กกต.มีมติเชือด‘หมอเกศ’
อ้าง‘ศาสตราจารย์’ลงสว.
“หมอเกศ”อ่วม! กกต.มีมติฟันอาญา โทษคุก 10 ปี ตัดสิทธิ์ 20 ปี ปมใช้คำนำหน้า“ศาสตราจารย์”ลงสมัคร ด้าน“ทนายอั๋น”ขีดเส้น กกต.ยื่นศาลฎีกาเลือกตั้งในวันศุกร์นี้ “สมชัย”จวก กกต. ทำคำวินิจฉัยคดีช้า หลังฟันผิดนานกว่า 3 เดือนแล้ว สำนวนยังไม่เสร็จ และยังไม่ยื่นศาลฎีกา ชี้ส่งผลเสียต่อกระบวนการนิติบัญญัติ ด้าน“นันทนา” ย้ำจุดยืนเดิม สว. ต้องชะลอเลือก“องค์กรอิสระ” เพราะ“คดีฮั้ว สว.”ยังค้างคา ลั่นไม่หวั่นแม้ถูกไล่ออกจากห้องประชุม ส่วน “พิสิษฐ์” ระบุไม่กังวล ยินดีแจง กกต.ชุดใหญ่ ยันมาโดยถูกต้อง ย้ำสรรหาองค์กรอิสระได้ ไม่มีผลย้อนหลังหากถูกฟันคดีฮั้ว สว.
เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2568 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือทนายอั๋น บุรีรัมย์ เปิดเผยว่า ตนได้รับมติคำวินิจฉัยของ กกต. เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคมที่ผ่านมา เกี่ยวกับคำร้องในคดีให้ตรวจสอบคุณสมบัติของ นางสาวเกศกมล เปลี่ยนสมัย สว. จากกรณีวุฒิการศึกษา เข้าขายเป็นการหลอกลวงในการลงสมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา หนังสือลง วันที่ 18 กรกฎาคม 2568 โดย กกต.มีมติให้ดำเนินคดีกับนางสาวเกศกมล ในความผิดตามกฎหมายเลือกตั้งและคดีอาญา กรณีใช้คำว่า “ศาสตราจารย์” ซึ่งจะมีอัตราโทษจำคุกเป็นเวลา 10 ปี และตัดสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 20 ปี
“ผมขอประกาศตรงนี้ มันหมดเวลาของเธอแล้ว คำวินิจฉัยส่งถึงผมเรียบร้อย ในฐานะเป็นคนร้อง แต่เดิมทำเป็นจะเอาเรื่องของวุฒิการศึกษาปริญญาเอก แต่ผมมาคัดค้าน ท้ายที่สุดก็ยอมใส่คำว่าศาสตราจารย์ไป ไม่เหลือแล้ว” นายภัทรพงศ์ กล่าว
นายภัทรพงศ์ ยังฝากไปถึง กกต.ขอให้ส่งเรื่องของนางสาวเกศกมล ไปยังศาลฎีกา แผนกคดีเลือกตั้งภายในวันศุกร์นี้ เนื่องจากไม่มีเหตุให้ดึงเรื่อง เนื่องจากส่งคำวินิจฉัยไปให้ตน และได้รับเอกสารเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ดังนั้น ตนจึงหวังว่าคดีดังกล่าวจะส่งเรื่องไปให้ศาลพิจารณาต่อในวันศุกร์นี้(25 กรกฎาคม)
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวกรณี กกต. เพิ่งแจ้งผลคำวินิจฉัยให้ดำเนินคดีอาญากับ น.ส.เกศกมล เปลี่ยนสมัย สมาชิกวุฒิสภา ฐานใช้ตำแหน่งศาสตราจารย์ ลงสมัคร สว. เข้าข่ายหลอกลวงให้เข้าใจผิดในคุณสมบัติ ว่า 1. กกต. มีคำวินิจฉัย ตั้งแต่ 30 เม.ย. 2568 ให้เพิกถอนการเป็น สว. โดยต้องส่งมติคำวินิจฉัยไปให้ศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัยในขั้นต่อไป เนื่องจากเป็นการให้ใบแดงหลังการประกาศผล
2. ระยะเวลากว่าที่ กกต. จะจัดทำเอกสารคำวินิจฉัยหลังจากการมีมติ ใช้เวลาเกือบ 3 เดือน ซึ่งถือว่าล่าช้ามาก และถึงวันนี้ยังไม่ได้ส่งถึงศาลฎีกา ซึ่งศาลจะต้องใช้เวลาอีกช่วงหนึ่งก่อนจะมีคำวินิจฉัยว่าเห็นชอบกับ กกต. หรือไม่
3. ความล่าช้าดังกล่าว สะท้อนให้เห็นประสิทธิภาพการทำงานของ กกต. ซึ่งส่งผลเสียต่อกระบวนการทางนิติบัญญัติ เนื่องจากตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำวินิจฉัย สว. ดังกล่าวยังคงสามารถปฏิบัติหน้าที่ต่าง ๆ ในวุฒิสภาได้ตามกฎหมาย
4. ความล่าช้า ยังส่งผลเสียต่อตัว สว. ที่ถูกวินิจฉัยด้วย คือ วันใดข้างหน้าที่ศาลมีคำวินิจฉัยว่า สว. ดังกล่าวมีความผิด จะต้องคืนสิทธิประโยชน์ทุกอย่าง เช่น เงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง เงินเดือนผู้เชี่ยวชาญ ผู้ชำนาญการ ผู้ช่วย สว. ทุกคน และค่าใช้จ่ายทุกอย่างนับแต่วันแรกของการเป็น สว. ต่อทางราชการ
5. ส่วนการดำเนินคดีอาญานั้น เป็นไปตามกฎหมายที่ กกต. ต้องแจ้งความดำเนินคดีอาญาหากศาลฎีกาวินิจฉัยว่าผิด ซึ่งอัยการอาจฟ้องหรือไม่ฟ้อง ก็ได้ ยังเป็นเรื่องในอนาคต
ที่รัฐสภา น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สมาชิกวุฒิสภา(สว.) กล่าวถึงจุดยืนต่อกรณีที่ประชุมวุฒิสภาจะมีการโหวตเลือกองค์กรอิสระในวันพรุ่งนี้ (22 ก.ค.)ว่า ต้องฟ้องประชาชนว่าคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนกลางคณะที่ 26 ที่ตั้งร่วมระหว่างกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และ กกต.ได้สรุปสำนวมีมีนส่งไปยัง กกต.แล้ว ซึ่งมีบุคคลที่ถูกกล่าวหาทั้งสิ้น 229 คน หมายความว่าข้อกล่าวหามีมูลความจริง ใกล้ถึงจุด กกต.ที่จะรับรองและส่งฟ้องศาลอาญาแผนกคดีเลือกตั้ง แต่เหตุใดวุฒิสภายังเดินหน้าที่จะเห็นชอบผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระอยู่ จึงขอฟ้องประชาชนว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะคดีงวดเข้ามาแล้ว และตำแหน่งที่กำลังจะลงมติในวันที่ 22 ก.ค. คือ กกต. และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จำนวน 2 ท่าน หากมีการเห็นชอบให้บุคคลเหล่านี้เข้าไปดำรงตำแหน่งจะเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์อย่างชัดเจน เพราะ กกต.จะมีอำนาจในการส่งฟ้องศาลอาญา ส่วนศาลรัฐธรรมนูญจะมีอำนาจในการไต่สวนและวินิจฉัยในเรื่องการได้มาซึ่ง สว.ที่มิชอบ
น.ส.นันทนา กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกัน สว.เสียงข้างมากได้ทำหน้าที่ยื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญและ กกต.ในฐานะผู้ร้องและยังเป็นผู้ถูกร้อง แต่มีอำนาจที่จะส่งคนเข้าไปในองค์กรอิสระ เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำโดยจริยธรรม โดยจิตสำนึก ควรชะลอการลงมติไปก่อน ให้คดีของท่านทั้งหลายเป็นที่ยุตตว่าบริสุทธิ์จึงค่อยกลับมาลงมติก็ยังไม่สายเกินไป แต่การเร่งรีบเพื่อให้มีการบรรจุญัตติคงทำไปเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ แต่ความจริงแล้วเป็นประโยชน์แฝงเร้นให้กับตนเองและพรรคพวกของตนเอง เนื่องจากผู้ที่ถูกกล่าวหาในคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนกลางคณะที่ 26 มี สว.ที่ถูกกล่าวหา 138 คน เท่ากับ 3 ใน 4 ของสภาฯ ท่านยังดึงดันที่จะลงมติเลือกคนที่จะไปพิจารณาและตัดสินคดี สิ่งเหล่านี้เหมาะสมหรือไม่ ประชาชนคงไม่อยากจะเห็นความบิดเบี้ยวของกระบวนการยุติธรรมอันเกิดขึ้นมาจากการลงมติของ สว.เสียงข้างมากที่ดันทุรังจะใส่คนให้เข้าไปในองค์กรอิสระพิจารณาคดีของตนเอง เป็นความขัดกันของผลประโยชน์อย่างชัดเจน
น.ส.นันทนา กล่าวด้วยว่า ตนเองค้านเรื่องนี้มาหลายรอบแล้ว โดยวันพรุ่งนี้(22ก.ค.) นายเทวฤทธิ์ มณีฉาย สว.จะยื่นญัตติขอให้ชะลอการลงมติต่อไป แต่เท่าที่ทราบน่าจะไม่ได้รับการบรรจุญัตติที่เป็นหนังสือ แต่ด้วยสิทธิของ สว.เราสามารถที่จะยื่นญัตติที่เป็นวาจาตามมาตรา 40 (1) ได้เพื่อคัดค้านต่อไป ตนเองทำหน้าที่คัดค้านตั้งแต่วันที่ยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา จนกระทั่งมีการแจ้งข้อกล่าวหา มีการสรุปสำนวนก็ยังเรียกร้องต่อไป เพื่อให้ สว.หยุดการทำในสิ่งที่ทำร้ายจิตใจของประชาชนทำให้กระบวนการยุติธรรมบิดเบี้ยว ตนเองก็จะคัดค้านต่อไป แม้ว่าจะถูก สว.บางท่านไล่ออกจากห้องประชุมหรือกล่าวหาว่าตนเองเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ ประชาชนเป็นพยานว่าสิ่งที่ตนเองทำคือ รักษาผลประโยชน์ของประชาชน ให้กระบวนการยุติธรรมในประเทศนี้ไม่บิดเบี้ยว เพราะฉะนั้นจะเดินหน้าต่อไม่ว่าจะได้รับผลกระทบ แรงกระแทกอย่างไร จะสู้ต่อเพื่อให้กระบวนการยุติธรรมในประเทศยุติธรรมอย่างแท้จริง และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนทั้งประเทศ
นายพิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ สมาชิกวุฒิสภา(สว.) กล่าวถึงกรณีคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนกลาง คณะที่ 26 เสนอสำนวนดำเนินคดีฮั้วเลือก สว. กับ สว. และพรรคการเมืองรวม 229 คน ไปยังเลขาธิการ กกต. ว่า ไม่มีความกังวลอะไร กกต. ก็ทำตามอำนาจหน้าที่ สว. ก็ทำหน้าที่ของ สว. วันที่คณะกรรมการชุดที่ 16 เรียกไปชี้แจง สว. ก็ไป ทุกอย่างทำตามกฎหมาย ดังนั้น หากถามว่ากังวลไหม ไม่กังวล
เมื่อถามว่าตอนนี้กรอบเวลานับถอยหลัง 8 เดือน รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ หรือไม่ นายพิสิษฐ์ ตอบว่า ไม่รู้สึก พร้อมยืนยันว่ามาโดยสุจริตและถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ เพราะฉะนั้นไม่รู้สึกกังวลอะไร
ผู้สื่อข่าวถามต่อ หากมีการเรียกเข้าไปรายงานตัวหรือชี้แจงในชั้นเลขาธิการ กกต. และ กกต.ชุดใหญ่ จะไปอีกหรือไม่ นายพิสิษฐ์ ระบุว่า หาก กกต.ทำหนังสือเชิญมา ก็ยินดีไป ไม่มีปัญหาไม่ติดขัดอะไร
ส่วนคำถามว่ายังคงกังขากับข้อกล่าวหาอยู่หรือไม่ นายพิสิษฐ์ เผยว่า ข้อกล่าวหาที่ถูกกล่าวหา 138 คน เป็นลักษณะก๊อปปี้กันมา เปลี่ยนแค่ชื่อ บางทีคะแนนยังไม่เปลี่ยนเลย สำหรับกรณีที่มีการวิเคราะห์ว่าการเดินหน้าคดีนี้อาจทำให้ สว. ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือพ้นจากตำแหน่งกังวลหรือไม่ นายพิสิษฐ์ กล่าวว่า จะเกิดอะไรขึ้น เราทำตามหน้าที่ของเรา กกต. เรียกพร้อมยินดีให้การ พร้อมให้ความร่วมมือเสมอ ย้ำว่าไม่มีความกังวลใดๆ
นายพิสิษฐ์ ยังให้สัมภาษณ์ถึงจุดยืนในการชะลอสรรหาบุคคลดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ว่า หากไม่ทำก็สุ่มเสี่ยงที่จะมีความผิดในมาตรา 157 และจะทำให้องค์กรอิสระเหล่านั้นไม่ครบองค์ประชุม เกิดความล่าช้าในการพิจารณาคดี ส่วนความกังวลของ น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สว. ที่อาจจะมีผลกระทบทำให้การสรรหาเป็นโมฆะย้อนหลังนั้น ตนขอนำรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคสอง มาอ่านให้ฟังว่า กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสมาชิกภาพของสมาชิกผู้ถูกร้องสิ้นสุดลง ให้พ้นจากตำแหน่งนับตั้งแต่วันที่หยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่ไม่กระทบต่อกิจการที่ผู้นั้นได้กระทำไปก่อน ซึ่งหมายความว่าสิ่งใดที่พวกตนได้ลงมติไปถือว่าสมบูรณ์แล้ว ไม่มีผลย้อนหลัง ไม่เป็นโมฆะ ซึ่งที่ผ่านมา น.ส.นันทนา พูดย้ำไปมาตลอด หากรวมครั้งนี้ตนเห็นว่าจะเป็นครั้งที่ 4 แล้ว แต่สุดท้ายก็คงไม่ได้มีอะไรตอบโต้กลับไป
ส่วนความกังวลที่หากมีการสรรหาไปแล้วจะมีข้อครหาไปยังบุคคลในองค์กรอิสระนั้นๆ นายพิสิษฐ์ ระบุว่า ตามรัฐธรรมนูญที่กล่าวไปมันชัดเจนอยู่แล้ว เราคงห้ามใครไม่ได้ที่จะมาครหาเรา แต่อำนาจหน้าที่เรามีเต็มที่ไม่ได้ทำอะไรที่เกินว่ารัฐธรรมนูญกำหนด เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงแนวคิดในการเลื่อนวาระสรรหาออกไปอีก 8 เดือน ซึ่งจะครบตามเวลาของคดี นายพิสิษฐ์ มองเรื่องนี้ว่า หากตนไม่สรรหา ไม่รับรองขึ้นมา หาก กกต. ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ครบองค์ประชุม คดีที่ค้างพิจารณาอยู่จะเกิดอะไรขึ้น จริงๆ เราก็ต้องทำหน้าที่ของเราไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี