วันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ.2568 นี้ ต้องถือว่าเป็นวันที่สำคัญมากวันหนึ่งของแพทยสภา เป็นวันที่จะต้องถูกบันทึกไว้ในประวัติการดำเนินงานของแพทยสภา อันเป็นสภาวิชาชีพของ
ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม คือแพทย์ ซึ่งก่อตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2511 ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ได้ทรงให้ไว้เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2511
ที่กล่าวไว้ว่า เป็นวันสำคัญก็เนื่องจากว่าจะเป็นวันที่มติของคณะกรรมการแพทยสภา ที่ได้มีการดำเนินการสอบสวนพฤติกรรมของแพทย์ 4 ท่าน ซึ่งมีส่วนร่วมในกระบวนการรักษาผู้ป่วย
รายหนึ่ง ที่ต้องโทษจำคุกจากการพิจารณาตัดสินของศาลฎีกาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อันเนื่องมาจากการกระทำ ผิดต่างกรรมต่างวาระ ในข้อหาทุจริตประพฤติมิชอบต่อบ้านเมือง ซึ่งได้หนีคดีความไปอยู่ต่างประเทศนานกว่า 17 ปี และได้ตัดสินใจเดินทางกลับมารับโทษ
เมื่อกลับถึงเมืองไทยโดยเครื่องบินส่วนตัวในเช้าวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2566 หลังลงจากเครื่องแล้วก็ได้เดินโบกมือทักทายกับผู้คนจำนวนหนึ่งที่มาต้อนรับ ก่อนที่จะถูกนำตัวไปยังศาลฯ เพื่อรับฟังคำพิพากษาซึ่งศาลตัดสินให้จำคุกเป็นระยะเวลา 8 ปี แล้วจึงถูกนำตัวไปยังเรือนจำกลางพิเศษในบ่ายวันเดียวกัน เพื่อเข้าสู่การคุมขัง
ปรากฏว่า เมื่อถึงเวลา 00.20 น.ของวันที่ 23 สิงหาคม เรือนจำกลางได้นำตัวนักโทษผู้นี้ส่งตัวไปยังโรงพยาบาลตำรวจ จากอาการเจ็บป่วย สืบเนื่องมาจากโรค เดิมที่เป็นอยู่และได้รับการรักษาในต่างประเทศมาก่อนมีอาการกำเริบรุนแรง มีความเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อชีวิต
เมื่อถึงโรงพยาบาลตำรวจ โดยปกตินั้น ผู้ป่วยทั่วไปทุกคน หากมีอาการป่วยหนักฉุกเฉิน หรือวิกฤตและอาจจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต จะต้องเข้ารับการตรวจรักษาที่แผนกฉุกเฉินก่อนหากพบว่า มีอาการวิกฤตจริง จะถูกส่งตัวเข้ารักษาในแผนกผู้ป่วยหนักที่เรียกกันว่า ICU
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ นักโทษผู้ป่วยรายนี้ได้ถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาในฐานะผู้ป่วยในที่ห้องพัก VIP ชั้น 14 ของโรงพยาบาล ซึ่งปกติไม่ได้เป็นห้องที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยหนักฉุกเฉินวิกฤตแต่อย่างใด และปรากฏว่านักโทษผู้ป่วยรายนี้ ได้รับการรักษาในห้องดังกล่าว เป็นระยะเวลานานถึง 6 เดือน จนถูกปล่อยตัวออกจากโรงพยาบาล ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดปกติวิสัย ทั้งๆ ที่อาการในระยะต่อมานั้น ได้พ้นจาก การกล่าวอ้างว่าวิกฤตไปแล้ว ซึ่งผู้ป่วยควรจะได้รับการส่งกลับไปเพื่อรักษาในโรงพยาบาลกรมราชทัณฑ์เช่นเดียวกับนักโทษผู้ป่วยรายอื่นๆ
ด้วยเหตุดังกล่าว จึงมีผู้ร้องเรียนและกล่าวหาการปฏิบัติหน้าที่ในการรักษา และการให้ความเห็นของแพทย์ ที่เกี่ยวกับการรักษานักโทษรายนี้ไปยังแพทยสภาว่า ได้ให้การรักษาตามมาตรฐานและเป็นไปตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพอันพึงมีหรือไม่
การสอบสวนถูกดำเนินการโดยคณะอนุกรรมการสอบสวนชุดพิเศษที่แพทยสภา ได้แต่งตั้งขึ้น เพื่อดำเนินการสอบสวนให้ได้ข้อยุติ ซึ่งก็ได้มีการรวบรวมเอกสารหลักฐานและพยานรวมทั้งการสอบสวนโดยวาจาจากผู้ถูกร้องและบุคคลที่เกี่ยวข้องในกระบวนการรักษาทั้งหมดมาพิจารณาวินิจฉัย โดยใช้เวลานานพอสมควร
ในที่สุดได้มีการวินิจฉัย โดยแพทย์หนึ่งท่าน ให้ยกข้อกล่าวหา แพทย์อีกหนึ่งท่านให้ว่ากล่าวตักเตือน ส่วนแพทย์อีก 2 ท่านนั้น ให้พักใช้ใบอนุญาตเป็นระยะเวลาหนึ่ง เนื่องจากไม่พบหลักฐานใดๆที่เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าผู้ป่วยมีภาวะวิกฤตเกิดขึ้น และควรได้รับการพักรักษาในห้อง VIP ชั้น 14 ตลอดระยะเวลาของการรักษา
คณะกรรมการแพทยสภา ได้วินิจฉัยชี้ขาด เห็นชอบตามการเสนอของคณะอนุกรรมการ ด้วยการลงมติโดยเสียงส่วนใหญ่
มติการวินิจฉัยจึงถูกนำเสนอให้สภานายกพิเศษ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พิจารณาให้ความเห็นชอบเพื่อออกเป็นคำสั่ง ซึ่งเป็นระเบียบปฏิบัติในทุกคดีที่มีการสอบสวน
ผลปรากฏว่าสำหรับคดีนี้ สภานายกพิเศษมีคำสั่งยับยั้งมติดังกล่าว ซึ่งเป็นเรื่องที่ดูเหมือนจะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย
จึงทำให้คดีนี้ต้องถูกนำเข้าสู่การพิจารณา ให้คณะกรรมการแพทยสภาลงมติ อีกครั้งหนึ่ง และหากการลงมติครั้งใหม่มีผู้เห็นชอบตามมติเดิมเกินกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนคณะกรรมการทั้งหมด หมายความว่าจะต้องได้รับความเห็นชอบในครั้งนี้เกินกว่า 47 เสียง จากคณะกรรมการ 70 คน จึงจะถือว่าเป็นมติที่ผ่านความเห็นชอบแล้ว อันจะนำไปสู่การออกคำสั่งลงโทษ
แพทย์ผู้กระทำผิดต่อไป
เรื่องเช่นนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้น หากคดีความนี้ไม่ได้เชื่อมโยงไปถึงตัวของนักโทษผู้ป่วยคดีทุจริตประพฤติมิชอบที่เป็นอดีตนายกรัฐมนตรี จึงทำให้มวลหมู่แพทย์ และประชาชนคนทั่วไปมองเห็นว่า การเมืองได้เข้ามาแทรกแซงคดีนี้ อันเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น ในสังคมประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
การประชุมคณะกรรมการแพทยสภาเพื่อลงมติใหม่ในวันนี้จึงเป็นเรื่องที่สังคมจับตามองอย่างใกล้ชิดว่าผลจะเป็นประการใด อำนาจการเมืองจะสามารถลบล้าง อำนาจของแพทยสภา
ซึ่งกรรมการแพทยสภานั้นพึงที่จะต้องปฏิบัติในการธำรงไว้ซึ่งเกียรติ ศักดิ์ศรี และจริยธรรมแห่งวิชาชีพ ได้หรือไม่
หากทำได้ ก็เท่ากับว่าแพทยสภาได้ถูกประหารเรียบร้อย
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี