กต.เชิญทูต 41 ประเทศ และองค์กรภาคี รวม 61 คน เข้าฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา
15 สิงหาคม 2568 เมื่อเวลา 11.00 น. นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศ ได้มีการบรรยายสรุปถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 โดยการสรุปผลในวันนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ข้อเท็จจริงกรณีที่ฝ่ายกัมพูชารอบวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลให้ทหารไทยหลายท่านได้รับบาดเจ็บถึงขั้นทุพพลภาพถาวร และสร้างความเสี่ยงต่อชีวิตของประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดน นอกจากนี้ การบรรยายสรุปในวันนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อชี้แจงข้อมูลข้อเท็จจริงและเหตุผลเกี่ยวกับการดำเนินการของไทย
โดยในครั้งนี้กระทรวงการต่างประเทศ ได้เชิญคณะทูตประเทศสมาชิกอาเซียนและภาคีอนุสัญญาห้ามทุนระเบิดสังหารบุคคล หรือ อนุสัญญาออสตาวา รวมทั้งผู้แทนองค์การระหว่างประเทศ และองค์กรภาคประชาสังคมด้านการเก็บกู้ทุนระเบิดเข้าร่วม โดยมีผู้เข้าร่วมรับฟังประกอบไปด้วยเอกอัครราชทูตหรือผู้แทนทั้งหมด 41 ประเทศ หนึ่งองค์กรและองค์การระหว่างประเทศ รวมทั้งสิ้น 61 ท่าน มาเข้าร่วมรับฟังการบรรยาย
โดยมี นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้กล่าวเปิดผ่านวิดีโอคอล เนื่องจากตอนนี้ติดภารกิจอยู่ระหว่างการเข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบแม่โขง-ล้านช้าง ที่เมืองอันหนิง ประเทศจีน ซึ่งประเทศไทยจะต้องเข้าร่วมเนื่องจากเป็นประธานร่วมของการประชุมดังกล่าวกับจีน
หลังจากนั้น เป็นการบรรยายสรุปของ นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ ตามด้วย พล.ท.ณัฐพงษ์ เพราแก้ว เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร ผู้แทนหน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรม นายปิยภักดิ์ ศรีเจริญ อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก และ นางสาวพินท์ุสุดา ชัยนาม อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ
นายนิกรเดช กล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวเปิด ได้ย้ำถึงวัตถุประสงค์ของการจัดการบรรยายสรุปในวันนี้ เพื่อชี้แจงให้ประชาคมโลกได้ทราบว่าความจริงที่ครบถ้วนคืออะไร การวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลโดยฝ่ายกัมพูชา ซึ่งเป็นการละเมิดต่ออนุสัญญาออสตาวาที่กัมพูชาเป็นภาคี และความไม่ตั้งจิตใจจริงของกัมพูชาในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด แม้ฝ่ายไทยจะเสนอให้มีการเก็บกู้ทุ่นระเบิดร่วมกันในช่วง 3ถึง4ปีที่ผ่านมาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ย้ำถึงความมุ่งมั่นของฝ่ายไทยในการปฏิบัติตามอนุสัญญาและข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด
ต่อมา นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำ กต. ได้สรุปผลที่สำคัญของการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือจีบีซี สมัยวิสามัญ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 โดยชี้ให้เห็นถึงผลกระทบของการใช้ทุ่นระเบิด ต่อความปลอดภัย และความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ โดยฝ่ายไทยได้เสนอให้ฝ่ายกัมพูชา 2 เรื่อง 1. คือการเก็บคู่ทุนระเบิด และ 2 เรื่องการปราบปรามการหลอกลวงทางออนไลน์ร่วมกัน แต่ทั้ง2 ข้อนี้ไม่ได้รับการตอบสนองจากฝ่ายกัมพูชา นอกจากนี้ ยังได้ย้ำถึงความโปร่งใสในการดำเนินการของฝ่ายไทยที่ได้จัดให้คณะทูตลงพื้นที่สังเกตการณ์ผลกระทบต่อการโจมตีอย่างไม่เลือกเป้าของฝ่ายกัมพูชา เมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา และอีกครั้งหนึ่งในวันพรุ่งนี้ ก็จะจัดให้มีการลงพื้นที่เพื่อสังเกตการณ์การใช้ทุ่นระเบิดโดยฝ่ายกัมพูชา
ต่อมา พล.ท.ณัฐพงษ์ เพราแก้ว เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยปฏิบัติการทุกระเบิดด้านมนุษยธรรม ได้ให้ข้อมูลและข้อเท็จจริงกับเหตุการณ์ทหารไทยเหยียบกลับระเบิดที่วางโดยฝ่ายกัมพูชา ตั้งแต่ครั้งแรก วันที่ 16 กรกฎาคม ในพื้นที่ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี จนถึงครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2568 พร้อมทั้งให้ข้อมูลเกี่ยวกับภารกิจและการใช้เทคโนโลยี การตรวจสอบการเก็บกู้ทุ่นระเบิดของฝ่ายไทย และบทบาทของหน่วยงานปฏิบัติการในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด
และต่อมา นายปิยภักดิ์ ศรีเจริญ อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก ได้ให้ข้อมูลความพยายามของฝ่ายไทย ในช่วงที่ผ่านมาที่ผลักดันให้ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันในเรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิดร่วมกัน แต่เหตุการณ์เหยียบกับระเบิดโดยฝ่ายทหารไทยล่าสุด แสดงให้เห็นว่าเรื่องการกวาดล้างทุ่นระเบิดเพื่อนมนุษยธรรม ไม่ใช่ประเด็นที่ฝ่ายกัมพูชาให้ความสำคัญ โดยไทยได้ทำการประท้วงกัมพูชาในช่องทางทางการทูตต่างๆไปแล้ว และผลักดันเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง การประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค หรืออาร์บีซี และรวมถึงการประชุม จีบีซี ที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้
สุดท้าย นางพินทุ์สุดา ชัยนาม อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ ได้ให้ข้อมูล เกี่ยวกับการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ กฎบัตรสหประชาชาติ อนุสัญญาออสตาวาโดยฝ่ายกัมพูชา จากการรอบวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ตลอดจนการดำเนินการชี้แจง การนำเสนอข้อเท็จจริงของฝ่ายไทย และการประท้วงของไทยต่อกรณีข้างต้น ในเวทีพหุภาคีต่างๆ
ทั้งนี้ นายนิกรเดช ได้กล่าวสรุปประเด็นสำคัญของการบรรยาย เมื่อวันนี้ ว่า มี 6 เรื่อง
โดยเรื่องแรก ประเทศไทยยึดมั่นในกฎหมายระหว่างประเทศและพร้อมปฎิบัติตามพันธะกรณีระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด รวมถึงพันธะกรณีภายใต้อนุสัญญาออสตาวา ในการ กำจัดทุ่นระเบิดให้หมดไป ทั้งด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยและด้านมนุษยธรรมสำหรับประชาชน โดยจนถึงปัจจุบันไทยได้เก็บกู้พื้นที่ปนเปื้อนทุ่นระเบิดไปแล้วกว่า 99.5% ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 2500 ตารางกิโลเมตร และยังให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยให้สามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรี
2. ช่วงเวลาไม่ถึง 1 เดือนที่ผ่านมาทหารไทยต้องเหยียบกับระเบิดที่วางโดยฝ่ายกัมพูชามาแล้ว 5 ครั้ง เมื่อวันที่ 16 วันที่ 23 และ 28 กรกฎาคม และล่าสุดเมื่อวันที่ 9 และ 12 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้ทุพพลภาพถาวร 5 ท่าน และมีผู้ได้รับบัตรเจ็บหลัก 10 คน โดยฝ่ายไทยมีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่บ่งชี้ว่าทุ่นระเบิดที่พบบริเวณชายแดนเป็นทุนระเบิดประเภท PMN2 ที่ถูกนำมาวางใหม่ ไม่ใช่ทุ่นระเบิดที่เป็นมรดกจากสงครามในอดีต ที่ฝ่ายกัมพูชากล่าวอ้าง และขอย้ำว่าฝ่ายไทย ไม่มีทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในครอบครองแล้ว
3. ประเทศไทยได้ดำเนินการประท้วงกัมพูชาในช่องทางต่างๆไม่ว่าจะเป็นการดำเนินการตามกรอบอนุสัญญาออสตาวา การมีหนังสือประท้วงไปยังเลขาธิการสหประชาชาติ ประท้วงไปยังประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ โดยไทยประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลโดยกัมพูชา ซึ่งเป็นการละเมิดอธิปไตย เป็นการละเมิดบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ รวมทั้งหลักการพื้นฐานของกฎบัตรสหประชาชาติ รวมทั้งยังเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และพันธะกรณีตามอนุสัญญาออสตาวา ที่ทั้งไทยและกัมพูชาเป็นภาคี อีกทั้งยังเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงที่กำหนดให้ประเทศทั้งสองยุตติการใช้อาวุธทุกชนิด รวมถึงถ้วยระเบิดสังหารบุคคลด้วย
4. กัมพูชาปฏิเสธที่จะหารือเรื่องการเก็บกู้ทุนระเบิด รวมถึงการปราบปรามการหลอกลวงทางออนไลน์ ตามที่ไทยเคยเสนอการประชุมจีบีซีสมัยวิสามัญที่ผ่านมา ซึ่งตรงนี้สะท้อนให้เห็นพฤติการที่ไม่สุจริตใจและไม่จริงใจของฝ่ายกัมพูชา ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้กัมพูชายุตติการกระทำที่ละเมิดอนุสัญญาออสตาวา และข้อตกลงหยุดยิงโดยทันที แสดงความจริงใจที่จะฟื้นฟูสันติภาพบริเวณชายแดนและหันกลับมาร่วมมือกับไทยในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ชายแดน
5. ประเทศไทยหวังว่า ประเด็นเรื่องการเก็บคู่ทุนระเบิดจะได้รับการพิจารณาในการประชุม อาร์บีซี และ จีบีซี ที่กำลังจะมีขึ้นในเร็วๆนี้ ซึ่งเป็นประเด็นที่ส่งผลต่อความปลอดภัยและการดำเนินชีวิตของพี่น้องประชาชนทั้งสองฝั่ง
6. ในวันที่ 16 สิงหาคม 2568 นี้ กระทรวงการต่างประเทศ พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะจัดให้คณะทูตประเทศสมาชิกอาเซียน รัฐภาคีอนุสัญญาออสตาวา และผู้แทนองค์กรภาคประชาสังคม ที่มีภารกิจด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิด รวมทั้งสื่อมวลชนไทยและสื่อมวลชนต่างประเทศ ลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อสังเกตการณ์ความเสียหาย ที่เกิดเกิดจากการใช้ทุ่นระเบิดของฝั่งกัมพูชา ซึ่งบุคคลกลุ่มนี้จะได้นำหลักฐานเชิงประจักษ์ต่างๆกลับไปพิจารณาทบทวนให้ความช่วยเหลือแก่กัมพูชาในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดอย่างรอบคอบ รวมทั้งกดดันให้กัมพูชาในฐานะรัฐภาคีอนุสัญญาแสดงความรับผิดชอบในเรื่องนี้
นายนิกรเดช กล่าวย้ำเพิ่มเติมว่า 1.ไทยยังยืนยันความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาเขตแดนและความตึงเครียดต่างๆกลับกัมพูชาโดยสันติวิธีผ่านกลไกลทวิภาคีที่เรามีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นอาร์บีซี จีบีซี หรือเจบีซี ไทยจะปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงด้วยความจริงใจและความสุจริตใจ และเราก็คาดหวังในทางเดียวกันให้ทางกัมพูชาแสดงความจริงใจและสุจริตใจในกลไกเหล่านี้เหมือนกัน
2. ฝ่ายไทย ขอเรียกร้องให้กัมพูชายุตติการบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ซึ่งนอกจากจะขัดต่อเงื่อนไขข้อตกลงหยุดยิง ที่กำหนดให้งดเว้นการเผยแพร่ข้อมูลเท็จหรือข่าวปลอมแล้ว ยังไม่เป็นผลดีต่อการสร้างภาวะที่เอื้อต่อการแก้ไขปัญหาและลดความตึงเครียดที่มีอยู่
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี