เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2568 ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ประธานกรรมการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) และอดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊ก ระบุว่า ประเทศไทยต้องเสียโอกาสอีกกี่ครั้งถึงจะรู้ว่าวิธีเดิมไม่แก้ปัญหา
เราอยู่ในช่วงเวลาที่เสียงของความไม่พอใจต่อรัฐบาลและระบบการเมืองดังก้องขึ้นเรื่อยๆ
จากบทสนทนาในวงเล็ก สู่เวทีสาธารณะ จากคำเรียกร้องให้ลาออก เริ่มนำไปสู่บรรยากาศที่ทำให้หลายคนนึกถึง “การรัฐประหาร” อีกครั้ง
ภาพเหล่านี้เป็นฉากที่เราคุ้นเคย
เราเคยผ่านจุดนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เปลี่ยนตัวละคร เปลี่ยนรัฐบาล เปลี่ยนคำปราศรัย แต่เรื่องเล่ายังคงเป็นเรื่องเดิม—ประเทศที่วนเวียนอยู่กับความขัดแย้งแบบไม่รู้จบ
คำถามไม่ใช่แค่ “จะเกิดอะไรขึ้นอีก”
แต่คือ “ทำไมเรายังออกจากวังวนเดิมไม่ได้เสียที?”
ที่น่าแปลกใจคือ ทุกครั้งที่พูดถึงการเปลี่ยนแปลง เรามักยกคำว่า “ประชาธิปไตย” และ “รัฐธรรมนูญ” ขึ้นมาเป็นธงนำ แต่กลับไม่ค่อยพูดถึงอีกสองคำที่สำคัญไม่แพ้กัน—“ธรรมาภิบาล” (governance) และ “หลักนิติธรรม” (rule of law)
สองคำนี้ไม่ได้หมายถึงแค่การบริหารที่มีประสิทธิภาพ หรือการเคารพกฎหมายในระดับบุคคล แต่คือโครงสร้างที่ทำให้ประชาธิปไตย “ทำงานได้จริง”
“ธรรมาภิบาล” คือการใช้อำนาจอย่างโปร่งใส มีความรับผิดชอบ และเปิดรับเสียงของประชาชน
“หลักนิติธรรม” คือการที่กฎหมายควบคุมอำนาจ ไม่ใช่ปล่อยให้อำนาจควบคุมกฎหมาย
ทั้งสามคำ—“ประชาธิปไตย” “ธรรมาภิบาล” และ “หลักนิติธรรม”—จึงไม่ควรถูกแยกจากกัน แต่ควรถูกนำมาทำความเข้าใจร่วมกันในฐานะโครงสร้างเดียวกัน ที่ทำให้ประเทศก้าวหน้าได้อย่างยั่งยืน
และโครงสร้างนี้ จะไม่มีวันเกิดขึ้น หากเรายังไม่มี “พลเมือง” ที่เข้าใจระบบเหล่านี้อย่างแท้จริง
นี่คือเหตุผลที่ผมเชื่อว่า สิ่งที่สำคัญที่สุด แต่กลับถูกมองข้ามในนโยบายสาธารณะมาโดยตลอด คือ “Civic Education” หรือที่เรียกกันว่า “การเรียนรู้เพื่อความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย”
ในหลายประเทศอย่างฟินแลนด์ เยอรมนี เกาหลีใต้ หรือไต้หวัน
”Civic Education“ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในห้องเรียนหรือวิชาสังคม แต่เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการมีส่วนร่วมของพลเมือง พวกเขาเรียนรู้ตั้งแต่เด็กว่าจะตั้งคำถามกับอำนาจอย่างไร รับฟังความเห็นต่างอย่างไร และมีหน้าที่ต่อส่วนรวมอย่างไร
ต่างจากประเทศไทย ซึ่งยังขาดกระบวนการเรียนรู้เช่นนี้อย่างเป็นระบบ—ทั้งในโรงเรียน สื่อ หรือเวทีสาธารณะ
เราจึงควรเริ่มต้นสร้าง “พื้นที่เรียนรู้” ที่ทำให้คนไทยทุกช่วงวัยเข้าใจเรื่องนี้อย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่ในตำราเรียน ไม่ใช่แค่สำหรับเยาวชน แต่เป็นกระบวนการเรียนรู้ตลอดชีวิต ของคนทั้งสังคม
ตั้งแต่นักเรียน คนทำงาน ข้าราชการ นักการเมือง ผู้มีอำนาจระดับสูง รวมถึงนักประชาธิปไตยที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่บนท้องถนนด้วย
ทั้งนี้ เพื่อให้คนไทยทุกคนตระหนักว่าบทบาทของตนในระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่แค่ “ผู้ถูกปกครอง” แต่คือ “เจ้าของอำนาจอธิปไตย” อย่างแท้จริง
“Civic Education” ไม่ได้มีไว้เพื่อให้เราจดจำคำว่า “ประชาธิปไตย” แต่มันทำให้เราเข้าใจว่า:
– สิทธิ เสรีภาพ และหน้าที่ของพลเมือง คือรากฐานของอำนาจในระบอบประชาธิปไตย และมาพร้อมความรับผิดชอบต่อส่วนรวม
– อำนาจของรัฐมาจากประชาชน และจะมีความชอบธรรมได้ ก็ต่อเมื่อถูกใช้อย่างโปร่งใส รับผิดชอบได้ และอยู่ภายใต้การตรวจสอบ
– ประชาธิปไตยที่ยั่งยืน ต้องตั้งอยู่บนโครงสร้างที่มีระบบถ่วงดุล เปิดพื้นที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วม และไม่ปล่อยให้ใครใช้ดุลพินิจโดยไร้ขอบเขต
– และ การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อเราร่วมกันสร้างระบบที่ผู้มีอำนาจต้องรับผิดชอบต่อประชาชน (ธรรมาภิบาล) และอยู่ภายใต้กฎหมายที่เสมอภาคสำหรับทุกคน (หลักนิติธรรม)—ไม่ใช่การรอให้ “ใครสักคน” มาแก้ปัญหาแทน
การชุมนุมที่เกิดขึ้นในเวลานี้ เป็นสัญญาณของพลังที่กำลังผลักดันเพื่ออนาคตที่ดีของประเทศ แต่ควรระมัดระวังอย่างยิ่งที่จะไม่นำไปสู่ “การรัฐประหาร” ซึ่งถูกพิสูจน์ครั้งแล้วครั้งเล่าว่าไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืน
ประชาธิปไตยที่ไม่มีระบบตรวจสอบ ไม่มีธรรมาภิบาล และไม่มีหลักนิติธรรม ก็ไม่ต่างจากเวทีที่เปลี่ยนตัวแสดง แต่บทเดิมไม่เคยถูกเขียนใหม่
ประเทศไทยจะต้องเสียโอกาสอีกกี่ครั้ง ก่อนที่เราจะยอมรับตรงๆ ว่า “วิธีเดิมๆ” ไม่เคยช่วยแก้ปัญหาอย่างแท้จริง?
“Civic Education” อาจไม่ใช่คำตอบสุดท้าย แต่มันคือ “จุดเริ่มต้นที่ขาดหาย” ไปตลอดหลายทศวรรษ เพราะหากเราไม่เริ่มต้นจาก “ความเข้าใจ” เราก็ไม่มีทางไปถึง “การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง” ที่ยั่งยืนได้เลย
สิ่งที่เราต้องทำ ไม่ใช่แค่สอนให้คนรู้จักสิทธิของตน แต่คือการสร้างความเข้าใจร่วมในระดับสังคมว่า:
– ประชาธิปไตยที่มีคุณภาพ ต้องเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วม
– ผู้มีอำนาจต้องอยู่ภายใต้การตรวจสอบ
– และกฎหมายต้องไม่ใช่เครื่องมือของคนใดคนหนึ่ง
“ธรรมาภิบาล” ไม่ใช่แค่เรื่องของเทคนิคการบริหาร แต่คือวัฒนธรรมของการใช้อำนาจอย่างรับผิดชอบ
“หลักนิติธรรม” ก็ไม่ใช่เพียงบทบัญญัติในกฎหมาย แต่คือกลไกที่ยืนยันว่า “ไม่มีใครอยู่เหนือการตรวจสอบ”
และทั้งหมดนี้ จะไม่มีวันเกิดขึ้นได้
ถ้าเราไม่เริ่มเปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนระบบความเข้าใจของคนในทุกระดับ—ทั้งประชาชน ข้าราชการ นักการเมือง ผู้มีอำนาจ สื่อมวลชน เอ็นจีโอ และนักเคลื่อนไหว
เราจะไม่สามารถเปลี่ยน “ผลลัพธ์”
หากเรายังใช้ “วิธีการเดิม”
ประเทศไทยยังคงเดินเป็นวงกลม
กลับมาสู่จุดเดิมอีกครั้ง…
หากเราไม่กล้าเปลี่ยนแนวทาง
ปลายทาง…ก็จะเป็นที่เดิม
กิตติพงษ์ กิตยารักษ์
29 มิถุนายน 2568
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี