“ผมต้องทำงานให้บ้านเมือง เศรษฐกิจวันนี้ ถ้าผมไม่เสือก แล้วใครจะเสือก”
ถ้อยคำที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวบนเวทีกลางทางความคิด “Exclusive Talk : ผ่าทางตันประเทศไทย” พื้นที่กลางแลกเปลี่ยนมุมมองใหม่ กับ 3 ผู้นำทางความคิด เพื่อสะท้อนปัญหาและแสวงหาแนวทางร่วมกันในการพาประเทศพ้นวิกฤต เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 ซึ่งฟังดูแล้วคนพูดมีความภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง แต่บาดหัวใจคนฟังเหลือเกิน (ยกเว้นคนที่ยังยกย่องเชิดชูนายทักษิณอยู่นะ)
จากนั้น 11 กรกฎาคม 2568 นายทักษิณ โผล่ที่บ้านพิษณุโลก ในการประชุมทีมไทยแลนด์ รับมือภาษีทรัมป์ หลังไทยถูกเรียกเก็บ 36% ร่วมกับนายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ประธานที่ปรึกษานโยบายนายกรัฐมนตรี, นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์, นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
งานนี้ ขุนคลังได้ชี้แจงข้อสงสัยของสังคมไทย โดยยอมรับว่า เป็นผู้เชิญนายทักษิณให้เข้ามาประชุมด้วยตนเอง เนื่องจากเห็นว่า เป็นคนที่มีประสบการณ์ สามารถให้ข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ได้
ด้าน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีเดียวกันว่า นายทักษิณเป็นผู้เชี่ยวชาญผู้รู้หลายเรื่อง การรับฟังความคิดเห็นเพื่อนำไปแก้ไขปัญหา ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
“ต้องยอมรับว่าคุณทักษิณ เก่งเรื่องล็อบบี้ยิสต์ เพราะงั้นเทคนิคการดำเนินการต่างๆ การฟังจากท่านก็เป็นประโยชน์” และว่า กรณีการเจรจากับ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา อดีตนายกฯ ทักษิณ เคยทำธุรกิจด้วยกัน รู้จักกัน การได้ฟังแง่มุมต่างๆ ถือเป็นประโยชน์กับประเทศชาติ ไม่ควรจะต้องมาคอยจับผิดกัน
บิ๊กอ้วนมองว่าสังคมจ้องจับผิดทักษิณไปซะอย่างงั้น
ถัดมา 17 กรกฎาคม 2568 นายทักษิณ พร้อมคนในครอบครัว รวมทั้งบรรดารัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาล เดินทางไปร่วมงานเสวนา “ปลดล็อกอนาคตประเทศไทยสู้วิกฤตโลก”(Unlocking Thailand’s Future) จัดโดย อสมท. ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยนายทักษิณได้ขึ้นปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ปลดล็อกอนาคตประเทศไทยสู้วิกฤตโลกและพลิกเกมเศรษฐกิจไทยสู่อนาคต”
นายทักษิณใช้เวลาบนเวทีกว่า 1 ชั่วโมง การบรรยายสารพัดเรื่องที่สะท้อนความห่วงใยต่อทิศทางของประเทศ พร้อมเสนอแผนฟื้นฟูประเทศอย่างเป็นระบบ ซึ่งครอบคลุมทั้งการคลี่คลายปัญหาเฉพาะหน้า และการออกแบบระบบใหม่ระยะยาวเพื่อให้ประเทศสามารถแข่งขันได้อีกครั้งในเวทีโลก ประเทศไทยวันนี้สะดุดอยู่กับที่ หลายเรื่องถอยหลังลงคลอง และว่า ได้ติดตามสถานการณ์ของประเทศไทยมาตลอด นับตั้งแต่พ้นตำแหน่งนายกฯ และรู้สึกเป็นห่วงว่า โครงสร้างรัฐไทยไม่สามารถรองรับความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ได้อีกต่อไป
ด้านเศรษฐกิจ เขามองว่า ประเทศไทยมีศักยภาพสูง แต่ไม่สามารถดึงมาใช้ได้เต็มที่ GDP ของไทยในปัจจุบัน เติบโตต่ำกว่าที่ควรจะเป็นถึง 22–75% โดยเฉพาะภาค SMEs และเกษตรกรรมที่ถูกนโยบายไม่ทันยุคซ้ำเติมอย่างหนัก
นอกจากนี้ เขายังพูดถึงอีกหลายเรื่อง อาทิ เรื่องการซื้อหนี้ของประชาชนมาบริหารอย่างมีมนุษยธรรม, เรื่องโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย, การเตรียมเปิด “Sandbox คริปโตเคอร์เรนซี” ทั่วประเทศ, เรื่องการ เสนอแนวคิดให้ “มหาวิทยาลัยเข้ามาช่วยทำแผนปฏิรูปราชการ” แทนการให้กลุ่มนักการเมืองเข้าไปควบคุม, เรื่อง“ต้องคืนผู้ว่า CEO - คืนเจ้าภาพให้ทุกจังหวัด”, เรื่อง “ความมั่นคงต้องมาพร้อมความปลอดภัย-สมาร์ทซิตี้ไม่ใช่แค่กล้อง แต่คือความไว้วางใจ” รวมทั้งเรื่อง Soft Power ที่รัฐต้องส่งเสริมอย่างจริงจัง เป็นต้น
“ผมไม่ต้องการตำแหน่งทางการเมือง” แต่ยินดีเป็น “เสมียนประเทศ” ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูล กลั่นกรองข้อเสนอ และส่งต่อให้รัฐบาล” นี่คือคำที่ทักษิณ กล่าวอ้าง และยืนยันว่า “ไม่มีใครเปลี่ยนนายกฯ ได้หรอก เพราะวันนี้ ประเทศไทยต้องการความต่อเนื่องในการแก้ปัญหา ไม่ใช่ความวุ่นวายอีก” พร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่าย “หันหน้าเข้าหากัน ยุติความขัดแย้งไร้สาระ แล้วร่วมมือกันพาประเทศไปข้างหน้า”
มุมมองหลากหลายเรื่องสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของนายทักษิณ แต่ไม่ได้สะท้อนว่าเขามองตนเองเป็นใคร อยู่ในสถานะไหน มีหน้าที่เกี่ยวข้องอย่างไร จึงกล้าออกหน้าออกตามาเสนอสิ่งต่างๆ ต่อรัฐบาลอย่างนี้
ทั้งนี้ การปรากฏตัวออกงานถี่ๆ ของนายทักษิณ สามารถแย่งชิงพื้นสื่อได้เป็นอย่างดี ทุกการเคลื่อนไหว คำพูดต่างๆ กลายเป็นเรื่องที่ผู้คนในสังคมให้ความสนใจเป็นอย่างมาก จนถูกมองว่า เขาคือผู้นำรัฐบาลตัวจริง ซึ่ง ณ วันนี้ มันชัดเจนมาก สวนทางกับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่บทบาทลดน้อยถอยลงไปทุกขณะ
อย่างไรก็ตาม การที่นายทักษิณพยายามแสดงวิสัยทัศน์ในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและความขัดแย้งให้กับประเทศอาจทำให้เขารู้สึกว่า ตนเองยังคงเป็นที่นิยมไม่ต่างจากสมัยที่เป็นนายกรัฐมนตรี ที่มีคนจำนวนมากนับหน้าถือตา และน้อมรับในสิ่งที่เขาพูด เพราะเชื่อมั่นในตัวเขา เชื่อว่าความรู้และประสบการณ์ของเขาจะนำพาประเทศชาติไปสู่ความเจริญได้
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเงาตามตัวก็คือ ยิ่งนายทักษิณโชว์ความเก่งกาจ และพยายามให้คำชี้แนะรัฐบาลในการบริหารประเทศมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้ผู้ที่มีหน้าที่และความรับผิดชอบโดยตรงในการบริหารประเทศยิ่งดูแย่ลงไปเรื่อยๆ เพราะจะถูกมองว่า ไม่มีความสามารถในการทำงานกันเลยหรือ จึงต้องพึ่งพาบุคคลภายนอกคอยชี้ทางให้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีตัวจริง
- ทีมข่าวแนวหน้า
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี