รายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ประจำวันที่ 18 มิ.ย. 2568 พูดคุยกับ เทพไท เสนพงศ์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จังหวัดนครศรีธรรมราช ในประเด็นร้อนทางการเมือง เมื่อ พรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำรัฐบาล พยายามดึงกระทรวงมหาดไทยกลับมาอยู่ในโควตารัฐมนตรีของพรรค ในขณะที่พรรคภูมิใจไทย พรรคร่วมรัฐบาลและเป็นพรรคการเมืองที่มีที่นั่ง สส. ในสภามากเป็นอันดับ 3 มีท่าทีชัดเจนว่าไม่ยอม ถึงขนาดที่ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ประกาศพร้อมไปเป็นฝ่ายค้าน และมีภาพเตรียมเก็บข้าวของจากกระทรวงมหาดไทยแล้ว
โดยนายเทพไท กล่าวถึงความเคลื่อนไหวนี้ว่า หลายคนวิเคราะห์ว่าพรรคภูมิใจไทยอย่างไรก็ไม่เป็นฝ่ายค้านเมื่อดูจากประวัติศาสตร์ แต่ในทางการเมืองทุกคนก็มีศักดิ์ศรี เรื่องนี้ต้นทางคือคนของพรรคเพื่อไทยอยากได้กระทรวงมหาดไทย มีการโยนหินถามทางมาตลอด กระทั่งเมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2568 เกิดกรณีที่ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี บอกว่านายอนุทินและพรรคภูมิใจไทยบริหารกระทรวงมหาดไทยยังไม่เต็มที่ จึงอยากให้เวลาที่เหลืออีก 2 ปี ของรัฐบาลนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร นำกระทรวงมหาดไทยมาสร้างผลงาน
ซึ่งจากท่าทีดังกล่าว จะเห็นว่าเวลานั้นนายอนุทินเลือกที่จะหลบไปเพราะไม่อยากปะทะกับนายทักษิณ อ้างตลอดว่าการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) อยู่ที่ น.ส.แพทองธาร จะเชิญพรรคร่วมรัฐบาลไปคุย ขณะเดียวกัน น.ส.แพทองธาร ก็คงยังไม่อยากได้กระทรวงมหาดไทยคืน เห็นได้จากไม่มีการเชิญหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลไปคุย ซึ่งนายอนุทินรู้ว่านายทักษิณ กับ น.ส.แพทองธาร คิดเรื่องนี้ไม่ตรงกัน
กระทั่งในช่วงที่นายอนุทินไปประชุมที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แล้วสัมภาษณ์ข้ามทวีปมาว่าหากจะดึงกระทรวงมหาดไทยคืนไปก็ต้องรื้อโครงสร้างแล้วมาคุยกันใหม่ เพราะปัจจุบันคือเงื่อนไขเดิม ดังนั้นหากจะทำเงื่อนไขใหม่ก็ต้องมาคุยกัน โดยนายอนุทินมองว่าหากเริ่มต้นปรับใหม่จะทำได้ยากและสุดท้ายก็จะไม่ได้ปรับ หรือไม่หากถึงทางตันก็ต้องยุบสภา
ส่วนคำถามว่าเหตุใดต้องมาทำให้สถานการณ์แตกหักในช่วงนี้ หากดูคำพูดของนายทักษิณเมื่อช่วงปลายเดือน พ.ค. 2568 สถานการณ์พิพาทระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชายังไม่รุนแรง ขนาดนายทักษิณยังมั่นใจจากคำพูดว่าได้คุยกันแล้ว เดี๋ยวจะให้มาเตะตะกร้อกัน และเชื่อว่าคงคุยกับพรรคภูมิใจไทยได้ แต่หลังจากนั้นสถานการณ์ไทย – กัมพูชากลับยังไม่จบขณะที่นายทักษิณก็หายไป ไม่มีการพูดเรื่องนี้อีก
“ผมว่าประเมินผิดมาก คือคุณทักษิณแกยังหลงยุค แกคิดว่าเหมือนสมัยไทยรักไทย ปี 2548 – 2549 ที่แกจะทำอะไรก็ได้ จะกำหนดอะไรก็ได้ มีอำนาจเบ็ดเสร็จ อย่าลืมว่าพรรคไทยรักไทย 377 (จำนวน สส.) วันนี้คุณได้ 140 เอง น้ำหนักคุณมันน้อย อำนาจการต่อรอง ดุลการต่อรองภูมิใจไทยเขาก็มี แล้วยิ่งเขาคุมสภาบนได้ด้วย เพราะฉะนั้นคุณทักษิณประเมินผิด”
ส่วนคำถามว่าพรรคเพื่อไทยมั่นใจอะไรจึงกล้าเดินหน้าขอกระทรวงมหาดไทย เพราะหากพรรคภูมิใจไทยออกไปเป็นฝ่ายค้านจริงๆ รัฐบาลจะมีสถานะเสียงปริ่มน้ำ มองว่าคงคิดถึงสภาพการเมืองในปัจจุบันซึ่งนักการเมืองมีอุดมการณ์น้อย เอาผลประโยชน์เป็นหลัก เชื่อว่าสามารถดึง สส. งูเห่ามาได้ เช่น สมมติเสียง สส. ฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาลห่างกัน 10 คน ก็ยังมีโควตารัฐมนตรีว่างอยู่ ก็หาก๊วนงูเห่ามาแจกตำแหน่งรัฐมนตรี
ซึ่งจริงๆ ต้องบอกว่าทำแบบนี้ไม่คุ้ม แต่นายทักษิณประเมินผิดคิดว่าไม่มีปัญหา แต่วันนี้จะถอยก็ไม่ได้แล้ว หากไม่ยึดกระทรวงมหาดไทยคืนนายทักษิณก็เสียหายเพราะได้พูดไปแล้ว ในทางกลับกันหากพรรคภูมิใจไทยก็เสียหายหากยอมให้ยึดกระทรวงมหาดไทยโดยไม่ถอนตัวจากรัฐบาล เพราะที่ผ่านมาก็ประกาศมาตลอดว่าไม่ยอม และเมื่อเสียหน้ากันไม่ได้ก็ต้องสู้กันจนแตกหัก
โดยหากดูบริบทของนายกฯ แพทองธาร ตนเชื่อว่านายอนุทินใกล้ชิดกับ น.ส.แพทองธาร และจับสัญญาณตลอดว่า น.ส.แพทองธาร คงไม่อยากยึดกระทรวงมหาดไทย แต่เมื่อสถานการณ์มาไกล อย่างที่มีรายงานเมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 2568 กรณีการประชุมของพรรคเพื่อไทยแล้วมี สส. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของพรรคพูดขึ้นมาว่าพรรคเพื่อไทยต้องได้กระทรวงมหาดไทย น.ส.แพทองธาร จึงเหมือนตกกระไดพลอยโจน นายทักษิณผู้เป็นพ่อพูดไปแล้ว จะไม่ทำอย่างนั้นก็ไม่ได้ จึงให้ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ไปเจรจากับนายอนุทิน
“แลกกระทรวง 2 ต่อ 1 จากเดิมกระทรวงมหาดไทยและกระพรวงสาธารณสุขกับพาณิชย์ อันนั้นพอฟังได้นะ พอมาเปลี่ยนเป็นสาธารณสุขกับสำนักนายกฯ ผมว่าอันนี้คุณไม่ต้องเจรจาเลย ปฏิเสธอยู่แล้ว เขาคิดว่าถึงอย่างไรก็ 50 – 50 ได้ 2 กระทรวง คิดว่าเขาคงจะยอม คือทางการเมืองแต่ละฝ่ายก็ประเมินเข้าข้างตัวเองทั้งสิ้นว่าคงยอม ตัวเองได้เปรียบ พอคุณอุ๊งอิ๊งค์ (น.ส.แพทองธาร) ตกกระไดพลอยโจน อย่างไรถึงแม้ไม่อยากปรับ เมื่อไปถึงขนาดนี้แล้วก็ต้องปรับ เห็นได้ว่านักข่าวถามคุณอุ๊งอิ๊งค์ก็ถอนหายใจอย่างเดียว
ถ้าพูดถึงโดยส่วนตัวผมเชื่อว่าคุณอุ๊งอิ๊งค์กับคุณอนุทินมีความสัมพันธ์ที่ดี เพราะคุณอนุทินเขาอ่อนน้อมถ่อมตน พูดจาหวาน สนองนโยบายเต็มที่ แล้วคุณอนุทินก็รู้ว่าคุณอุ๊งอิ๊งค์ถ้าจะปรับ คือคุณอุ๊งอิ๊งค์เขาคิดแบบของเขา คือเขาอยากจะปรับเพื่อประสิทธิภาพ เพื่อผลงาน เพราะเขารู้ว่าผลงานของรัฐบาลชุดนี้มีปัญหาและไม่เข้าตาประชาชน ปัญหาเศรษฐกิจก็ไม่ได้ คุณอุ๊งอิ๊งค์ก็คิดว่าถ้าปรับ ครม. ก็เพื่อประสิทธิภาพของการทำงาน เพื่อให้เศรษฐกิจดีขึ้น ก็ควรปรับในเรื่องโครงสร้างทางเศรษฐกิจทั้งหมด”
อย่างไรก็ตาม นายทักษิณมองว่าวันนี้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องกู้คืนยาก จึงคิดเฉพาะหน้าคือปัญหาการเมือง จะปรับอย่างไรก็กระชับอำนาจให้ได้มากที่สุด และกระทรวงที่กุมการบริหารอำนาจของประเทศได้มากที่สุดก็คือกระทรวงมหาดไทย หากยึดกระทรวงมหาดไทยได้ก็วางฐานเตรียมไปสู่การเลือกตั้ง เช่น หากมีการเลือกตั้งครั้งหน้าในปี 2570 ก็จะทำให้พรรคเพื่อไทยชนะมาเป็นอันดับ 1 แต่หากยึดได้ช้าก็จะมีผลต่อการจัดระบบอำนาจ เพราะหลังจากนี้จะถึงฤดูกาลแต่งตั้งโยกย้าย เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัด อธิบดี
นอกจากนั้น ในเมื่อไม่มีการแจกเงินดิจิทัลให้กับวัยรุ่นแล้ว งบประมาณ 1.7 แสนล้านบาท ส่วนนี้ก็สามารถเปรผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) รวมถึงกำนัน – ผู้ใหญ่บ้าน ในโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานได้ เช่น แหล่งน้ำ หากงบประมาณส่วนนี้ลงไปก็ลองคิดดูว่าจะได้คะแนนเสียงขนาดไหน และการทำแบบนี้ผู้นำท้องถิ่นก็จะกลายเป็นหัวคะแนนไปโดยปริยาย เหมือนสมัยรัฐบาลก่อนหน้านั้นที่งบประมาณก็ไปผ่านท้องถิ่น จึงคิดว่ากลไกนี้สามารถพลิกฟื้นคะแนนของพรรคเพื่อไทยได้
ดังนั้นการที่ สส. ของพรรคเพื่อไทย บอกว่าให้ดึงกระทรวงมหาดไทยกลับมาเพื่อแก้ปัญหายาเสพติดจึงเป็นเพียงข้ออ้าง เพราะยาเสพติดเป็นปัญหาหลังๆ ที่กระทรวงมหาดไทยจะแก้ เพราะมีสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) อยู่แล้วและรัฐบาลก็คุมอยู่ อีกทั้งยังมีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อเทียบกับข้อสังเกตที่ตนกล่าวไปข้างต้นที่ทำให้นายทักษิณต้องการยึดกระทรวงมหาดไทยคืน
ส่วนที่มีคำถามว่า กระทรวงมหาดไทยดูแลกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการพนัน ดังนั้นจะเชื่อมโยงกับความพยายามผลักดันกาสิโนถูกกฎหมายหรือไม่ ตนมองว่าสุดท้ายแล้วเรื่องกาสิโนคงไปต่อไม่ได้เพราะกระแสสังคมไม่เอาด้วย หากพรรคเพื่อไทยยังพยายามผลักดันก็จะเจอแรงต้านสูง เช่นเดียวกับแกนนำฝ่ายอนุรักษ์นิยมก็ส่งสัญญาณแล้วว่าไม่เอากาสิโน ไม่เช่นนั้น ไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย คงไม่กล้าประกาศจุดยืนดังกล่าวกลางสภา ดังนั้นหากยังดันต่อรัฐบาลก็คงไม่รอด สุดท้ายเชื่อว่าคงถอนร่างกฎหมายออกไป
“สมมติภูมิใจไทยถอยออก เอาเฉพาะร่วมรัฐบาลที่ปริ่มน้ำอยู่แล้ว พรรคประชาชาติเขาก็ไม่เอาอยู่แล้ว ก็เขาประกาศมาอยู่แล้ว แถลงการณ์ในนามพรรคอยู่แล้วว่าเขาไม่เอา ก็ตัดประชาชาติไป 10 เสียง ที่นี้ปริ่มน้ำ แค่ประชาชาติออกพรรคเดียวก็จบแล้ว ทีนี้พรรคการเมืองอื่นๆ อย่างพรรครวมไทยสร้างชาติ ประชาธิปัตย์ ถูกกลุ่มประท้วงต่อต้านกาสิโนกดดัน พวกนี้ผมว่าก็ต้องงดออกเสียงหรือถอย เพราะมวลชนที่อยู่หน้าทำเนียบ คปท. อันนี้คือฐานเสียงเดิมของรวมไทยสร้างชาติกับประชาธิปัตย์ทั้งสิ้น ถ้าคุณไม่ทำตามมวลชนก็จบ
พอสุดท้ายกระแสกดดันอย่างนี้ถ้าไม่โหวตสวนก็งดออกเสียง แล้วเพื่อไทยจะเหลืออะไร? ประชาชาติก็ถอนโหวต ไม่เอาอยู่แล้ว ก็จบไป ผมเชื่อว่าชั่งน้ำหนักดูแล้วสุดท้ายรัฐบาลก็ถอย พ.ร.บ. นี้นะ ถอยไปก่อน คือตอนนี้ก็ชะลอไปแล้วก็ถอนเลิกไปเลย ถอยออกไปก่อนเลย มันจะมีปัญหา แล้วมันไม่จำเป็นเร่งด่วนอะไรถึงขนาดนั้น เว้นแต่สมมติถ้าหากว่าไปมีผลประโยชน์ได้ – เสียกันแล้ว รับเงินมัดจำกันมาแล้วอันนี้อีกเรื่องหนึ่ง แต่ว่าถ้าโดยทางการเมือง ผมฟันธงตั้งแต่เลื่อนแล้ว ผมว่าเลื่อนสุดท้ายก็คือเลิก”
และแม้พรรคภูมิใจไทยยังคงอยู่ร่วมรัฐบาลต่อไปก็คงไม่เอาด้วยกับร่างกฎหมายกาสิโน อย่างที่นายอนุทินเคยบอกว่าหากจะเอาด้วยกับกฎหมายนี้พรรคร่วมรัฐบาลก็ต้องเอาด้วยพร้อมกันหมด แต่ในเมื่อพรรคประชาชาติไม่เอาด้วย แบบนี้ย่อมไม่เป็นเอกภาพ นายอนุทินก็อ้างได้ว่าไม่เอาเพราะพรรคร่วมรัฐบาลไม่เอาด้วย โดยสรุปแล้วตนเชื่อว่ากฎหมายกาสิโนจะจบเพียงเท่านี้
กลับมาที่การปรับคณะรัฐมนตรี นอกจากพรรคภูมิใจไทยที่ประกาศชัดเจนเรื่องหากยึดกระทรวงมหาดไทยก็จะไปเป็นฝ่ายค้าน ในส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติก็เช่นกัน ที่มีการส่งสัญญาณผ่าน วิทยา แก้วภราดัย รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ว่าหากกระทรวงพลังงานหรือกระทรวงอุตสาหกรรมซึ่งอยู่กับพรรคถูกยึดไปก็พร้อมจะออกไปเป็นฝ่ายค้าน ก็ขึ้นอยู่กับว่านายทักษิณอยากให้รัฐบาลคว่ำไปก่อนเวลาหรือไม่
ส่วนแนวคิดเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยเพื่อยื้อเวลาออกไปสักพัก เช่น 6 เดือน แล้วค่อยยุบสภาจัดการเลือกตั้งใหม่ ความยากจะอยู่ที่ ณ เวลานี้มีกฎหมายงบประมาณรอการพิจารณาอยู่ คือหากไม่มีกฎหมายสำคัญเข้าสู่สภาก็สามารถทำได้ แต่เมื่อมีร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรออยู่อย่างไรก็ต้องทำให้ผ่าน ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีเงินใช้ แต่หากพรรคเพื่อไทยตัดออกเฉพาะพรรคภูมิใจไทยแต่ไม่แตะต้องพรรคอื่นเพื่อให้ผ่านช่วงงบประมาณไปก่อนก็อาจเป็นไปได้ คือค่อยๆ ทำไป เพราะปัจจุบันทั้งพรรครวมไทยสร้างชาติและพรรคเล็กต่างๆ มีอำนาจต่อรองสูง
“พอเขาเดินหมากผิดตาเดียวมันไปหมดเลย มันก็จะไปหมด คือตอนนี้รัฐบาลปัญหาก็รุมเร้า เพราะปัญหาชายแดนก็ไม่ดีขึ้น แล้วคนก็เสื่อมต่อการนำของรัฐบาลชุดนี้ ต่อคุณอุ๊งอิ๊งค์มาก แล้วก็ปัญหาภายใน เสถียรภาพของรัฐบาลก็แย่มาก มีปัญหามาก”
หมายเหตุ : สามารถรับชมรายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ดำเนินรายการโดย บุญระดม จิตรดอน ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ทุกวันอังคาร-พฤหัสบดี เวลา 11.00-12.00 น. โดยประมาณ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี