‘ประชาคมแพทย์’หงาย‘ไพ่สามใบ’ กับเกมที่ศาลซึ่ง‘แพทยสภา’ไม่ควรปล่อยผ่าน
13 มิถุนายน 2568 เพจ “ประชาคมแพทย์” ซึ่งมี นพ.ชาติชัย อติชาติ แพทย์ศิริราช รุ่น 90 ในฐานะผู้ดูแล โพสต์ข้อความระบุว่า...
“ไพ่สามใบ” กับเกมที่ศาล ซึ่ง แพทยสภา ไม่ควรปล่อยผ่าน
คดีชั้น 14 กับความเห็นแพทยสภาที่อาจกลายเป็นเครื่องมือการันตีพยานสำคัญ
ในคดีชั้น 14 การส่งตัวอดีตนายกรัฐมนตรีจากเรือนจำไปยังโรงพยาบาลตำรวจในคืนแรก ไม่ได้อาศัย “เวทมนตร์” แต่คือการวาง “ไพ่สามใบ” อย่างเป็นจังหวะ โดยมีกลไกทางการแพทย์เป็นฉากหน้า และระบบยุติธรรมเป็นเวที
เมื่อไพ่แต่ละใบถูกเปิดออก เรากลับพบว่า คนไข้แทบไม่จำเป็นต้องป่วย แค่มี “ระบบ” และ “ความเห็นแพทย์” ที่พอจัดฉากได้ ทุกอย่างก็เปิดทางให้หลุดพ้นได้อย่างราบรื่น
+ ไพ่ใบแรก : แพทย์หญิงรวมทิพย์ – ตรวจช่วงกลางวัน แต่เอกสารเหมือน “เผื่อไว้”
แพทย์หญิงรวมทิพย์ ตรวจผู้ต้องขังในช่วงกลางวัน ก่อนจำเลยจะถูกคุมตัวเข้าเรือนจำตอนเย็น แต่เอกสารที่ออกมากลับเสมือน “เตรียมไว้ล่วงหน้า” ว่าสามารถส่งตัวไปรักษานอกเรือนได้ทันที
ไพ่ใบนี้ คือ “บัตรผ่านเบื้องต้น” ที่เปิดช่องให้การส่งตัวออกเกิดขึ้นได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีอาการรุนแรงจริง ณ ขณะนั้น
+ ไพ่ใบที่สอง : แพทย์เวร – โผล่ในเอกสารวีโต้ของ รมว.ยุติธรรม
ไพ่ใบที่สองคือ “แพทย์เวร” ที่ถูกอ้างถึงในเอกสารประกอบคำวีโต้ของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีต รมว.ยุติธรรม หลายฝ่ายมองว่าเป็นความพยายาม “เบี่ยงเบนความผิด” จากไพ่ใบแรก
แต่สิ่งที่น่าสงสัยยิ่งกว่า คือ ในเอกสารที่นายสมศักดิ์แจกเมื่อวันที่ 12 มิ.ย. กลับไม่มีคำว่า “แพทย์เวร” ปรากฏแม้แต่น้อย → ไพ่ใบที่สองอาจไม่มีตัวตนจริง เป็นแค่ไพ่ลวงที่ใช้เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ นี่ คือ จุดพิรุธสูงสุด ที่ว่า อาจ ไม่มีแพทย์เวรจริง หรือมีแต่ไม่ได้ consult
แม้ว่าจะดูเหมือนเบี่ยงเบนความสนใจ แต่ กลายเป็นว่า แพทยสภา อาจจะตามเรื่องไม่ทัน ก็ยังไม่ได้ แสดงท่าทีสนใจเรื่องแพทย์เวร แต่อย่างใด
ความเคลื่อนไหวของแพทยสภาต่อเรื่องนี้ ค่อนข้างช้า ทั้งๆที่เราพยายามกระตุ้นมาหลายวัน
+ ไพ่ใบที่สาม : ผอ.รพ.ราชทัณฑ์ – ไพ่ตัวจริงที่ถูก “การันตี” แล้ว
ไพ่ใบสุดท้าย และเป็นไพ่ที่ “กำลังจะถูกเล่น” ในศาลฎีกาวันที่ 13 มิ.ย. คือความเห็นของ นพ.วัฒน์ชัย ผู้อำนวยการ รพ.ราชทัณฑ์
อธิบดีกรมราชทัณฑ์เตรียมอ้างว่าได้ “ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ” และได้รับคำแนะนำให้ส่งตัวผู้ต้องขังไปโรงพยาบาลตำรวจ
ไพ่ใบนี้ผ่านการรับรองโดย มติแพทยสภา เมื่อ 8 พ.ค. ว่า “ไม่มีความผิด”
→ กลายเป็นใบเบิกทางทางจริยธรรมและกฎหมาย ที่ “ลอยตัว” อยู่เหนือข้อสงสัย
ถ้าศาลฎีกาไม่เรียกสำนวน แพทยสภา มาไต่สวน = ยุติธรรมจะ “หลับตาข้างเดียว”
ศาลฎีกาไม่ควรมองว่า “ผ่านแพทยสภาแล้ว = จบเรื่อง” เพราะการพิจารณาไม่ใช่แค่ดูผลสรุป แต่ต้องพิจารณารายละเอียด เช่น
การให้ความเห็นทางการแพทย์นั้นเป็นไปตามหลักวิชาชีพหรือไม่?
เป็นการตรวจด้วยตนเอง หรือเพียง telemedicine?
ถ้าเป็น telemedicine มีหลักฐานการบันทึก การส่งต่อ การประเมินความเสี่ยง และ แพทย์ท่านนี้ ได้ทำหน้าที่ ในข้อ 4 และ 5 ตามประกาศ 54/2563 ของแพทยสภา เรื่อง Telemedicine อย่างเคร่งครัด หรือไม่ หรือไม่?
>>>> ด้วยความเคารพใน ท่านผู้พิพากษาทุกท่าน ถ้า บังเอิญ ศาลฎีกา ได้มาอ่านบทความนี้ กรุณาพิจารณา ด้วยครับ ว่า อนุกรรมการสอบสวน ได้ สอบประเด็นนี้กับ นายแพทย์ท่านนี้ หรือไม่ ถ้าไม่ นั่น หมายถึง น้ำหนัก ของ มติแพทยสภา ที่ การันตี ความบริสุทธิ์ อาจ ผิดประเด็น จำเป็น ต้อง สั่งให้ แพทยสภา สอบสวนใหม่
>>>>นพ.วัฒน์ชัย ออกความเห็นในฐานะ “แพทย์ผู้บริหารทรัพยากร ของโรงพยาบาลราชทัณฑ์” หรือ “แพทย์ที่ทำหน้าที่รักษา”? กันแน่ ถ้าเป็นกรณีหลัง ผู้พิจารณา ว่าทำหน้าที่ถูกต้อง หรือไม่คือแพทยสภา ที่ต้องอิงประกาศแพทยสภา 54/2563 ข้อ 4 และข้อ 5 มิฉะนั้นมติของแพทยสภา ที่ ยกคำร้อง นายแพทย์ท่านนี้ อาจเป็นมติที่ไม่ถูกต้อง
→ ถ้าไม่ได้พบตัว ไม่ได้ตรวจร่างกาย ไม่มีระบบ telemedicine ที่ถูกต้อง การให้ความเห็นเช่นนี้คือปัญหาอย่างยิ่ง และ ต้องสอบสวนใหม่
+ คำถามสุดท้าย: ถ้าไม่สอบใหม่ ความชอบธรรมจะกลายเป็นเครื่องมือซ่อนความผิด หากไม่รีบสอบสวนใหม่โดยเฉพาะ “ไพ่ใบที่สาม” เรากำลังสร้างบรรทัดฐาน “แค่มีมติจากคณะกรรมการไม่กี่คน ก็สามารถล้างผิดทางจริยธรรมและกฎหมายได้” แถมตอนนี้ เสียงเชียร์ กระหึ่ม และ เรากำลัง คิดว่า ใครบางคน อาจกำลังยิ้ม ในแผนที่แนบเนียนนี้ โดย สุดท้าย ก็ไปหยุดที่ศาล โดยไม่มีใครพูดถึงอีก
#ข้อเสนอจากประชาคมแพทย์: เพื่อปกป้องแพทยสภา ไม่ให้เป็นเครื่องมือของอำนาจ
1. ส่งตัวแทนแพทยสภา (เช่น นพ.สมิทธิ์ หรือ คุณหมออิทธพร) เข้าฟังการไต่สวนศาลฎีกาในวันที่ 13 มิ.ย.68
หากมีการใช้อ้างอิงไพ่ใบที่สาม แพทยสภาควรยื่นหนังสือสอบสวนใหม่ทันทีในฐานะ “การให้บริการ telemedicine โดยไม่มีมาตรฐาน” เพราะ ข้อมูลดังกล่าว ถือเป็นข้อมูลใหม่ ที่ตั้งเรื่อง สอบใหม่ เป็นประเด็นใหม่ได้ทันที ไม่ซ้ำกับประเด็นเดิมที่สอบ ในฐานะผู้บริหารแพทย์เวร และ พยาบาลเวร
2. ตั้งคณะกรรมการสอบสวนใหม่ เพื่อสอบสวนแพทย์เวร โดยเร่งด่วน ควบคู่กันไป โดยเฉพาะในประเด็นที่ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน อ้างว่ามีพยาบาลโทรปรึกษาแพทย์เวร
ถ้าไม่สามารถระบุชื่อแพทย์เวรได้ → คือพิรุธ และบ่งชี้ว่าไพ่ใบที่สองไม่มีตัวตน
ทบทวนกระบวนการสอบสวนเดิมของแพทยสภา ว่า มีการพิจารณาพยานหลักฐาน “ถึงที่สุด” แล้วหรือไม่?
ถ้าไม่มีมุมมองแบบที่เราชี้ ก็ต้องสอบใหม่ เพราะศรัทธาต่อองค์กรกำลังถดถอย ประชาคมแพทย์ ชื่นชม ทุกท่าน แต่ เรื่องทางเทคนิค ที่ ใครกำลัง จะบิดเรื่องนี้ อย่างเนียนๆ เราจะไม่ยอมให้ผ่าน แล้ว อ้างภายหลัง ว่า เป็นเรื่องของ ศาล หมดหน้าที่ของ กรรมการแพทยสภาแล้ว เหนื่อยเต็มที อยากพัก (ถ้า อยากพัก จริงๆ อีก 2 ปี ท่านอาจได้พัก จาก มือของของแพทย์ทั่วประเทศ)
#สรุป
พรุ่งนี้ (13 มิ.ย.) ควรส่ง นพ.สมิทธิ์ หรือเลขาธิการแพทยสภา ไปฟังศาลฎีกาไต่สวน และในเวลาเดียวกัน เริ่มตั้งกรรมการสอบสวนกรณี telemedicine แพทย์เวร ที่รับสายพยาบาล ในคืนวันที่ 22 ส.ค. 2566 ทันที อ้างอิงจากคำวีโต้ ของ สมศักดิ์ เทพสุทิน
ใครๆ ก็เหนื่อยได้ แต่ ท่านสมิทธิ์ และ ท่านอิทธพร เหนื่อยไม่ได้ ครับ
ครั้งนี้ คือ เดิมพันของ แพทยสภา และประเทศชาติ
อิทธพร คณะเจริญ
ชัญวลี ศรีสุโข หมอหวิว
#ประชาคมแพทย์ #แพทยสภา #กรรมการแพทยสภา #เลขาธิการแพทยสภา #นายกแพทยสภา
สรุปหลักการตามกฎหมาย
1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1908/2553 บัญญัติชัดว่า
> "การใช้ดุลพินิจให้นำผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำ ต้องอาศัย ‘ความเห็นอย่างเคร่งครัดของแพทย์’"
→ หมายความว่า แพทย์ไม่ใช่แค่ผู้ให้ความเห็นทางวิชาชีพธรรมดา แต่คือ ตัวขับเคลื่อนสำคัญ ที่สามารถชี้เป็นชี้ตายกับการอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ออกไปรักษานอกเรือนจำได้
2. มาตรา 30 แห่ง พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ 2560 เปิดช่องให้มีการส่งไปรักษานอกเรือนจำได้ “เมื่อจำเป็นตามความเห็นแพทย์”
→ ยิ่งตอกย้ำว่า ดุลยพินิจของอธิบดีกรมราชทัณฑ์ต้องอาศัยแพทย์เป็นฐานสำคัญ
---
วิเคราะห์กรณี “คดีชั้น 14”
1. เมื่ออธิบดีฯ ปรึกษา ผอ.รพ.ราชทัณฑ์ (นพ.วัฒน์ชัย) ก่อนจะส่งตัวไปรพ.ตำรวจ
เท่ากับว่า ดุลยพินิจทั้งหมดผูกอยู่กับความเห็นของนพ.วัฒน์ชัย และเมื่อ แพทยสภาการันตีความถูกต้อง ของความเห็นนี้ตามมติวันที่ 8 พ.ค. โดยไม่มีกรรมการแพทยสภาคนใดโต้แย้ง
จึงส่งผลในทางกลับกันว่า หากมีข้อผิดพลาดหรือข้อสงสัยเรื่องความเหมาะสมของการส่งตัวไปโรงพยาบาลตำรวจ → แพทยสภาเท่ากับมีส่วนร่วมในการรับรองความชอบธรรมของการกระทำดังกล่าว
---
ผลกระทบต่อกระบวนการยุติธรรม
การที่ กระบวนการอิงกับความเห็นแพทย์ แต่ไม่มี การตรวจสอบหรือทวนความเห็น ที่อาจมีผลประโยชน์ทับซ้อน ย่อมนำไปสู่ความไม่โปร่งใส
หากความเห็นของแพทย์ถูกใช้เป็น “ใบเบิกทาง” ให้ผู้มีอำนาจได้ประโยชน์ เช่น เข้าข่ายการพักโทษหลัง 180 วัน → ระบบยุติธรรมอาจถูกบิดเบือนผ่านการแพทย์
---
ความเงียบของกรรมการแพทยสภา = ความยินยอมโดยนัย?
มติแพทยสภาเมื่อ 8 พ.ค. ในประเด็นที่ยกคำร้อง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชทัณฑ์ และกลายเป็นผู้คนผิดจากการถูกกล่าวหาเรื่องจริยธรรม ไม่มีผู้ใดคัดค้าน กำลังกลายเป็น ด่านสุดท้ายที่รับรองความชอบธรรม
---
บทสรุปเชิงวิเคราะห์
> การอ้าง “ความเห็นแพทย์” เป็นเครื่องมือในการเบี่ยงเบนผู้ต้องขังจากกระบวนการยุติธรรม ถือเป็นช่องโหว่ของระบบที่อันตราย หากแพทยสภาทำหน้าที่เพียง ยืนยันทางวิชาชีพโดยไม่ตรวจสอบเจตนาแอบแฝงหรือบริบททางการเมือง ก็อาจตกเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างที่ทำลายหลักนิติธรรมเสียเอง ///-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี