ปิดดีลสำเร็จ!‘ทรัมป์’เคาะภาษีนำเข้า
ไทยถูกเรียกเก็บ19%
รัฐบาลโวประสบความสำเร็จ
ประชุมครม.นัดพิเศษทันที
รับทราบผลเก็บอัตราภาษี
เตรียมส่งให้สภาฯเห็นชอบ
“ทรัมป์” ตั้งกำแพงภาษีต่างตอบแทนอัตราใหม่ไทย 19% เท่า กัมพูชา-มาเลเซีย มีผลบังคับใช้ใน 7 วันข้างหน้า รัฐบาลโวประสบความสำเร็จ “ขุนคลัง” ปลื้มบอกสัมพันธ์แน่นแฟ้น หลัง “ทีมไทยแลนด์” ยอมแลกหลายมิติ ทั้งเปิดตลาดให้ลุงแซม ขายสินค้าด้านการเกษตรมากขึ้นและยกเว้นภาษีเกือบทั้งหมด เปิดทางให้มาลงทุนในEECโดยไม่มีเงื่อนไขให้มาตั้งฐานทัพในไทย ด้านขุนคลังประกาศความสำเร็จ เตรียมจัดมาตรการแก้ไขระเบียบอุ้มภาคส่งออกเอกชน ภาคการเกษตร และเยียวยาSMEที่ไม่ได้ไปต่อ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารเรียกเก็บภาษีแบบต่างตอบโต้ (Reciprocal Tariff) กับไทยอัตรา 19% จากเดิม 36% ซึ่งมีผลภายใน 7 วันหลังประกาศล่าสุด เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568
สำหรับ 10 ชาติอาเซียน หลังเจรจาภาษีกับทรัมป์ พบว่า เวียดนาม ถูกเรียกเก็บ 20% จากเดิม 46% อินโดนีเซีย ถูกเรียกเก็บ 19% จากเดิม 32% ลาว ถูกเรียกเก็บ 40% จากเดิม 48% ไทย ถูกเรียกเก็บ 19% จากเดิม 36% กัมพูชา ถูกเรียกเก็บ 19% จากเดิม 49% มาเลเซีย ถูกเรียกเก็บ 19% จากเดิม 24% สิงคโปร์ ถูกเรียกเก็บ 10% จากเดิม 10% เมียนมา ถูกเรียกเก็บ 40% จากเดิม 44% ฟิลิปปินส์ ถูกเรียกเก็บ 19% จากเดิม 18% บรูไน ถูกเรียกเก็บ 25% จากเดิม 24%
รัฐบาลโวประสพความสำเร็จ
ด้านนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป
นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐฯ สำเร็จแล้วก่อนหน้านี้
“การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง win-win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาวความ ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ ” นายจิรายุกล่าว
ขุนคลังบอกสัมพันธ์แน่นแฟ้น
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ได้โพสต์โซเชียลมีเดียว่าการประกาศ Tariff rate ที่ 19% สะท้อนถึงมิตรภาพและความเป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้นระหว่างไทย-สหรัฐฯ ช่วยให้ไทยยังคงแข่งขันได้ในเวทีโลก สร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน และเปิดประตูสู่การขยายตัวทางเศรษฐกิจ รายได้ และโอกาสใหม่ ๆ ให้กับประเทศไทย
การทำงานยังไม่สิ้นสุด รัฐบาลตระหนักถึงผลกระทบต่อผู้ประกอบการและพี่น้องเกษตรกร จึงได้จัดเตรียมมาตรการรองรับอย่างรอบด้าน ทั้งงบประมาณ Soft Loan เงินอุดหนุน มาตรการภาษี และการปฏิรูปกฎระเบียบที่จำเป็น เพื่อยกระดับให้ไทยสามารถปรับตัวและก้าวสู่โลกเศรษฐกิจในอนาคตได้อย่างมั่นใจ
ผลการเจรจาครั้งนี้เป็นสัญญาณให้ประเทศไทยต้องเร่งปรับตัว เดินหน้าสร้างเศรษฐกิจที่มั่นคง แข็งแกร่ง และพร้อมรับมือกับความท้าทายของโลกในอนาคต
“ขอบคุณทีมไทยแลนด์สำหรับความทุ่มเทและความพยายามอย่างเต็มที่ในสถานการณ์ที่ยากจะควบคุม แต่เรายังมีภารกิจอีกมากที่ต้องสู้ต่อไป เพื่อประเทศไทยของพวกเราทุกคน”นายพิชัย กล่าว
เผยไทยยังค้าขายได้
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.การคลัง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊ก ‘จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์’ เกี่ยวกับความคืบหน้าในการเจรจาภาษีนำเข้ากับสหรัฐฯ โดยระบุว่า ผมมีข่าวดีมาแจ้งครับ #ทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่ 19% ซึ่งถือเป็นระดับที่ “แข่งขันได้” เทียบเท่ากับประเทศหลักๆ ในอาเซียน เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์
ความสำเร็จครั้งนี้เป็นผลจากการเจรจาอย่างแข็งขันของ #ทีมไทยแลนด์ ที่นำโดยท่านพิชัย ชุณหวิชร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กระทรวงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และความร่วมมือจากภาคเอกชน ที่ได้เจรจาอย่างมีชั้นเชิงเพื่อผลักดันผลประโยชน์ของไทยในเวทีการค้าระดับโลก โดยเสนอแผนการที่สมดุลทั้งด้านการเปิดตลาด การลงทุน และการรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของชาติ
สำหรับผลลัพธ์ที่ได้ไม่ใช่แค่ตัวเลขอัตราภาษีที่ต่ำลงจากเดิม 36% แต่ผมเชื่อว่ามันคือประตูสู่โอกาสใหม่ ๆ สำหรับผู้ประกอบการไทย ให้ส่งออกได้คล่องขึ้น สินค้าไทยแข่งขันได้ดีขึ้น และต่างชาติสนใจลงทุนมากขึ้น เพราะเชื่อมั่นในเสถียรภาพและทิศทางเศรษฐกิจของไทย พร้อมสร้างโอกาสให้กับไทยบนเวทีโลกอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ ก้าวต่อไปของรัฐบาลคือการเดินหน้ามาตรการที่เตรียมไว้ให้กับภาคเอกชนและภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบจากกติกาการค้าครั้งใหม่นี้ ไม่ว่าจะเป็นการจัดหา soft loan การส่งเสริมด้านการลงทุน การ upskill และ reskill ลดต้นทุนการผลิตให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันได้ รวมทั้งเสริมสร้างขีดความสามารถของ SMEs อีกทั้งจะมีการพิจารณามาตรการเยียวยาเป็นรายภาคส่วน ต่อไป
หอการค้าชื่นชมทีมไทยแลนด์
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยหอการค้าไทย กล่าวว่า ขอแสดงความชื่นชมอย่างยิ่งต่อทีมเจรจาประเทศไทย (“ทีมไทยแลนด์”) ที่สามารถบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ ให้กำหนดอัตราภาษี “reciprocal tariff” สำหรับประเทศไทยอยู่ที่ 19% ซึ่งแทบไม่ต่างกับอัตราภาษีที่สหรัฐฯ ใช้กับประเทศในภูมิภาคอาเซียน เช่น อินโดนีเซีย (19%) และเวียดนาม (20%)
แม้ว่าอัตรานี้จะสูงกว่าพื้นฐาน 10% แต่ถือว่าเป็นผลงานที่ดีเยี่ยมในภาวะที่ประเทศไทยเคยเผชิญกับข่าวว่าจะถูกกำหนดอัตราภาษีสูงถึง 36% การที่ทีมเจรจาไทยสามารถเจรจาลดตัวเลขนั้นลงเหลือ 19% ได้ภายในเวลาที่จำกัด แสดงถึงความมุ่งมั่น ความเข้าใจในเชิงยุทธศาสตร์ และความสามารถในการดำเนินงานเชิงรุกของทีมเจรจาอย่างแท้จริง
“หอการค้าไทยเชื่อว่า แม้ระดับภาษีจะสูงขึ้นจากเดิม แต่ประเทศไทยยังมีความสามารถในการแข่งขันในภูมิภาค เมื่ออัตราภาษีใกล้เคียงกับประเทศอื่นในอาเซียน “นายพจน์ กล่าว
นายพจน์ กล่าวว่า อย่างไรก็ดีหอการค้าไทยยังสนับสนุนให้รัฐบาลพิจารณามาตรการรองรับ โดยเฉพาะการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยขยายตลาดใหม่ และเตรียมรับมือกับอัตราภาษีสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น ผ่านมาตรการสนับสนุนด้านเทคโนโลยี การเงิน การตลาดและนวัตกรรมทางการค้า นอกจากนี้ยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิดต่อ มาตรการ “transshipment rate” ที่สหรัฐฯ กำหนดไว้ที่ 40% สำหรับทุกประเทศ รวมถึง การเตรียมแผนรับมือด้านการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ด้วย
เรายังมั่นใจว่าการเจรจาต่อในด้านรายละเอียด จะช่วยให้สามารถปรับปรุงเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ในอนาคต และหวังว่าทีมไทยแลนด์จะเดินหน้าดำเนินหน้าที่ในบทบาทนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์สูงสุดของภาคธุรกิจของไทย
ทั้งนี้ หอการค้าไทยขอขอบคุณทีมเจรจาประเทศไทยทุกท่าน ที่ได้ทำงานอย่างหนักด้วยความเป็นมืออาชีพ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศไทย ขอให้ภาคเอกชนร่วมมือสนับสนุนรัฐบาลในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ เพื่อก้าวไปสู่ศักยภาพทางการค้าในระดับสากลต่อไป
เปิดทางสหรัฐลงทุนในEEC
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สิ่งที่ไทยยอมแลก 10 ข้อหลัก เพื่อภาษี 19% จากสหรัฐฯ 1. ยกเว้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ 90% ของรายการ ไทยเสนอเปิดภาษีเป็น 0% สำหรับสินค้านำเข้าจากสหรัฐกว่า 10,000 รายการ (จากทั้งหมดประมาณ 11,000 รายการ) โดยส่วนใหญ่เป็นของที่ไทยไม่ได้ผลิตเอง หรือผลิตไม่พอ เช่น เครื่องมือแพทย์ ชิ้นส่วนยานยนต์ขั้นสูง และอาหารเฉพาะทาง
2. ลดมาตรการกีดกันทางเทคนิค (NTBs)ไทยยอมลดอุปสรรคด้านสุขอนามัย ศุลกากร และขั้นตอนการรับรองสินค้าสหรัฐ เช่น การใช้ระบบ “post-clearance audit” (อนุญาตให้สินค้าผ่านด่านก่อนแล้วตรวจย้อนหลัง) เพื่อเร่งกระบวนการและลดภาระต้นทุนให้ผู้ส่งออกสหรัฐ
3. เปิดทางให้สหรัฐเข้าลงทุนในอีอีซีและโครงสร้างพื้นฐานไทยเสนอบริการ fast-track พร้อมสิทธิประโยชน์ BOI (Board of Investment) แก่บริษัทอเมริกันใน 3 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่: พลังงานสะอาด, Semiconductor/ICT, และโลจิสติกส์ เพื่อให้สหรัฐเห็นไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนในอาเซียน
ต้องซื้อเครื่องบินสหรัฐ
4. สั่งซื้อพลังงาน และอากาศยานจากบริษัทสหรัฐ ภาครัฐและเอกชนไทยรวมกันเตรียมสั่งซื้อ LNG (ก๊าซธรรมชาติ) จากบริษัทสหรัฐ และ เครื่องบิน Boeing รุ่นใหม่ ซึ่งช่วยลดดุลการค้าของไทยที่เกินดุลสหรัฐต่อเนื่องมาหลายปี
5. ให้คำมั่นลด “เกินดุลการค้า” กับสหรัฐ 70% ภายใน 5 ปี ไทยเสนอ roadmap เพื่อลดดุลการค้ากับสหรัฐ (ที่ปัจจุบันเกินดุลกว่า 1.2 แสนล้านบาทต่อปี) ให้เหลือเพียง 30% ภายในปี 2573 โดยเพิ่มการนำเข้าและดึงการลงทุนกลับเข้าสู่สมดุล
6. รับกติกา RVC ใหม่ (Rules of Origin)ไทยยินยอมใช้ระบบตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้าที่ยืดหยุ่นน้อยลง เพื่อป้องกันกรณี “สินค้าจีนอ้อมทางไทย” และสร้างความเชื่อมั่นว่าสินค้าไทยไม่ถูกใช้เป็นทางผ่านเพื่อหลบภาษี
7. ลดภาษีบริการดิจิทัล/คลาวด์จากสหรัฐไทยเสนอเว้นภาษี 5% ชั่วคราวสำหรับบริการดิจิทัลของบริษัทสหรัฐ (เช่น AWS, Google Cloud) เป็นเวลา 2 ปี เพื่อเปิดประตูให้บริษัทเทคโนโลยีอเมริกันเข้ามาลงทุนและให้บริการในไทยมากขึ้น
ขยายโควต้านำเข้าสินค้าเกษตร
8. ขยายโควตานำเข้าพืชเกษตรจากสหรัฐฯไทยยอมเพิ่มโควตานำเข้า ข้าวโพด, ข้าวบาร์เลย์ และถั่วเหลือง จากสหรัฐ เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ในไทย และตอบแทนข้อเรียกร้องจากภาคเกษตรอเมริกัน
9. กันสินค้ายุทธศาสตร์บางรายการไม่ให้ถูกบีบเปิดภาษี 0%แม้ไทยจะเปิดภาษี 0% ส่วนใหญ่ แต่ยังคงภาษีเดิมไว้กับสินค้าสำคัญ เช่น ข้าว น้ำตาล ผลไม้แปรรูป และอุตสาหกรรมอาหารที่ไทยมีความสามารถในการแข่งขันสูง เพื่อปกป้องเกษตรกรและผู้ผลิตในประเทศ
ไม่มีเงื่อนไขให้สหรัฐตั้งฐานทัพ
10. ปฏิบัติตามเงื่อนไขสงบศึกไทย–กัมพูชาแม้จะไม่ได้ระบุอย่างเป็นทางการในข้อตกลง แต่การที่ไทยยอม “ลดความตึงเครียดชายแดน” ถูกมองว่าเป็นปัจจัยแฝงที่สหรัฐใช้ประกอบการตัดสินใจให้ลดภาษีตอบแทน
สรุป ไทยยอมแลกหลายมิติ ทั้งเปิดตลาดให้สหรัฐฯ มากขึ้น ยกเว้นภาษีเกือบหมด, เชิญลงทุน, เพิ่มนำเข้า, และร่วมมือด้านความมั่นคง แลกกับการที่ “ภาษีตอบแทน” ที่สหรัฐจะเก็บจากไทย ลดลงจาก 36% เหลือ 19% และเริ่มบังคับใช้วันที่ 1 ส.ค. 68 และเกี่ยวข้องเฉพาะการค้าและการลงทุน ไม่มีเงื่อนไขตั้งฐานทัพสหรัฐฯ ในไทยตามที่เป็นข่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี