รายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” วันที่ 8 ก.ค. 2568 พุดคุยกับ นันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ในประเด็นความมั่นคงระหว่างประเทศ ไล่ตั้งแต่ “ภาษีทรัมป์” กรณีประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศตั้งกำแพงเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศในแทบทุกประเทศทั่วโลก โดยอ้างว่าสหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับโลกมานานพอแล้วและเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการและแรงงานชาวอเมริกัน ซึงสำหรับประเทศไทย สินค้าที่ส่งออกไปขายในสหรัฐฯ จะถูกเก็บภาษีร้อยละ 36
และแม้จะมีความพยายามเจรจา แต่ล่าสุดเมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2568 ทางการสหรัฐฯ ส่งจดหมายถึงหลายประเทศเรื่องอัตราการเก็บภาษีนำเข้าสินค้า โดยไทยยังคงอยู่ที่อัตราร้อยละ 36 เช่นเดิม ซึ่ง นายนันทิวัฒน์ กล่าวว่า โดยส่วนตัวไม่โทษทีมเจรจาของไทย เราอาจทำการบ้านไม่พอ คำถามคือมีทีมที่ดีกว่าหรือไม่? เพราะเท่าที่ทราบมีการจ่ายเงินหลักสิบล้านบาทในการจ้างล็อบบี้ยิสต์แต่ผลกลับออกมาไม่ต่างจากเดิม ในตอนแรกหากลดลงเหลือสักร้อยละ 20 เท่ากับเวียดนามที่เป็นคู่แข่งของไทยก็ยังพอกัดฟันทนหรือพอรับได้
ส่วนข้อเสนอใหม่ที่รัฐบาลไทยยื่นไปที่รัฐบาลสหรัฐฯ ตามที่ตนได้ยินมาคือไม่เก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ หรือภาษีเป็นศูนย์เหมือนกับที่เวียดนามทำ ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่าสหรัฐฯ จะรับหรือไม่ แต่หากรับ เช่น สมมติลดภาษีเหลือร้อยละ 20 ก็ยังมีคำถามอีกว่าผู้ประกอบการในไทยจะแข่งขันไหวหรือไม่? หรืออาจจะพับฐานกันอีกมากก็ไม่ทราบได้ โดยเฉพาะผลกระทบต่อเกษตรกรซึ่งเป็นมวลชนก้อนใหญ่ในประเทศไทย
“ถ้า 0% เปิดตลาดหมู เนื้อสัตว์ สินค้าการเกษตรเช่นข้าวโพด อื่นๆ ที่จะตามเข้ามา รวมทั้งอาจจะบุหรี่ด้วย อันนี้เป็นแหล่งรายได้ของเรานะบุหรี่ ปัญหาคือถ้าเป็นอย่างนั้นเกษตรกรเราพับฐานแน่นอน ทุกวันนี้ขนาดไม่ 0% ยังลักลอบนำเข้าเนื้อหมู เนื้อวัว รวมทั้งข้าวโพด ยังลักลอบนำเข้ากันอยู่เลย”
เมื่อดูท่าทีของรัฐบาลไทย สิ่งหนึ่งที่น่าเป็นห่วงคือการที่รัฐบาลชอบใช้คำเท่ๆ ประเทศดีลลีบอะไรต่างๆ ทุกวันนี้คือล้มทั้งหมด ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กับ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ตนมองว่า 2 คนนี้เป็นพ่อค้าหรือนักธุรกิจก็น่าจะคุยกันได้ แต่เมื่อทรัมป์ประกาศนโยบาย เช่น อเมริกาต้องมาก่อน (America First) ทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง (Make America Great Again) ก็ทำให้ทรัมป์ถอยไม่ได้ ยิ่งเมื่อชื่อเสียงของทรัมป์เริ่มตก สหภาพยุโรป (อียู) กลุ่มสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ยังส่ายหัว ทรัมป์ก็จำเป็นต้องกอบกู้ชื่อเสียงของตนเองเช่นกัน
โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา (ขอบคุณภาพจากรอยเตอร์)
ดังนั้นการที่ทรัมป์จะมาอ่อนข้อให้ประเทศเล็กๆ จึงค่อนข้างเป็นไปได้ยาก โดยส่วนตัวตนมองว่าหากไทยยอมให้สินค้าสหรัฐฯ ภาษีเป็นศูนย์ สหรัฐฯ ก็อาจทำแบบเดียวกับเวียดนาม แต่ปัญหาคือระบบเศรษฐกิจของไทยจะดูดซับไหวหรือไม่? หรือยืดหยุ่นพอหรือไม่? กับสินค้าที่จะถาโถมเข้ามา อย่างสินค้าอุตสาหกรรมที่ไทยส่งออก เช่น รถยนต์และชิ้นส่วนอะไหล่ สินค้าไอที ซึ่งผลิตในประเทศไทยแต่ผลิตเพื่อการส่งออก สินค้าเหล่านี้น่าจะกระทบมาก
โดยสรุปในประเด็นภาษีทรัมป์ สิ่งที่ตนอยากบอกกับรัฐบาลคือ ณ วันนี้ภาษีคงไปแก้อะไรไม่ได้แล้ว แต่ปัญหาคือหากเทียบกับปี 2540 (วิกฤตต้มยำกุ้ง) แล้วหนักกว่าหรือไม่? อย่างในปี 2540 อัตราค่าเงิน 1 เหรียญสหรัฐ เท่ากับ 60 บาท คำถามคือหากเราลดค่าเงินบาทให้ไปอยู่ที่ 60 บาทต่อเหรียญสหรัฐแบบเดียวกับสมัยนั้นไทยจะเสียหายอย่างไรบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่ตนเห็นอย่างเร็วๆ คือการส่งออกของไทยจะสามารถแข่งขันได้ในเชิงราคา ผู้ประกอบการส่งออกจะได้เงินดอลลาร์น้อยลงแต่เมื่อมาเทียบกับเงินบาทแล้วจะสูงขึ้น ตัวเลขส่งออกจะพุ่ง ก็อาจดูดซับกับอัตราภาษีได้
“ทีมงานรัฐบาลต้องคุยกับส่วนราชการต่างๆ ทั้งกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง รวมทั้งแบงก์ชาติด้วยว่าจะมีผลกระทบอะไรบ้างถ้าเราจะสู้กับกำแพงภาษี ทีนี้ผมมั่นใจว่าทุกประเทศจะมีระบบปกป้องการค้าภายในประเทศสูงมากแล้วแทบจะไม่มีทางเจาะง่ายๆ เลย ทุกประเทศจะป้องกันตัวเองมาก วันนี้เราอาจต้องคิดถึงตลาดใหม่ๆ คิดถึงตลาดกลุ่มอินเดีย รัสเซียให้มากขึ้น หรือแอฟริกาด้วย วันนี้เรายังเจาะไม่พอ ผมว่ายังพอมีที่เบียดเข้าไปได้”
จากแดนไกลอย่างสหรัฐฯ มายังประเด็นร้อนใกล้บ้านอย่าง “พิพาทชายแดนกัมพูชา” ตนมองว่าทั้งฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา รวมถึง ฮุน มาเนต นายกฯ กัมพูชาคนปัจจุบัน ขยันสื่อสารผ่านสื่อสังคมออนไลน์ หลายครั้งใช้ถ้อยคำรุนแรง ซึ่งตนเป็นห่วงว่าหากยังไม่หยุดก็จะทำให้เกิดความเกลียดชังระหว่างกันมากขึ้น และไม่รู้ว่าผู้นำของเขาตั้งสติได้หรือยัง ทางวิทยาศาสตร์มีกฎว่า Action = Reaction มาแรงเท่าไรก็แรงกลับไปเท่านั้น หากผู้นำประเทศพูดจาไม่ระมัดระวังก็จะถูกตอบโต้แบบเดียวกัน คือไม่ต้องมีมารยาทกันแล้ว
ส่วนข้อสังเกตว่า ท่าทีของฮุน เซน นั้นไปสูงมากจึงมีคำถามว่าแล้วจะหาทางลงอย่างไร? ต้องดูการเมืองภายในของกัมพูชา ซึ่งหากย้อนไปในยุคที่ประเทศไทยยังเป็นรัฐบาลนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พบว่าไทยกับกัมพูชาไม่มีปัญหากัน กัมพูชาให้ความร่วมมือกับไทยตลอด แต่เมื่อเปลี่ยนรัฐบาลทุกอย่างกลับตาลปัตร เปลี่ยนแบบหน้ามือเป็นหลังมือ ซึ่งก็มีคำถามว่ารัฐบาลเราไปทำอะไรกับเขา มีเจรจาลับอะไรแล้วทำให้เขาไม่ได้หรือไม่
แต่หากดูท่าทีของกัมพูชา ที่เริ่มพูดถึงพื้นที่โดยเริ่มตั้งแต่สามเหลี่ยมมรกต เช่น ฮุน เซน โพสต์เฟซบุ๊ก บอกว่าเคยไปที่นั่นกับภรรยา จึงถือเป็นดินแดนของกัมพูชา เมื่อเห็นแบบนี้ตนก็โพสต์ภาพของตนบ้างและบอกว่านี่เป็นการไปราชการด้วยไม่ใช่ไปเที่ยว และในครั้งนั้นก็ไม่เจอทหารกัมพูชาแม้แต่นายเดียว ดังนั้นจุดนี้เป็นดินแดนของไทย หลังจากนั้นฝ่ายกัมพูชายังพูดถึงปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย ตนก็ตอบโต้ว่าปราสาทตาเมือนธมไทยขึ้นทะเบียนโบราณสถานตั้งแต่ปี 2478 ซึ่งเวลานั้นยังไม่มีประเทศกัมพูชาเกิดขึ้นเสียด้วยซ้ำไป
“ประการสำคัญคือวันที่เราขึ้นทะเบียนแล้วซ่อมแซมบูรณะปราสาทตาเมือนธมจนเกือบสมบูรณ์ 100% ก็ไม่เห็นกัมพูชาจะพูดอะไรเลย แล้วถ้าบอกว่ากัมพูชาบอกว่าอันนี้เป็นของเขาด้วยแผนที่อัตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ผมก็บอกว่าอันนี้คือปัญหาว่าคุณเอาอะไรมาพูด เพราะแผนที่ที่คุณอ้างฝรั่งเศสก็ทำเหมือนกัน ฝรั่งเศสเขียนเองเลยว่าตาเมือนธมอยู่ในฝั่งไทย ผมบอกถ้าท่านอ้างต้องอ้างให้ครบ
วันนี้เรากำลังพูดกันคนละแผนที่ เรา 1 ต่อ 50,000 เขา 1 ต่อ 200,000 ซึ่ง 1 ต่อ 200,000 เขียนเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว เทคโนโลยีการเขียนแผนที่มันก็ไม่มีอะไรมาก คือเดินสำรวจแล้วก็ลากเส้นเอา ส่วนของเรา 1 ต่อ 50,000 เราทำช่วงหลังสงครามโลกแล้วเราก็ทำอย่างละเอียดเลย ซึ่งเราใช้เทคโนโลยีของอเมริกัน เปรียบเทียบกันแล้วห่างคนละเรื่อง แผนที่ใครถูก – ใครผิดพูดไม่ได้เพราะเราอ้างคนละเรื่อง นี่คือปัญหาใหญ่”
อนึ่ง แม้กัมพูชาจะได้สิทธิ์ในปราสาทพระวิหาร แต่ข้อสังเกตคือกัมพูชาไม่ได้บูรณะอะไรเลยแล้วก็ปล่อยให้ทรุดโทรม หรือแม้แต่นครวัด – นครธม ทางกัมพูชาก็ไปต่อเติมจนสุ่มเสี่ยงถูกถอดออกจากมรดกโลก เนื่องจากกัมพูชาไม่มีช่างฝีมือในการบูรณะโบราณสถาน ตนจึงมีคำถามว่าแล้วกัมพูชาจะเอาไปอีกเพื่ออะไร ซึ่งตนก็ไม่เชื่อว่ากัมพูชาอยากได้ปราสาท แต่เชื่อว่าอยากได้ดินแดน อยากได้แนวเขตประเทศไทยที่สามารถลากลงทะเลได้ แต่ขณะเดียวกันไทยก็ถอยไม่ได้ อย่างเกาะกูดเป็นของไทยแน่นอน
พรมแดนไทย - กัมพูชา
ส่วนการที่กัมพูชาพยายามจะลากไทยไปขึ้นศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือศาลโลก ขอให้รัฐบาลไทยยึดมั่นจุดยืนว่าไม่ไป อย่าให้ซ้ำรอยกรณีปราสาทพระวิหารเมื่อปี 2505 และ 2556 ซึ่งปัจจุบันไทยปฏิเสธอำนาจศาลโลกอยู่แล้วดังนั้นขอให้ปฏิเสธต่อไป ส่วนกัมพูชาจะไปยื่นเรื่องต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ก็เป็นสิทธิ์ของเขา ปัญหาเดียวที่ตนมองคือรัฐบาลไทยโดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศต้องขยับตัวเร็วกว่านี้ แต่อาจเป็นเพราะเราสุภาพมากไปหรือรอบคอบมากไปก็ได้ อย่างการประท้วงก็ใช้ภาษาที่ค่อนข้างอ่อนเกินไป
ซึ่งตนเชื่อในหลักตาต่อตา – ฟันต่อฟัน ฝ่ายนั้นมาขนาดไหนเราก็ต้องตอบโต้ไปแบบนั้น คุยกับนักเลงจะไปใช้ภาษาสุภาพคงไม่ได้ น้ำหนักไม่เหมือนกัน ส่วนเรื่องโบราณวัตถุ 20 ชิ้น ที่ต้องคืนให้กัมพูชา ตนเคยสื่อสารผ่านเฟซบุ๊กไปแล้วว่าจะกี่ชิ้นก็ไม่ใช่ของเรา เพราะถูกส่งจากสิงคโปร์มายังประเทศไทย กรมศิลปากรก็ยืนยันแล้วว่าไม่ใช่โบราณวัตถุในประเทศไทย ส่วนทางฝ่ายกัมพูชาก็ขอคืนมานานมากโดยฝ่ายไทยก็ให้แสดงหลักฐานพิสูจน์ ซึ่งก็เป็นไปตามหลักการทวงของ
อย่างที่ไทยไปทวงทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ มีหลักฐานภาพถ่ายดั้งเดิมตั้งแต่ยังอยู่บนทับหลังก่อนจะหายไป มีรายละเอียดขนาดและลวดลาย ตลอดจนหินที่ใช้ก่อสร้าง ท้ายที่สุดจึงได้รับกลับคืนมา ดังนั้นหากโบราณวัตถุดังกล่าวไม่ใช่ของไทยก็สมควรจะคืนเขา อย่างไรก็ตาม ในการที่นายกรัฐมนตรีจะไปเจรจากับต่างประเทศ ทางกระทรวงการต่างประเทศจะจัดทำหนังสือให้รายละเอียดว่าจะมีประเด็นอะไรบ้างที่ต้องเจรจา อีกฝ่ายน่าจะมีปัญหาหรือคำถามอะไรบ้าง เช่น หากเป็นเรื่องโบราณวัตถุให้ตอบอย่างไร จะทำแนวคำตอบให้เลย
“คำถามคือท่านได้อ่านหรือไม่ ผมไม่รู้ แต่กระทรวงการต่างประเทศทำแน่นอน เป็นเล่มมาเลย เจรจากับประเทศนี้จะมีแนวคำถาม – คำตอบเรื่องอะไรบ้าง สุดท้ายประการสำคัญก็คือว่าเมื่อท่านรับปากกับผู้นำประเทศใดก็ตาม ในฐานะนายกรัฐมนตรีท่านต้องรักษาคำพูด ท่านรับปากว่าจะคืนของให้เขาท่านต้องคืน ไม่อย่างนั้นแล้วต่อไปในภายภาคหน้าคนชื่อนายกรัฐมนตรีประเทศไทยรับปากกับใครแล้วเชื่อถือไม่ได้
นี่สำคัญมาก ถ้าคนชื่อนายกรัฐมนตรีไปตกปากรับคำกับใครเขาว่าจะทำอะไรแล้วไม่รักษาคำพูด ศักดิ์ศรีของประเทศไทยจะไม่หลงเหลืออะไรเลยในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ ไม่ต้องพูดถึงทวิภาคี เขาจะไม่เชื่อเลย ปัญหาคือสมบัติ 20 ชิ้นนี้มันไม่ใช่ของเรา แล้วก็ไม่ได้มีคุณค่าอะไรทางจิตใจของฝั่งเราเลย เขาขอเราก็ให้เขาไป ท่านก็รับปากแล้วว่าจะคืนให้เขา วันนี้ต้องรักษาคำพูด”
ส่วนคำถามว่า การที่นายกรัฐมนตรีตัดสินใจดึงเรื่องไว้ เนื่องจากถูกประชาชนคนไทยรุมถล่มจากปัญหาชายแดนไทย – กัมพูชาหรือไม่ ตนมองว่าไม่สามารถดึงเรื่องนี้ได้ ในเมื่ออย่างไรก็ต้องคืน การคืนให้เร็วจะไม่ดีกว่าหรือ อีกทั้งการคืนให้เขาไปก็เป็นจุดหนึ่งที่ช่วยผ่อนสถานการณ์ความรุนแรงตึงเครียดระหว่างกันลงได้ส่วนหนึ่ง ส่วนการที่จะไม่ทำให้สถานการณ์นำไปสู่ความรุนแรง ตนก็ย้ำว่าผู้นำฝั่งกัมพูชาควรลดความขยันพูดผ่านสื่อลง อย่าจุดชนวนยั่วยุมาก อย่างที่มีทหารกัมพูชาถือจรวด RPG เข้ามาแล้วตบรางวัลให้ แบบนี้ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น
ทั้งนี้ ตนทราบว่าทางฝั่งกัมพูชาก็ติดตามการให้ความเห็นของตนอยู่ เคยเห็นมีการนำคลิปวีดีโอที่ตนพูดไปแปลเป็นภาษาเขมร ดังนั้นหากเห็นที่ตนมาให้สัมภาษณ์ในครั้งนี้ ก็ขอให้ส่งให้อดีตนายกฯ ฮุน เซน ดูด้วย ตนอยากให้ท่านผ่อนอารมณ์ลงบ้างก็จะดีขึ้น แต่ปัญหาคือวันนี้ท่านขึงขัง ทหารกัมพูชาก็ขึงขังไปด้วยแล้วก็มายั่วยุทหารไทย ซึ่งวันหนึ่งอาจเกิดการปะทะกันโดยไม่จำเป็น และเมื่อเกิดความสูญเสีย มีคนเจ็บ – คนตาย อีกฝ่ายทนไม่ได้ สถานการณ์ก็จะยิ่งไปกันใหญ่
หมายเหตุ : สามารถรับชมรายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ดำเนินรายการโดย บุญระดม จิตรดอน ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ทุกวันอังคาร-พฤหัสบดี เวลา 11.00-12.00 น. โดยประมาณ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี