"มาร์ค"ชี้ปะทะ"ไทย-กัมพูชา" บทบาท"กต."ต้องมากกว่านี้ เร่งแจงประชาคมโลกป้องเข้าใจผิด
เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กับรายการ “Good Morning แนวหน้า” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ในประเด็นสถานการณ์ความขัดแย้งไทย – กัมพูชา ซึ่งล่าสุดเกิดเหตุปะทะกันระหว่างทางของทั้ง 2 ฝ่ายอีกครั้ง ว่า ไทยต้องทำให้ประชาคมโลกเข้าใจว่าปัญหาเขตแดนเป็นปัญหาที่ยืดเยื้อเรื้อรังมานาน แต่ก็มีข้อตกลงและกระบวนการที่จะคลี่คลายปัญหานี้อยู่ และตลอดหลายปีที่ผ่านมาทุกอย่างก็เรียบร้อยดี
แต่เหตุที่เกิดความวุ่นวายขึ้นมาคือในช่วงปลายเดือน พ.ค. 2568 ทหารกัมพูชาล้ำเข้ามาในเขตที่ตาม MOU ระบุว่าจุดดังกล่าวต้องไม่มีการเข้าไปปรับพื้นที่ใดๆ ทั้งสิ้น ทำให้เกิดการปะทะกันและมีทหารกัมพูชาเสียชีวิต นำไปสู่การตอบโต้กันไป – มา และทำให้กระแสความรู้สึกของประชาชนทั้ง 2 ฝ่ายรุนแรงขึ้น ส่วนสาเหตุของความรุนแรงช่วงปลายเดือน พ.ค. 2568 หลายคนก็วิเคราะห์กันไปในหลายแง่มุม
เช่น เกี่ยวข้องกับปัญหาการเมืองภายในของกัมพูชาหรือไม่ หรือเป็นการแสดงออกซึ่งความไม่พอใจบางอย่าง ฝ่ายไทยอาจมีใครไปรับปากอะไรไว้แล้วถูกมองว่าทำตามนั้นไม่ได้ แล้วต่อมาดูจะกลายเป็นเรื่องส่วนตัวมากขึ้นในการตอบโต้กันไป-มา อย่างไรก็ตาม หากเป็นเรื่องเฉพาะหน้าอย่างที่ได้รับรายงาน เข้าใจว่าฝ่ายปกครองและผู้ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ต้องเร่งดูแลความปลอดภัยประชาชน ซึ่งเข้าใจว่าขณะนี้มีการให้อพยพไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย
ส่วนกองทัพก็ต้องเข้าไปแก้ไขสถานการณ์ ตามที่มีข่าวว่าฝ่ายกัมพูชาส่งกำลังทหารมาประชิดแล้วก็ยิงเข้ามา ก็ต้องดำเนินการให้ประชาชนอยู่ในที่ที่ปลอดภัย แต่ตนมีข้อสังเกตว่า รัฐบาลไทยโดยเฉพาะช่วงก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ บอกว่าพยายามแก้ไขปัญหาอย่างสันติวิธี แต่กลับมีการใช้คำพูดตอบโต้กันไป – มาไม่หยุด ก็ทำให้เกิดกระแสบางอย่าง มีชาวกัมพูชาบ้าง ชาวไทยบ้าง จะไปที่ปราสาท ไปเผชิญหน้ากัน แต่ท่ามกลางสถานการณ์แบบนี้ ที่น่าแปลกใจคือเราได้ยินการดำเนินการจากรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศน้อยมาก
“สิ่งที่ผมเล่าเป็นเหตุการณ์ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม (2568) เป็นต้นมา ตลอดจนการที่เรามีกระบวนการข้อตกลง ความพยายามจะประชุมกรรมการร่วมอะไรก็แล้วแต่ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่กระทรวงต่างประเทศต้องทำความเข้าใจกับประชาคมโลก ทำความเข้าใจกับประธานอาเซียน ทำความเข้าใจกับมิตรประเทศที่เกี่ยวข้อง ด้วย 2 เหตุผล เพื่อให้ 1.เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าฝ่ายไทยไม่ได้ปรารถนาที่จะให้เกิดความรุนแรงขึ้น และยังเชื่อว่าเมื่อมีข้อตกลงทวิภาคีอยู่ก็ควรที่จะดำเนินการตามนั้น 2.เพื่อมิให้เกิดความเข้าใจผิด เพราะกัมพูชามักจะใช้สถานการณ์ที่มีความตึงเครียดหรือความรุนแรงขึ้น เพื่อจะเป็นข้อสนับสนุนในการที่จะเอาเรื่องนี้ไปสู่ศาลโลก” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อไปว่า ตนอยากเห็นกระทรวงการต่างประเทศมีความชัดเจนเรื่องเหล่านี้มากขึ้น แต่ที่เห็นคือเมื่อวันที่ 23 ก.ค. 2568 มีการตัดสินใจลดระดับความสัมพันธ์ ซึ่งไม่แน่ใจว่าจากนี้ช่องทางที่จะมีการหาทางออกด้วยสันติวิธีจะไปด้วยช่องทางไหน – อย่างไร อย่างฝ่ายกัมพูชาจะบอกว่าเปิดด่านแล้วทุกอย่างจะเรียบร้อย แต่เราก็บอกเองว่าเปิดแล้วจะกลับไปเหมือนเดิมตอนไหน ถ้าเหมือนเดิมอย่างปีที่แล้วคือไปถอนคดีต่างๆ ที่ยื่นไว้ออก อย่านำกองกำลังเข้ามาในพื้นที่ แล้วมาคุยกันอย่างจริงใจ แต่ตอนนี้ตนไม่แน่ใจว่าขณะนี้ช่องทางและแนวทางเราคืออะไร
ซึ่งตนคิดว่ากองทัพก็ต้องทำหน้าที่ของเขา ต้องแก้ไขสถานการณ์ด้วยความรวดเร็ว แต่หากรัฐบาลจะมีนโยบายอะไรต้องสื่อสารให้เกิดความเข้าใจทั้งกับกัมพูชาและกับประชาชนฝ่ายไทยพร้อมๆ กันไป ส่วนที่กระทรวงการต่างประเทศยุคนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าทำอะไรล่าช้า ในช่วงหนึ่งเราจะเห็นโฆษกกระทรวงฯ ออกมา 2 – 3 วันติดต่อกัน แต่ช่วงหลังๆ ดูจะเงียบไป แม้แต่กรณีที่มีการวางกับระเบิด การเชิญทูตจะเป็นในส่วนของกองทัพที่เริ่มก่อน
เรื่องนี้น่าเป็นห่วงเพราะตนก็เคยตั้งข้อสังเกตว่าปัญหาคลิปเสียงที่เกิดขึ้นส่งผลต่อความไว้วางใจที่คนมีต่อนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีพื้นฐานเดิมอยู่แล้ว มีคนหวาดระแวงว่าจะรักษาผลประโยชน์ของชาติหรือไม่ หรือมีอะไรส่วนตัวหรือไม่ ซึ่งตนก็พูดตั้งแต่วันแรกๆ ที่เกิดเรื่องขึ้นว่าระวังจะแกว่งไปอีกทาง คืออยากแสดงให้เห็นว่าไม่ได้ยอมฝ่ายนั้นนะ เพราะเห็นท่าทีนายกฯ ก่อนถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ดูจะกร้าวขึ้นมาก
“ผมถึงบอกว่าจริงๆ ที่ผ่านมา ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่อยากให้คลี่คลายด้วยวิธีการที่ดี ดังนั้นก็ต้องเรียกร้องคำว่ารัฐบาล คำว่ากระทรวงการต่างประเทศหรือตัวรัฐมนตรีจะต้องมีบทบาทมากกว่านี้ ทีนี้เราอยู่ในสถานการณ์ที่แปลก คือนายกฯ ก็ถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ รัฐมนตรีกลาโหมก็ไม่มี รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศคนก็ถามเหมือนกันว่ามีหรือเปล่า? ฉะนั้นต้องปรับท่าทีโดยด่วน ไม่เช่นนั้นทุกอย่างก็จะไปอยู่ในพื้นที่ แล้วก็มีแต่การปะทะกัน” นายอภิสิทธิ์ ระบุ
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวอีกว่า ส่วนคำถามว่าอะไรคือเหตุผลที่ทำให้ขณะนี้ไม่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เรื่องนี้ตนก็หาคำตอบไม่ได้จริงๆ อย่างข่าวที่พูดกันคือจะมีคนรอดำรงตำแหน่งนี้อยู่ แต่ยังติดปัญหาคุณสมบัติอีกไม่กี่เดือน แต่ข้อเท็จจริงคือเราบริหารอยู่ในระบบของพรรคการเมืองอยู่แล้ว หากพรรคการเมืองอยากให้ใครมาในอนาคตก็ไม่ได้แปลว่าจะหามาคนมรทำหน้าที่ตรงนี้ไม่ได้ ก็ทำความเข้าใจกันก็ได้ว่าแต่เดี๋ยวจากนี้จะมีการปรับต่อไปอะไรก็ว่าไป แต่ว่างแบบนี้ก็แปลกอยู่
ส่วนกรณีที่พรรคเพื่อไทยพยายามชูจุดแข็งเรื่องความสัมพันธ์ของผู้นำ กล่าวคือ ครอบครัวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย กับครอบครัวของฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ก็น่าจะทำให้พูดคุยกันได้ง่ายขึ้น ตนมองว่าเมื่อมีความสัมพันธ์ส่วนตัว เช่น ผมกับคุณเจอกัน นิสัยใจคอคุยกันรู้เรื่อง แบบบี้ช่วยได้ หมายถึงจะต่อสายถึงกันก็ไม่เป็นไร แต่หากมีเรื่องผลประโยชน์อื่นเข้ามาคราวนี้อาจยุ่งเพราะจะเริ่มแยกไม่ออกแล้วว่าอะไรส่วนตัวหรือส่วนรวม บางทีผิดใจกันส่วนตัวก็ลามกลายเป็นความผิดใจกันของคน 2 ฝั่ง
“จริงๆ ถ้าเราฟังทางฝั่งกัมพูชาพูดนะ เขาก็พยายามจะบอกว่าเขาแยกความสัมพันธ์ส่วนตัวกับเรื่องของประเทศชาติ ตรงนี้ที่มันเป็นปัญหามาตั้งแต่ต้น ผมบอกว่าใครมีความสัมพันธ์ส่วนตัวจะใช้ความสัมพันธ์ให้เป็นประโยชน์กับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ดี!..ถ้าไม่มีผลประโยชน์อื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง พูดกันเต็มๆ เรื่องผลประโยชน์ของชาติ เพียงแต่ว่าความเป็นคน 2 คนที่คุยกันเรื่อง คุยกันง่ายอะไรก็ว่าไป แต่ถ้ามันไปมีเรื่องผลประโยชน์แล้วทีนี้ ไปตกลงอะไรกันแล้วทำให้กันไม่ได้ คราวนี้เดี๋ยวมันจะเริ่มแยกไม่ออกแล้ว มันลากประเทศเข้าไปด้วย” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
คลิกชมคลิปเต็มที่นี่ (ถึงนาทีที่ 58.55) : https://www.youtube.com/watch?v=wQxamsYYn5I
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี