ยกประวัติศาสตร์ไทยเป็น‘สะพานมนุษยธรรม’ ดูแล‘เขมรหนีตาย’นับ 10 ปี กระตุกสำนึกอย่าเนรคุณ
24 สิงหาคม 2568 นายชนินทร์ รุ่งแสง อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก แนะรัฐบาลเผยแพร่ประวัติศาสตร์ประเทศไทยมีเมตตาธรรม เคยดูแลเขมรหนีตายเกือบล้านคนกว่า 10 ปี ระบุว่า...
“เขมร ไม่ควรเนรคุณ”
เป็นเรื่องที่รัฐบาลและคนไทยควรพูด สื่อสารออกไปให้คนทั่วโลกโดยเฉพาะคนกัมพูชาและผู้นำเพื่อทบทวนความทรงจำ คือ คุณธรรมของคนไทยต่อกัมพูชาใน ประวัติศาสตร์กว่า 40 ปีก่อน
คนกัมพูชาเกือบล้านคนได้หนีสงครามการฆ่าล้างอย่างโหดร้ายมาพึ่ง พาอาศัยอยู่ในประเทศไทยกว่า 10 ปี
ในทศวรรษ 1980–1990 ประเทศไทยกลายเป็น “สะพานมนุษยธรรม” ของประชาคมโลกในการเข้าถึงและช่วยเหลือผู้ลี้ภัยกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง
ไทยกับบทบาทด้านมนุษยธรรมต่อกัมพูชา : บทเรียนจากวิกฤตผู้อพยพ
กว่า 40 ปีก่อน พรมแดนไทย–กัมพูชาเคยเป็นจุดศูนย์กลางของวิกฤตมนุษยธรรมครั้งใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลังการปกครองอันโหดร้ายของเขมรแดง (ค.ศ. 1975–1979) และการบุกเข้ายึดครองกัมพูชาของเวียดนาม ประชาชนชาวกัมพูชาหลายแสนคนต้องหนีตายจากสงคราม ความอดอยาก และการกวาดล้างทางการเมือง มุ่งหน้าสู่ชายแดนไทยเพื่อหาที่พักพิง
แม้ประเทศไทยจะไม่ได้เป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยผู้ลี้ภัยของสหประชาชาติ แต่ด้วยหลักมนุษยธรรม รัฐบาลไทยได้เปิดพื้นที่ชายแดนให้จัดตั้งค่ายผู้ลี้ภัยหลายแห่ง เช่น ค่ายเขาอีเหล็ก อรัญประเทศ และค่ายต่าง ๆ ในจังหวัดสระแก้ว ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี โดยมีองค์การสหประชาชาติ (UNHCR) องค์กรกาชาด และหน่วยงานระหว่างประเทศเข้ามามีบทบาทร่วมสนับสนุน ไทยในฐานะประเทศเจ้าบ้านมีหน้าที่สำคัญทั้งด้านการรักษาความปลอดภัย การจัดสรรพื้นที่ และการช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ผู้อพยพ
ภายในค่ายผู้ลี้ภัย มีการจัดหาอาหาร น้ำดื่ม และการรักษาพยาบาลขั้นพื้นฐาน โรงพยาบาลสนามและศูนย์โภชนาการสำหรับเด็กถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อตอบสนองต่อปัญหาขาดสารอาหารและโรคระบาด ขณะเดียวกัน โรงเรียนในค่ายก็ถูกเปิดเพื่อให้เด็กชาวกัมพูชาได้เรียนหนังสือและมีอนาคต แม้จะเป็นการศึกษาเพียงขั้นพื้นฐาน แต่ก็เป็นความหวังท่ามกลางวิกฤตความสิ้นหวัง
ในทศวรรษ 1980–1990 ประเทศไทยกลายเป็น “สะพานมนุษยธรรม” ของประชาคมโลกในการเข้าถึงและช่วยเหลือผู้ลี้ภัยกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งมีการลงนามข้อตกลงปารีสในปี 1991 เปิดทางสู่สันติภาพและการเลือกตั้งใหม่ภายใต้การดูแลของสหประชาชาติ (UNTAC) การส่งผู้ลี้ภัยกลับประเทศอย่างปลอดภัยก็เริ่มขึ้นโดยความร่วมมือของไทย UNHCR และองค์กรต่างประเทศ และในปี 1993 เมื่อกัมพูชามีรัฐบาลใหม่ ประเทศไทยจึงทยอยปิดค่ายผู้ลี้ภัยลง
ประสบการณ์ครั้งนั้นสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของไทยในฐานะเพื่อนบ้านที่ยื่นมือช่วยเหลือในยามวิกฤต ทั้งในมิติของความเป็นมนุษย์และในฐานะศูนย์กลางของความร่วมมือระหว่างประเทศ เหตุการณ์ดังกล่าวไม่เพียงบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ แต่ยังเป็นเครื่องเตือนใจถึงคุณค่าของเมตตาธรรมและความร่วมมือเพื่อมนุษยชาติ ซึ่งยังคงสืบต่อเป็นมรดกทางสังคมของโลกและประเทศไทย
เรื่องราวประวัติศาสตร์แสดงเห็นถึงมนุษยธรรม เมตตาธรรมของไทยที่มีต่อประเทศเพื่อนบ้าน คนกัมพูชาไม่ควรลืมและมีสำนึกถึงบุญคุณใหญ่หลวงนี้ ควรคิดและทำใหม่ต่อประเทศไทย
อย่าให้ทั่วโลกเขาเรียกคนกัมพูชา ว่า เป็นคนอกตัญญู
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี