'สุรเดช'ลั่นไม่มีพื้นที่ทับซ้อน มีแต่ผลประโยชน์ทับซ้อน จี้ก.ต่างประเทศต้องแข็ง ยื่นหลักฐานใหม่ยืนยันต่อองค์การสหประชาชาติ กันเขมรเครม ชี้รัฐบาลอ่อนแอ ไม่ตอบโต้ ก็เท่ากับยอมรับ
เมื่อวันที่ 1 ส.ค.2568 นายสุรเดช ยะสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ชายแดนโดยเฉพาะพื้นที่ทับซ้อนที่จะเป็นชนวนให้เกิดปัญหาได้ว่า จากกรณีที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐได้ตั้งข้อสังเกตถึงปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชามีผลประโยชน์อะไรหรือไม่นั้น ส่วนตัวตนเห็นด้วยอย่างมาก กับสิ่งที่พล.อ.ประวิตร พูดเพราะความจริงแล้วพื้นที่บริเวณชายแดน รวมถึงพื้นที่ใต้ทะเล ไม่มีพื้นที่ทับซ้อน
นายสุรเดช กล่าวว่าในอดีตกัมพูชาพยายามเครมว่ามีพื้นที่ทับซ้อน ซึ่งไทยเราก็ยืนยันมาตลอดว่าไม่มีพื้นที่ทับซ้อน แต่อาจเป็นเรื่องของการขีดเส้นเขตแดนคนละแบบกัน โดยใช้แผนที่คนละฉบับ ดังนั้นเรื่องนี้น่าจะค่อนข้างชัดเจนว่าเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อน อย่างที่เข้าใจกัน และตรงนี้เองที่ทำให้ตนสงสัยว่าทำไมทหารกัมพูชาจึงกล้ามีเรื่องกับเรา เพราะที่ผ่านมา ทหารกัมพูชามีความหวั่นเกรงต่อศักยภาพของกองทัพอยู่แล้ว แต่ทำไมจึงกล้าที่จะมายั่วยุ มาร้องเพลงชาติกัมพูชาที่ปราสาทตาเมือนธม ตนจึงคิดว่าน่าจะเป็นการวางแผนมาก่อนแล้วหรือไม่ เพราะรู้อยู่แล้วว่าทหารไทยจะต้องไม่ยอม จะต้องปกป้องอธิปไตย จึงพยายามล่วงล้ำเข้ามาเพื่อให้ทหารไทยผลักดันออกไปจนมีเรื่อง และมีเหตุยิงกัน
"เมื่อผมได้วิเคราะห์เหตุดังกล่าว ทำให้โยงได้ถึงเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อนทางทะเล เพราะมีทรัพยากรใต้ทะเลจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นน้ำมันหรือก๊าซต่างๆ และตรงนี้อาจจะมีนายทุนต่างชาติที่อยากจะได้ผลประโยชน์ตรงนี้ไปแบ่งกันด้วย ซึ่งเรื่องนี้ทางนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็เคยพูดเองว่า ไม่เป็นไรถ้าทับซ้อนเราก็แบ่งกันคนละครึ่ง ซึ่งตรงนี้หรือเปล่าที่จะมีผลประโยชน์ทับซ้อน"
ทั้งนี้ในอดีตมีการตกลงเรื่องเขตแดนกับเวียดนาม ซึ่งใช้แผนที่ 1/50,000 ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร แล้วทำไมกัมพูชาไม่ใช้แผนที่ดังกล่าวนี้เหมือนกับเวียดนาม เพราะถ้ายึดตามแผนที่ 1/50,000 จะไม่มีปัญหาเรื่องของพื้นที่ทับซ้อนเลยเพราะฉะนั้นถ้าเรายอมกัมพูชา ก็เท่ากับเราจะเสียผลประโยชน์ใต้ทะเลครึ่งหนึ่ง ซึ่งในฝั่งไทยไม่มีปัญหาอยู่แล้วเพราะเป็นเรื่องที่รัฐบาลไทยต้องดูแล แต่ในกัมพูชา เขาอาจจะมีข้อตกลงที่จะต้องแบ่งกันและอาจไปดึงมาเลเซียเข้ามาร่วมด้วยหรือไม่ ทำไมผู้นำมาเลเซียจึงพยายามเจ้ากี้เจ้าการมาไกล่เกลี่ยต่างๆโดยอ้างในฐานะประธานอาเซียน ซึ่งความจริงเป็นเรื่องของทวิภาคีระหว่างไทยกับกัมพูชา ประเทศอื่นไม่ควรเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะเรายังไม่มีการประกาศสงครามอะไรกันเลยเป็นเพียงการปะทะกันตามแนวชายแดน
"ผมในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ไม่อยากให้มีการสูญเสียทรัพยากรต่างๆ แบบนี้ ผมเสียดายแทนคนไทย เสียดายแทนประเทศไทย เพราะเรามีหนี้สาธารณะที่จะต้องใช้จำนวนมากถึง 12 ล้านล้าน ถ้าพื้นที่ดังกล่าวสามารถเคลียร์ได้ว่าไม่มีพื้นที่ทับซ้อนจริงๆ เราก็จะมีเงินก้อนใหญ่ที่จะนำมาพัฒนาประเทศและใช้หนี้ได้ ดังนั้นเรื่องนี้ทางกระทรวงการต่างประเทศของไทยต้องต่อสู้ให้ถึงที่สุด ต้องยืนยันว่าไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อน โดยเอาหลักฐานมายืนยันว่า ปีที่กัมพูชาเครมพื้นที่ตรงนี้คือปีค.ศ. 1972 เป็นเรื่องไม่จริงและเราไม่ได้ยอมรับด้วย แต่เนื่องจากปัจจุบันรัฐบาลเราอ่อนแอ เราไม่ยอมรับก็เหมือนเรายอมรับเพราะเราไม่ได้ไปตอบโต้เขาเลย จึงอยากให้กระทรวงการต่างประเทศยึดมั่นตรงนี้เพราะความสูญเสียเกิดขึ้นแล้วแม้ว่าปัญหาจะเกิดขึ้นบนบกแต่ก็โยงไปที่ทะเลด้วย ดังนั้นเมื่อเกิดเรื่องอย่างนี้แล้วกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งวันนี้ได้เชิญผู้ช่วยทูตต่างๆมาดูข้อเท็จจริงในพื้นที่แล้ว ก็ควรจะทำหนังสือไปถึงองค์กรระหว่างประเทศด้วย เช่นองค์การสหประชาชาติ โดยแนบเอกสารใหม่ยืนยันไปว่าไม่มีพื้นที่ทับซ้อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี