อัดกัมพูชายัดไส้รื้อลวดหนาม
ทัพภาค1โต้เดือด
ย้ำไม่ใช่มติการประชุม RBC
ทภ.2ชี้สถานการณ์ยังน่าห่วง
เขมรซุ่มวางทุ่นระเบิดฝั่งไทย
กต.จวกสมุน‘ฮุนเซน’ปากแข็ง
กองทัพภาคที่ 1 แฉเขมรยัดไส้เอกสารแถลงผลการประชุม RBC ฝ่ายเขมรอ้างที่ประชุมตกลงมาตรการจัดการ “รื้อแนวรั้วลวดหนาม ยางรถยนต์ และสิ่งกีดขวางเพื่อช่วยเหลือชุมชนที่ได้รับผลกระทบ” บรรเทาความยากลำบากให้ประชาชนเดินทางกลับบ้านได้ ยันการรื้อรั้วลวดหนามเป็นเพียงข้อเสนอฝ่ายเดียวของกัมพูชา ไม่ใช่มติที่ประชุม RBC ด้านกองทัพภาคที่ 2 เผยสถานการณ์ยังน่าห่วงพบทหารเขมรดักซุ่มเนิน 350 ตรวจการณ์ฝ่ายไทย ก่อนเจอทุ่นระเบิด PMN-2 ล้ำเข้าฝั่งไทย 100 เมตร ขณะที่บัวแก้วอัดเขมรปากแข็ง
เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม ศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพภาคที่ 1 ชี้แจงข้อเท็จเรื่องการรื้อเครื่องกีดขวางจากการผลการประชุม RBC สมัยวิสามัญว่าตามที่ปรากฏเอกสารข่าวประชาสัมพันธ์ เรื่อง ผลสำเร็จการเจรจาระหว่างกัมพูชาและไทย จากการประชุมคณะกรรมการชายแดนภูมิภาค (RBC) สมัยวิสามัญ วันที่ 22 สิงหาคม 2568 จังหวัดสระแก้ว ราชอาณาจักรไทย ของภูมิภาคทหารที่ 5 ประเทศกัมพูชา ฉบับภาษาอังกฤษ ที่ปรากฏข้อความบางส่วนในประเด็นเรื่อง “ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงหารือถึงมาตรการปฏิบัติเพื่อจัดการกับลวดหนาม ยางรถยนต์ และสิ่งกีดขวางอื่น ๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือชุมชนที่ได้รับผลกระทบ บรรเทาความยากลำบาก อำนวยความสะดวกให้ประชาชนเดินทางกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย และลดผลกระทบต่อการดำรงชีพโดยเร็วที่สุด”
กองทัพภาคที่1 ขอเรียนชี้แจงข้อเท็จจริงว่า ข้อความดังกล่าวเป็นเพียงคำกล่าวฝ่ายเดียว ที่ไม่ได้เป็นข้อหารือในการจัดทำบันทึกเอกสารข้อตกลงของคณะกรรมการฯ และคณะเลขานุการฯ ทั้งสองฝ่าย แต่ปรากฏอยู่ในคำกล่าวของ รอง ผบ.ทบ./ ผบ.ภท.5/ ประธานร่วมการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ฝ่ายกัมพูชา โดยในช่วงการกล่าวเปิดมีประเด็นสำคัญเรื่อง “การจัดระเบียบพื้นที่ชายแดน ในพื้นที่ MOU ปี 2543 ควรดำเนินการให้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ของทั้งสองประเทศกัมพูชา - ไทย หารือ”
และในช่วงการกล่าวปิดการประชุม มีประเด็นสำคัญเรื่อง “การรื้อแนวรั้วลวดหนาม ยางรถยนต์ และสิ่งกีดขวางอื่นๆ เพื่อช่วยเหลือชุมชนที่ได้รับผลกระทบ”
ทั้งนี้ มทภ.1 ในฐานะประธานร่วมการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ฝ่ายไทย ได้กล่าวตอบในประเด็นดังกล่าวในช่วงปิดการประชุม โดยสรุปใจความสำคัญ คือ “เรื่องข้อหารือต่างๆ ที่ไม่ได้อยู่ในบันทึกเอกสารข้อตกลงของ คณะกรรมการ และคณะเลขานุการฯ ของทั้งสองฝ่าย ขอให้นำไปหารือในการประชุมของคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) เพื่อนำไปดำเนินการในการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ต่อไป”
ทภ.2 แฉพบทหารกัมพูชาดักซุ่ม
ในส่วนของกองทัพภาคที่ 2 ได้อัปเดตสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาว่า เมื่อวันที่ 22 ส.ค.เวลา 16.00 น. ทหารฝ่ายไทยได้ตรวจพบทหารฝ่ายกัมพูชา ประมาณ 2–3 นาย คาดว่าเป็นหน่วย BHQ เนื่องจากมีการสวมหมวกทรง FAST สีดำ และได้กระทำการดักซุ่มตรวจการณ์ฝ่ายไทย บริเวณทิศตะวันตก เนิน 350 ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ห่างจากแนวเส้นปฏิบัติการเข้ามาฝั่งไทยประมาณ 100 เมตร
ขณะเข้าทำการตรวจสอบพื้นที่ หน่วยได้ตรวจพบทุ่นระเบิด PMN-2 บริเวณจุดที่พบทหารกัมพูชาดักซุ่ม จำนวน 1 ทุ่น หน่วยจึงได้ใช้เครื่องตรวจทุ่น ตรวจสอบพื้นที่โดยละเอียด และได้ทำเครื่องหมาย เพื่อรอรับการสนับสนุนชุดตรวจค้นทุ่นระเบิดดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ จากสถานการณ์ดังกล่าวยืนยันได้ว่า ฝ่ายกัมพูชายังคงลักลอบใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในพื้นที่อธิปไตยของไทย ซึ่งเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงและละเมิดสนธิสัญญาออตตาวาอย่างต่อเนื่อง
บัวแก้วอัดเขมรปากแข็ง
วันเดียวกัน นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวกับสื่อมวลชนไทยภาคภาษาอังกฤษ เพื่อชี้แจงการดำเนินการของรัฐบาลไทยให้ประชาคมโลกรับทราบ โดยเฉพาะการประท้วงของรัฐบาล กระทรวงการต่างประเทศ และกองทัพต่อการวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลของกัมพูชา ที่ละเมิดอำนาจอธิปไตยไทย ละเมิดอนุสัญญาออตตาวา รวมทั้งละเมิดข้อตกลงการหยุดยิง ตลอดจนกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศ ได้นำคณะทูตานุทูต ลงพื้นที่ 2 ครั้ง เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง และหลักฐานเชิงประจักษ์ต่อการกระทำของกัมพูชาแล้ว และพยายามชี้ให้เห็นถึงการละเมิดมนุษยธรรม ที่ไม่ใช่เพียงเรื่องความมั่นคง หรือเรื่องทางทหารระหว่างไทย-กัมพูชาแต่เป็นภัยมนุษยชาติโดยรวมที่ต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหานี้ โดยล่าสุดมีรายงานว่าฝ่ายกัมพูชาได้แสดงท่าทีผ่อนปรนมากขึ้นที่จะร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด แม้ยังคงปฏิเสธว่ากัมพูชาไม่ได้วางทุ่นระเบิดใหม่ แต่จะสำรวจร่วมกับประเทศไทย เพื่อกำหนดพื้นที่เร่งด่วนตามแนวชายแดน ที่ควรทำการเก็บกู้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล
ส่วนความคิดริเริ่มเรื่องคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (Interim Observer Team) หรือ IOT และข้อเสนอคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (ASEAN Observer Team) หรือ AOT นั้น ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันว่า ประเทศไทยยินดีกับทั้ง 2 ข้อเสนอ แต่ก็เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจข้อแตกต่างสำคัญระหว่างรูปแบบทั้งสองดังกล่าว เพราะ IOT นั้น คณะผู้สังเกตการณ์ จะประกอบด้วยผู้ช่วยทูตทหารจากรัฐสมาชิกอาเซียนที่ประจำการอยู่ในประเทศไทยและกัมพูชาที่ประจำการอยู่แล้ว ทำให้สามารถลงพื้นที่และปฏิบัติการภารกิจการสังเกตการณ์ได้อย่างรวดเร็วทันที ส่วน AOT จะต้องมีการส่งผู้สังเกตการณ์ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ทหารมาจากเมืองหลวงของประเทศสมาชิกเข้ามาดำเนินการ ซึ่งภายใต้กฎหมายไทย กระบวนการดังกล่าวจะต้องมีการพิจารณาตามขั้นตอนต่างๆ ที่กฎหมายระบุไว้ก่อน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการลงพื้นที่ออกไป
ต้องหารืออย่างรอบคอบ
ทั้งนี้ ในหลักการประเทศไทยสนับสนุนแนวคิดทั้งเรื่อง IOT และ AOT แต่จำเป็นต้องมีการหารือกันอย่างรอบคอบถึงเรื่องการกำหนดรูปแบบและขอบเขตการดำเนินงานร่วมกันให้มีความชัดเจนก่อน และที่สำคัญเพื่อให้เป็นกลไกที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้รวดเร็วทันที ที่จะตอบสนองต่อภารกิจที่ได้มีการตกลงกันไว้ตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ และ IOT ยังสามารถปรับเพิ่มอีก โดยหากจะมีการปรับปรุงในเรื่องของ IOT ก็ควรนำไปหารือในกลไก GBC เพราะ IOT เป็นข้อตกลงระหว่าง 2 ประเทศที่เป็นรูปธรรมไปแล้ว โดยมีมาเลเซียเป็นประจักษ์พยาน หากจะเปลี่ยนแปลงใดใด ที่ประชุม GBC ของทั้งสองประเทศต้องเป็นคนอนุมัติ
ผบ.ทบ. เยี่ยม ฐานภูมะเขือ
พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก พร้อมคณะผู้บังคับบัญชาของกองทัพบก เดินทางไปตรวจเยี่ยมและติดตามการปฏิบัติงานของหน่วยทหารในพื้นที่ชายแดนด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ห้วงวันที่ 22-23 ส.ค.68 โดยมี พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ในฐานะผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 ให้การต้อนรับ
โดยวานนี้ (22 ส.ค.68) ผู้บัญชาการทหารบกได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมให้กำลังใจกำลังพล และติดตามการเสริมสร้างความมั่นคงในพื้นที่ ฐานปฏิบัติการภูมะเขือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ โดยผู้บัญชาการทหารบกได้กล่าวขอบคุณในความเสียสละ และขอเป็นกำลังใจให้กำลังพลทุกนายที่ปฏิบัติภารกิจที่สำคัญในครั้งนี้ ด้วยความเสี่ยงและภายใต้ความกดดันบริเวณแนวชายแดน ขอให้มีความระมัดระวัง และยึดถือมาตรการรักษาความปลอดภัยในการปฏิบัติงานอย่างเคร่งครัด มีวินัยและอดทนอดกลั้นต่อเหตุการณ์ที่ต้องเผชิญ ซึ่งผู้บังคับหน่วยต้องกำกับดูแลใส่ใจกำลังพลในทุกระดับ ซึ่งหากต้องการขอรับการสนับสนุนเพิ่มเติมในส่วนใด สามารถประสานมายังหน่วยเหนือตามสายการบังคับบัญชาได้ในทันที ขณะเดียวกันหน่วยในพื้นที่ต้องติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด เพื่อพัฒนาแผนการปฏิบัติให้สอดคล้องกับสถานการณ์ตลอดเวลา ควบคู่กับการใช้มาตรการต่างๆ ที่ทำให้เกิดความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานเป็นสำคัญ
ฟังสรุปคำบรรยาย
และในที่ 23ส.ค.68 ผู้บัญชาการทหารบกได้รับฟังบรรยายสรุปแนวทางการบริการทางการแพทย์ ของหน่วยสายแพทย์กองทัพภาคที่ 2 จาก พลตรี ณรงค์ ภักดีศุภผล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลค่ายสุรนารี/แพทย์ใหญ่กองทัพภาคที่ 2 ซึ่งได้รายงานการเตรียมความพร้อมของโรงพยาบาลทหารในพื้นที่ ในการดูแลป้องกันสุขภาพ และให้การรักษากำลังพลที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ชายแดนแบบองค์รวม ตามพันธกิจอนุรักษ์กำลังรบ ได้แก่ การส่งเสริมสุขภาพกำลังพล, การส่งกลับสายแพทย์, การรักษาพยาบาลกำลังพลที่เจ็บป่วย และล่าสุดคือการจัดทีมประเมินและช่วยเหลือเยียวยาจิตใจผู้ประสบภาวะวิกฤต (M-MCATT) ลงพื้นที่ตรวจสุขภาพและประเมินสภาพจิตใจของกำลังพลที่ปฏิบัติงานบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา รวมทั้งญาติกำลังพลที่สูญเสีย และประชาชนในศูนย์อพยพ เพื่อคลายความกังวลใจ และสามารถนำผู้ที่มีความเสี่ยงเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูเยียวยาได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งผู้บัญชาการทหารบกได้กล่าวชื่นชมและให้กำลังใจทหารเหล่าแพทย์ ที่ได้ดูแลสุขภาพกำลังพลที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ชายแดนในทุกมิติ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเตรียมกำลังพลของกองทัพบกให้มีความพร้อมต่อภารกิจ ขอให้หน่วยสายแพทย์ดำรงความต่อเนื่องในการลงพื้นที่พบปะกำลังพลในทุกฐานปฏิบัติการ ขณะเดียวกันต้องมีการซักซ้อมแผนการปฏิบัติด้านการแพทย์อยู่เสมอ เพื่อให้สามารถปฏิบัติได้ตามมาตรฐาน ภายใต้ข้อจำกัดของเวลาและพื้นที่ปฏิบัติการ และต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของทุกส่วนเป็นสำคัญ
ประสานความร่วมมือสปป.ลาว
จากนั้นผู้บัญชาการทหารบกและคณะได้เดินทางไปยังสถานีเรือโขงเจียม จ.อุบลราชธานี เพื่อตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง (นรข.) ของกองทัพเรือที่ปฏิบัติภารกิจเสริมความมั่นคงตามแนวชายแดนไทย-สปป.ลาว ร่วมกับกองกำลังสุรนารีมาอย่างต่อเนื่อง โดยได้พบปะพูดคุยกำลังพล ขอบคุณและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ชายแดนด้วยความทุ่มเทและเสียสละ ก่อนร่วมลาดตระเวนตรวจภูมิประเทศทางน้ำ เพื่อติดตามสถานการณ์ตามแนวชายแดนตลอดลำน้ำโขงอย่างใกล้ชิด
เริ่มฟื้นฟูปั๊มน้ำมัน ปตท.
ส่วนบรรยากาศที่บริเวณปั้มน้ำมัน ปตท. บ้านผือ ตำบลเมือง อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ครบหนึ่งเดือนนับจากวันเกิดเหตุจรวจ BM-21 ตกใส่ร้านสะดวกซื้อ เมื่อวันที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมาได้มีการดำเนินการรื้อถอนเศษซากที่เกิดจากแรงระเบิดและความเสียหายต่าง ๆ โดย บริษัทประกันภัย ได้ลงพื้นที่เพื่อประเมินความเสียหาย พร้อมเก็บรวบรวมชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกับเหตุระเบิด เพื่อนำไปใช้ประกอบการตรวจสอบและดำเนินคดีตามขั้นตอนเสร็จสิ้นแล้ว การเคลียร์พื้นที่ดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อเตรียมการก่อสร้างและฟื้นฟูใหม่ทั้งหมด ส่วนเงินเยียวยา หรือเงินประกันฯ ยังไม่ได้รับแต่อย่างใด
นางกมลรัตน์ พลเศรษฐเลิศ เจ้าของปั๊มน้ำมัน เปิดเผยว่า แม้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะสร้างผลกระทบต่อจิตใจของพนักงานและชาวบ้านในพื้นที่ แต่ขณะนี้ร้านคาเฟ่อเมซอน ซึ่งตั้งอยู่ภายในปั๊ม ได้กลับมาเปิดให้บริการตามปกติแล้ว โดยมีลูกค้าแวะเวียนมาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากพื้นที่ใกล้เคียงและจังหวัดรอบนอก หลายรายตั้งใจมาให้กำลังใจพนักงาน
สำหรับปั๊มน้ำมัน คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ภายในสัปดาห์หน้า หากการปรับปรุงแล้วเสร็จและผ่านการประเมินจากหน่วยงานด้านพลังงาน ส่วนร้านเซเว่นฯ ที่ได้รับความเสียหายจากเหตุระเบิด กำลังอยู่ระหว่างการรื้อถอนและวางแผนสร้างใหม่ คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 3 เดือน แต่หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ อาจล่าช้าออกไปถึง 4 เดือน ตอนนี้ดิฉันต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในส่วนของเงินเดือนพนักงานเอง เพราะทุกคนก็ต้องดำรงชีวิตต่อไป ส่วนผู้ประกอบการที่เช่าพื้นที่ในปั๊มอีก 7 ร้าน ก็ยังไม่ได้เก็บค่าเช่า เนื่องจากเข้าใจว่าทุกร้านได้รับผลกระทบเต็มที่เช่นกัน สิ่งที่รอคอยคือภาครัฐดำเนินการไปถึงไหนแล้วแจ้งเราสักนิด
นอกจากนี้ยังสะท้อนความรู้สึกของประชาชนในพื้นที่ชายแดนที่ยังคงใช้ชีวิตท่ามกลางความหวาดระแวง หลายคนยังคงนอนไม่หลับ และเกิดอาการผวาทุกครั้งที่ได้ยินเสียงฟ้าร้อง เพราะกลัวว่าอาจเป็นเสียงระเบิด พร้อมเรียกร้องให้ภาครัฐเร่งออกมาให้ความชัดเจน และแสดงความใส่ใจต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างจริงจัง
ชาวกัมพูชาเริ่มวิจารณ์รัฐบาล
ด้านผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “หมอแล็บแพนด้า” ได้เผยแพร่โพสต์ที่ระบุว่า มีการแชร์และวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลกัมพูชาอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยในโพสต์ดังกล่าวนั้นมีเนื้อหาที่ระบุว่า ปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาเมือนโต๊ดถูกทหารไทยควบคุมทั้งหมด เนื่องจากผู้นำกัมพูชาสั่งให้ทหารกัมพูชาถอยทัพ ซึ่งทำให้การเสียสละของทหารกัมพูชาที่เสียชีวิตในการปกป้องปราสาทไร้ความหมาย และเป็นเหตุให้ชาวกัมพูชาเริ่มไม่พอใจและวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอย่างกว้างขวาง
“สม รังสี”ลากไส้”ฮุนเซน”
ในขณะที่เฟซบุ๊กของ นายสม รังสี อดีตผู้นำฝ่ายค้านกัมพูชา ซึ่งปัจจุบันลี้ภัยอยู่ที่ฝรั่งเศส โพสต์โจมตีรัฐบาลกัมพูชา โดยเขาได้แชร์คลิปของทหารกัมพูชาคนหนึ่งที่ออกมาระบายถึงการได้รับการช่วยเหลืออันน้อยนิดจากรัฐบาล โดยระบุข้อความว่า “แม้แต่เงินที่มอบให้กับกองกำลังแนวหน้าก็ถูกขโมยและยักยอกไป เมื่อเขากล้าพูดความจริง เขากลับถูกลงโทษและถูกกล่าวหาว่าก่อกบฏทุกรูปแบบ เขาได้รับเงินช่วยเหลือเพียง 10 ล้านเรียล (25 ดอลลาร์สหรัฐ) จากการเสียสละชีวิตเพื่อปกป้องชาติ
เงินเดือนของทหารถูกตัดทุกเดือนเพื่อช่วยเหลือพรรคในขณะที่ทหารยังคงยากจน”
ฮุน เซน”โต้ถอนปริญญา
ด้านนายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดียตอบโต้กรณีที่สถาบันการศึกษาไทยประกาศเพิกถอนปริญญาบัตรกิตติมศักดิ์ที่เคยมอบให้ โดยระบุว่า “ผมทิ้งมันไปนานแล้ว มันไม่มีค่าอะไรให้เก็บรักษาไว้เลย! วันนี้ผมเห็นสถาบันการศึกษาของไทยอีกแห่งหนึ่งประกาศเพิกถอนปริญญาบัตรที่มอบให้ผมไปแล้ว ขอชี้แจงให้ชัดเจนว่า ผมทิ้งปริญญาบัตรทั้งสามใบจากสถาบันการศึกษาไทยที่เคยมอบให้ผมเมื่อนานมาแล้ว ปริญญาบัตรเหล่านั้นไม่มีค่าสำหรับผมเลยและไม่คุ้มค่าที่จะเก็บรักษาไว้เลย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี