถูก“เปลี่ยนเป็นความผิดหวัง”เพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาผลผลิตทางการเกษตรทุกประเภทยังตกต่ำต่อเนื่อง รัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาให้ชัดเจนได้
หากยังบริหารประเทศในลักษณะ“พ่อคิด ลูกทำ”กลายเป็นแค่“รัฐบาลหุ่นเชิด”นับเวลายิ่งเสื่อมถอยลงไปต่อเนื่อง เนื่องจากยังไม่มีนโยบายอะไรที่จะสร้างความเชื่อมั่นต่อการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและปากท้องประชาชนได้ ขณะที่ปัญหาวิกฤติความเดือดร้อนต่างๆก็เพิ่มขึ้น ใกล้เข้าสู่การ‘เผาจริง’แล้ว หากจะรอเม็ดเงินก้อนใหญ่จากงบประมาณปี 69 รวมถึงงบ 1.57แสนล้าน ที่จะอัดลงไป หวังกระตุ้นเศรษฐกิจหรือแค่ปูพรมหวังผลแค่ทางการเมืองอย่างเดียว ซึ่งทุกอย่างอาจสายเกินไปไม่ทันการณ์ ความเดือดร้อนยิ่งลุกลามผลกระทบไปทั่ว
และถ้าพรรคเพื่อไทยยังไม่สามารถเร่งปรับครม.ทีมเศรษฐกิจและจัดการโครงสร้างภายในรัฐบาลชุดนี้ให้ทำงานแบบ“มืออาชีพ”ได้ทันเวลาแล้ว ก็ถือว่า หมดปัญญาในการแก้ไขวิกฤติเศรษฐกิจและปากท้องได้ ก็ควรพิจารณาตัวเอง อย่าให้คนไทยต้องเดือดร้อนลำบากมากไปกว่านี้เลย หรือจะรอให้คนทนไม่ไหวออกมาขับไล่
เพราะความล้มเหลวของรัฐบาลเพื่อไทย ในการแก้วิกฤติเศรษฐกิจและปากท้องแล้วจะสูญเสียความนิยมกระทบในการเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไปแล้ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี