วันนี้ 26 สิงหาคม 2568 เวลา 10.00 น. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและอัตราขั้นสูงสำหรับค่าบริการในสนามบิน (ฉบับที่ 4) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและอัตราขั้นสูงสำหรับค่าบริการในสนามบิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วและให้ดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญ
1. ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและอัตราขั้นสูงสำหรับค่าบริการในสนามบินฯ
ที่กระทรวงคมนาคมเสนอ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดยกเว้นค่าธรรมเนียมใบรับรองการให้บริการระบบสื่อสาร ระบบช่วยการเดินอากาศ และระบบติดตามอากาศยาน ที่ออกให้แก่ส่วนราชการ ใบแทนใบรับรองและการต่ออายุใบรับรองดังกล่าว (เดิมกำหนดให้ส่วนราชการต้องชำระค่าธรรมเนียมใบรับรองและการต่ออายุใบรับรอง ฉบับละ 1,000,000 บาท และค่าธรรมเนียมใบแทนรับรอง ฉบับละ 1,000 บาท) เนื่องจากกฎกระทรวงกำหนด ค่าธรรมเนียมและอัตราขั้นสูงสำหรับค่าบริการในสนามบิน พ.ศ. 2554 และกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและอัตราขั้นสูงสำหรับค่าบริการในสนามบิน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2567 ได้กำหนดให้ส่วนราชการต้องชำระค่าธรรมเนียม ใบรับรองการให้บริการระบบสื่อสาร ระบบช่วยเดินอากาศและระบบติดตามอากาศยาน ใบแทนใบรับรอง และการต่ออายุใบรับรองดังกล่าว แต่ข้อจำกัด ด้านการเตรียมงบประมาณของส่วนราชการที่ต้องได้รับการจัดสรรจากงบประมาณแผ่นดินประจำปีและการให้บริการดังกล่าวของส่วนราชการไม่มีการจัดเก็บค่าบริการและเป็นการให้บริการเพื่อประโยชน์สาธารณะ ส่วนราชการทุกหน่วยจึงควรได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมใบรับรองดังกล่าวเช่นเดียวกับการยกเว้นค่าธรรมเนียมใบรับรองการให้บริการการจัดการจราจรทางอากาศและใบรับรองการให้บริการอุตุนิยมวิทยาการบินที่ออกให้แก่ส่วนราชการที่ได้รับการยกเว้นไว้ตามกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและอัตราขั้นสูงสำหรับค่าบริการในสนามบิน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2567 เพื่อให้กระบวนการออกใบรับรองการให้บริการการเดินอากาศมีความครบถ้วนสมบูรณ์และเป็นไปตามกฎหมาย และเพื่อรองรับการตรวจสอบจากองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ตามโครงการ Universal Safety Oversight Audit Programme Continuous Monitoring Approach (USOAP-CMA) ที่จะมีขึ้นในเดือนสิงหาคม 2568 ประกอบกับสำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเห็นชอบด้วยในหลักการ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ตรวจพิจารณาร่างกฎกระทรวงดังกล่าวเป็นการล่วงหน้า ซึ่งกระทรวงคมนาคม (สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย) ได้เห็นชอบกับการแก้ไขเพิ่มเติมด้วยแล้ว
2. เรื่อง ขอถอนร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะ หรือการจัดให้มีอุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวก หรือบริการในอาคาร สถานที่ ยานพาหนะ และบริการขนส่ง เพื่อให้คนพิการสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงคมนาคมถอนร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะ หรือการจัดให้มีอุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวก หรือบริการในอาคาร สถานที่ ยานพาหนะ และบริการขนส่ง เพื่อให้คนพิการสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ
3. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้รถยนต์ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้ามหรือต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... กรณีรถยนต์โบราณ (Classic Cars)]
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์เรื่อง กำหนดให้รถยนต์ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ ต้องห้ามหรือต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ... ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วนแล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญ
1. ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้รถยนต์ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้ามหรือต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... กรณีรถยนต์โบราณ (Classic Cars)]ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้รถยนต์ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้ามหรือต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2562 ลงวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2562 และที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้รถยนต์ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้ามหรือต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 ลงวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2562 โดยยกเว้นให้สามารถนำเข้ารถยนต์ใช้แล้วตามพิกัดอัตราศุลกากร 87.03 รถยนต์ และยานยนต์อื่น ๆ ที่ออกแบบสำหรับขนส่งบุคคลเป็นหลัก รวมถึงสเตชันแวกอนและรถแข่งและพิกัดอัตราศุลกากร 97.06 รถยนต์ใช้แล้วที่มีอายุเกิน 100 ปีขึ้นไป (รถยนต์โบราณ) ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และคุณลักษณะ ที่อธิบดีกรมสรรพสามิตประกาศกำหนด เพื่อให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568 เรื่อง (การทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2567 เรื่อง มาตรการส่งเสริมงานศิลปะและรถยนต์โบราณ (Classic Cars)]
2. กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างประกาศดังกล่าวผ่านระบบกลางทางกฎหมาย (www.law.go.th) และเว็บไซต์ของกรมการค้าต่างประเทศ (www.dft.go.th) ระหว่างวันที่ 10 – 24 มิถุนายน 2568 (รวมระยะเวลา 15 วัน) โดยมีผู้แสดงความคิดเห็นทั้งหมด 433 ราย มีผู้เห็นด้วย 378 ราย
(ร้อยละ 87) รวมทั้งได้จัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายตามกฎกระทรวงกำหนดร่างกฎที่ต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นและวิเคราะห์ผลกระทบ พ.ศ. 2565 แล้ว
ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงวัฒนธรรมเห็นชอบและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่า คณะรัฐมนตรีสามารถพิจารณาให้ความเห็นชอบ ร่างประกาศดังกล่าวได้ตามที่เห็นสมควร
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
เป็นการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจโดยการสนับสนุนการจัดกิจกรรม สำหรับรถยนต์โบราณ (Classic Cars) ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศไทยและกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและชาวไทยทุกระดับ รวมทั้งเป็นการส่งเสริม อุตสาหกรรมการผลิตหรือบูรณะ (Restoration) รถยนต์โบราณ (Classic Cars) ในประเทศไทยเพื่อส่งเสริมภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
ผลกระทบต่อสังคม
เป็นการปลูกฝังค่านิยมในการอนุรักษ์และเห็นคุณค่าของรถยนต์โบราณ (Classic Cars) และเป็นการใช้ทุนวัฒนธรรมในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เป็นซอฟต์พาวเวอร์ เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางรถยนต์โบราณ (Classic Cars) ในภูมิภาคที่ดึงดูดผู้ที่สนใจจากทั่วโลกได้
4. เรื่อง ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ลำดับเกียรติเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ลำดับเกียรติเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย พ.ศ. .... ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไป
สาระสำคัญของร่างประกาศ
1. สำนักนายกรัฐมนตรีได้มีประกาศสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฯ ลงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2536 จัดลำดับเกียรติเครื่องราชอิสริยาภรณ์และเหรียญราชอิสริยาภรณ์ตามลำดับประเภท ดังต่อไปนี้
1.1 เครื่องราชอิสริยาภรณ์
1.2 เหรียญบำเหน็จกล้าหาญ
1.3 เหรียญบำเหน็จในราชการ
1.4 เหรียญบำเหน็จในพระองค์พระมหากษัตริย์
1.5 เหรียญที่พระราชทานเป็นที่ระลึก
โดยทางราชการได้นำเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุกตระกูลและทุกชั้นตรามาจัดลำดับเรียงตามอาวุโส เรียกว่า “จัดลำดับเกียรติ” ตามหลักเกณฑ์แต่โบราณ เพื่อประโยชน์ในการจัดลำดับการเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทและจัดเครื่องประกอบเกียรติยศ ทั้งนี้ เป็นไปตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ฯ ลงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2536
2. ส่วนราชการในพระองค์ได้ออกระเบียบส่วนราชการในพระองค์ ว่าด้วยการประดับแพรแถบย่อของเครื่องราชอิสริยาภรณ์และเหรียญราชอิสริยาภรณ์ พ.ศ. 2567 ลงวันที่ 19 มิถุนายน 2567 โดยมีการจัดลำดับเกียรติเครื่องราชอิสริยาภรณ์และเหรียญราชอิสริยาภรณ์ตามประเภทตระกูลหรือชั้นตราสูงสุด ดังต่อไปนี้
2.1 เครื่องราชอิสริยาภรณ์
2.2 เหรียญบำเหน็จในพระองค์พระมหากษัตริย์
2.3 เหรียญบำเหน็จกล้าหาญ
2.4 เหรียญบำเหน็จในราชการ
2.5 เหรียญที่พระราชทานเป็นที่ระลึก
3. สลค. ได้ดำเนินการจัดทำร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ลำดับเกียรติเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย พ.ศ. .... ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงลำดับเกียรติเครื่องราชอิสริยาภรณ์และเหรียญราชอิสริยาภรณ์ ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ฯ ลงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2536 และเพิ่มเติมเหรียญราชอิสริยาภรณ์ที่สถาปนาขึ้นใหม่ให้เป็นปัจจุบัน โดยนำระเบียบส่วนราชการในพระองค์ ว่าด้วยการประดับแพรแถบย่อของเครื่องราชอิสริยาภรณ์ และเหรียญราชอิสริยาภรณ์ พ.ศ. 2567 ลงวันที่ 19 มิถุนายน 2567
มาใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุง ดังต่อไปนี้
3.1 จัดลำดับเกียรติเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลจุลจอมเกล้าทุกชั้นตราไว้สูงกว่าเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือกและเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย
3.2 จัดลำดับเกียรติเหรียญราชอิสริยาภรณ์ประเภทเหรียญบำเหน็จในพระองค์พระมหากษัตริย์ไว้สูงกว่าเหรียญบำเหน็จกล้าหาญ เหรียญบำเหน็จในราชการ และเหรียญที่พระราชทานเป็นที่ระลึก
3.3 จัดลำดับเกียรติเหรียญราชอิสริยาภรณ์ประเภทเหรียญที่พระราชทานเป็นที่ระลึก ตามโอกาสที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทาน
3.4 จากหลักการตามข้อ 3.1 – 3.3 ร่างประกาศที่เสนอมีการจัดลำดับเกียรติเครื่องราชอิสริยาภรณ์และเหรียญราชอิสริยาภรณ์เรียงตามประเภทตระกูลหรือชั้นตราสูงสุดตามลำดับ แบ่งเป็น
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ จำนวน 12 ตระกูล ได้แก่
(1) เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นมงคลยิ่งราชมิตราภรณ์
(2) เครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่ง
มหาจักรีบรมราชวงศ์
(3) เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์
(4) เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า
(5) เครื่องราชอิสริยาภรณ์รัตนวราภรณ์
(6) เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี
(7) เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก
(8) เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย
(9) เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์
(10) เครื่องราชอิสริยาภรณ์วัลลภาภรณ์
(11) เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นสิริยิ่งรามกีรติลูกเสือสดุดีชั้นพิเศษ
(12) เครื่องราชอิสริยาภรณ์วชิรมาลา
เหรียญราชอิสริยาภรณ์มี 4 ประเภท ได้แก่
(1) เหรียญบำเหน็จในพระองค์พระมหากษัตริย์
(2) เหรียญบำเหน็จกล้าหาญ
(3) เหรียญบำเหน็จในราชการ
(4) เหรียญที่พระราชทานเป็นที่ระลึก
ส่วนราชการประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พ.ศ. 2541 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
5. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดระยะเวลาเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการสงเคราะห์แก่ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างออกจากงานหรือตาย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 3 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ ดังนี้
1. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดระยะเวลาเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกำหนดระยะเวลาเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบ กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง จาก “ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป” เป็น “วันที่
1 ตุลาคม 2569 เป็นต้นไป”
2. ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง พ.ศ. .... ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการเลื่อนระยะเวลาการจ่ายเงินสะสมและเงินสมทบเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างออกไปเป็นวันที่ 1 ตุลาคม 2569 ให้สอดคล้องกับร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดระยะเวลาเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
3. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการสงเคราะห์แก่ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างออกจากงานหรือตาย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติม วันใช้บังคับกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการสงเคราะห์แก่ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างออกจากงานหรือตาย พ.ศ. 2567 โดยให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2569 เป็นต้นไปเพื่อให้สอดคล้องกับร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดระยะเวลาเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
สาระสำคัญ
1. ปัจจุบันได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดระยะเวลาเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง พ.ศ. 2567 กฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง พ.ศ. 2567 และกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการจัดการสงเคราะห์แก่ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างออกจากงานหรือตาย พ.ศ. 2567 รวม 3 ฉบับ ซึ่งเป็นการกำหนดวันเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างและอัตราเงินสะสมและเงินสมทบที่ลูกจ้างและนายจ้างต้องส่งเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างรวมทั้งหลักเกณฑ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับการดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบ เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนและสร้างหลักประกันในการทำงานให้กับลูกจ้างกรณีออกจากงานหรือตายและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ที่กำหนดให้มีกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างเพื่อจัดเก็บเงินสะสมจากลูกจ้างและเงินสมทบจากนายจ้างเพื่อเป็นทุนสงเคราะห์ลูกจ้างในกรณีดังกล่าวพร้อมดอกผล ตลอดจนกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเพื่อเป็นทางเลือกให้นายจ้างที่จัดให้มีการสงเคราะห์แก่ลูกจ้างตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด จะได้รับการยกเว้นให้ลูกจ้างไม่จำต้องเป็นสมาชิกกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง โดยกำหนดให้เริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสม และเงินสมทบตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป
2. กระทรวงแรงงานได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวง รวม 3 ฉบับในเรื่องนี้ เพื่อเลื่อนระยะเวลาเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างตามพระราชกฤษฎีกากำหนดระยะเวลาเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง พ.ศ. 2567 ออกไปอีก 1 ปี จากวันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นวันที่ 1 ตุลาคม 2569 และเมื่อเลื่อนการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบตาม ร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวแล้วจำเป็นต้องเลื่อนเวลาการใช้บังคับของกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง พ.ศ. 2567 และกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการสงเคราะห์แก่ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างออกจากงานหรือตาย พ.ศ. 2567 จากมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2569 เป็นต้นไปให้สอดคล้องกัน เนื่องด้วยสภาพเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันที่มีความไม่แน่นอนจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น การขึ้นภาษีทางการค้าของสหรัฐอเมริกา การปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำตลอดจนสถานการณ์ความตึงเครียดจากความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านซึ่งยังไม่มีข้อยุติที่แน่ชัด ส่งผลให้สถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบต้องปรับตัวและเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้น ซึ่งกระทบต่อลูกจ้างและนายจ้างโดยตรง ดังนั้น จึงสมควรเลื่อนระยะเวลาการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบดังกล่าวเพื่อคงไว้ซึ่งการจ้าง บรรเทาและลดภาระทางการเงินของนายจ้างและลูกจ้างจากภาวะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี อัตราเงินสะสมและเงินสมทบที่จะเก็บจากลูกจ้างและนายจ้างยังคงเดิม คือ ในระยะ 5 ปีแรก (1 ตุลาคม 2569 – 30 กันยายน 2574) ลูกจ้างและนายจ้าง (แต่ละฝ่าย) ต้องนำส่งเข้ากองทุนฯ ในอัตราร้อยละ 0.25 ของค่าจ้าง และตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2574 เป็นต้นไป ลูกจ้างและนายจ้าง (แต่ละฝ่าย) ต้องนำส่งเข้ากองทุนฯ ในอัตราร้อยละ 0.5 ของค่าจ้าง ในขณะเดียวกันหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ในการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบดังกล่าวก็ยังคงเดิมด้วย ทั้งนี้ คณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างเห็นชอบด้วยแล้ว
6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดกรณีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุโดยวิธีเฉพาะเจาะจง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดกรณีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุโดยวิธีเฉพาะเจาะจง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ
สาระสำคัญ
ร่างกฎกระทรวงกำหนดกรณีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุโดยวิธีเฉพาะเจาะจง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่กระทรวงการคลังเสนอ มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดกรณีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุโดยวิธีเฉพาะเจาะจง พ.ศ. 2561 โดยกำหนดเพิ่มเติมให้การจัดซื้อจัดจ้างพัสดุเกี่ยวกับการแก้ไขหรือป้องกันสถานการณ์ภัยคุกคามทางไซเบอร์ (เช่น การทำลายข้อมูลหรือเข้ารหัสไฟล์เพื่อเรียกเงิน การโจมตีระบบไฟฟ้าหรือโทรคมนาคม การจารกรรมข้อมูล เป็นต้น) หรือภัยคุกคามทางทหาร (เช่น ภัยจากการรุกรานจากต่างชาติการใช้กำลังอาวุธเพื่อยึดครองดินแดน การก่อความไม่สงบในพื้นที่ชายแดน เป็นต้น) ซึ่งส่งผลกระทบหรืออาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของหน่วยงานของรัฐหรือประเทศ สามารถดำเนินการ จัดซื้อจัดจ้างได้โดยวิธีเฉพาะเจาะจง เนื่องจากปัจจุบันมีภัยคุกคามเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ ซึ่งหน่วยงานที่รับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาจำเป็นต้องจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่เป็นเครื่องมือในการป้องกันและแก้ไขภัยดังกล่าว เช่น การเช่าพื้นที่ Data Center หรือ Cloud ที่มีความปลอดภัยสูง เพื่อเก็บข้อมูล ที่เป็นความลับหรือข้อมูลสำคัญที่เกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ (อาทิ แผนป้องกันประเทศ ข้อมูลคะแนนผลการเลือกตั้งล่วงหน้า) เพื่อป้องกันการเข้าถึงข้อมูลโดยมิชอบซึ่งเป็นภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน การจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ (อาทิ กระสุนปืนใหญ่ เครื่องบินขับไล่อากาศยานไร้คนขับ เสื้อเกราะ หมวกนิรภัย) เพื่อป้องกันการรุกรานจากต่างชาติหรือป้องกันประเทศจากกลุ่มก่อการร้ายข้ามชาติ เป็นต้น ซึ่งการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่เกี่ยวข้องดังกล่าวจำเป็นต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนและมีความคล่องตัวสูง เพื่อป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ให้คลี่คลายโดยเร็วที่สุดภายในระยะเวลาที่จำกัด โดยหากต้องดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุดังกล่าวตามลำดับ กล่าวคือ 1) ใช้วิธีการประกาศเชิญชวนทั่วไป 2) หากไม่มีผู้ยื่นข้อเสนอ หรือข้อเสนอของผู้ยื่นนั้นไม่ได้รับการคัดเลือก ให้ใช้วิธีการคัดเลือก และ 3) หากใช้ทั้ง 2 วิธีการข้างต้นแล้วแต่ไม่มีผู้ยื่นข้อเสนอหรือข้อเสนอของผู้ยื่นนั้นไม่ได้รับการคัดเลือก ให้ใช้วิธีการเฉพาะเจาะจง ทำให้ต้องใช้เวลานานและอาจไม่สามารถป้องกันและแก้ไขปัญหาได้ทันสถานการณ์ ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงได้เสนอ ร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้ มาเพื่อดำเนินการ เพื่อให้หน่วยงานที่รับผิดชอบสามารถจัดซื้อจัดจ้างพัสดุดังกล่าวได้อย่างเรียบร้อยและรวดเร็ว สามารถรับมือกับภัยคุกคามด้านความมั่นคงซึ่งมีความจำเป็นต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนและมีความคล่องตัวสูง
เศรษฐกิจ-สังคม
7. เรื่อง การเสนอตัวขอเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันวิ่งมาราธอนในเมืองหลวง (World Capital Marathon Series) รายการ Amazing Thailand Marathon Bangkok ประจำปี 2568 - 2570 (3 ปี)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการให้ประเทศไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันวิ่งมาราธอนในเมืองหลวง (World Capital Marathon Series) รายการ Amazing Thailand Marathon Bangkok ประจำปี 2568 - 2570 (3 ปี) ภายในกรอบวงเงินค่าลิขสิทธิ์และค่าภาษีที่เกี่ยวข้องในการจัดการแข่งขันดังกล่าว รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 264,352,941.15 บาท ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) เสนอ ทั้งนี้ กก. จะขอรับจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในหลักการให้ประเทศไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันวิ่งมาราธอนในเมืองหลวง (World Capital Marathon Series) รายการ Amazing Thailand Marathon Bangkok ประจำปี 2568 - 2570 (3 ปี) ตามที่สมาคมกรีฑาโลก (World Athletics) ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพการจัดการแข่งขันวิ่งมาราธอน รายการ Amazing Thailand Marathon Bangkok 2024 และประกาศมอบสิทธิ์ในการเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันวิ่งมาราธอนในเมืองหลวง (World Capital Marathon Series) ให้แก่ประเทศไทย ภายในกรอบวงเงินค่าลิขสิทธิ์และค่าภาษีที่เกี่ยวข้องในการจัดการแข่งขันดังกล่าว รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 264,352,941.15 บาท สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดเตรียมงาน ประกอบด้วย (1) ค่าลิขสิทธิ์และค่าภาษีที่เกี่ยวข้องที่ต้องชำระให้กับผู้ถือลิขสิทธิ์ด้านการตลาดและผู้แทนของ Eliud Kipchoge จำนวน 198,264,705.87 บาท และ (2) ค่าลิขสิทธิ์และค่าภาษีที่เกี่ยวข้องที่ต้องชำระให้กับสมาคมกรีฑาโลก (World Athletics) จำนวน 66,088,235.28 บาท โดย กก. จะขอรับการสนับสนุนงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ กก. คาดว่า การเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาดังกล่าวตลอดทั้งโครงการ (3 ปี) จะก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศไม่น้อยกว่า 4,377 ล้านบาท
ภาพรวมของการจัดการแข่งขัน
ประเด็น |
สาระสำคัญ |
ประเภท/เส้นทาง การแข่งขัน |
(1) ประเภทมาราธอน 42.195 กิโลเมตร โดยจุดปล่อยตัวเริ่มจากถนนพญาไท หน้า MBK CENTER วิ่งผ่านแยกสะพานชมัยมรุเชฐ (แยกทำเนียบรัฐบาล) ก่อนถึงพระบรมรูปทรงม้า บนทางคู่ขนานลอยฟ้าถนนบรมราชชนนีถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย วิ่งย้อนบนถนนสนามไชย (ฝั่งวัดพระศรีรัตนศาสดาราม) วิ่งเลียบฝั่งสนามหลวง เข้าถนนราชดำเนินใน ก่อนเลี้ยวซ้ายเข้าเส้นชัย ณ บริเวณท้องสนามหลวง (2) ประเภทฮาล์ฟมาราธอน 21.1 กิโลเมตร โดยจุดปล่อยตัวเริ่มจากถนนพญาไท หน้า MBK CENTER วิ่งผ่านแยกสะพานชมัยมรุเชฐ (แยกทำเนียบรัฐบาล) ก่อนถึงพระบรมรูปทรงม้า ผ่านสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ถนนราชดำเนินกลางถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย วิ่งย้อนบนถนนสนามไชย (ฝั่งวัดพระศรีรัตนศาสดาราม) วิ่งเลียบฝั่งสนามหลวง เข้าถนนราชดำเนินใน ก่อนเลี้ยวซ้ายเข้าเส้นชัย ณ บริเวณท้องสนามหลวง (3) ประเภท 10 กิโลเมตร โดยจุดปล่อยตัวเริ่มจากหน้าศาลฎีกา ถนนราชดำเนินใน ผ่านอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พระบรมรูปทรงม้า กลับตัวหน้าอุทยานเฉลิมพระเกียรติฯ รัชกาลที่ 9 วิ่งย้อนบนถนนราชดำเนินถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เข้าถนนดินสอ ถึงถนนสนามไชย (ฝั่งวัดพระศรีรัตนศาสดาราม) วิ่งเลียบฝั่งสนามหลวง เข้าถนนราชดำเนินใน ก่อนเลี้ยวซ้ายเข้าเส้นชัย ณ บริเวณท้องสนามหลวง (4) ประเภทแฟมิลี่รัน 4.5 กิโลเมตร โดยจุดปล่อยตัวเริ่มจากหน้าศาลฎีกา ถนนราชดำเนินใน ผ่านอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พระบรมรูปทรงม้า กลับตัวหน้าแยก จ.ป.ร. (หน้ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์) วิ่งย้อนบนถนนราชดำเนิน ถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เข้าถนนดินสอ ถึงถนนสนามไชย (ฝั่งวัดพระศรีรัตนศาสดาราม) วิ่งเลียบฝั่งสนามหลวง เข้าถนนราชดำเนินใน ก่อนเลี้ยวซ้ายเข้าเส้นชัย ณ บริเวณท้องสนามหลวง |
ช่วงเวลาการจัด การแข่งขัน |
ระยะเวลา 3 ปี (ปีละ 1 ครั้ง ครั้งละ 1 วัน) - ปีที่ 1 (วันที่ 30 พฤศจิกายน 2568) - ปีที่ 2 (ช่วงวันที่ 26 - 29 พฤศจิกายน 2569) - ปีที่ 3 (ช่วงวันที่ 25 - 28 พฤศจิกายน 2570) |
จำนวน ผู้เข้าร่วมแข่งขัน |
คาดว่าจะมีจำนวนรวมทั้งสิ้น 114,000 คน แบ่งเป็น - ปีที่ 1 จำนวน 36,000 คน (ชาวไทย 27,500 คน/ต่างชาติ 8,500 คน) - ปีที่ 2 จำนวน 38,000 คน (ชาวไทย 26,500 คน/ต่างชาติ 11,500 คน) - ปีที่ 3 จำนวน 40,000 คน (ชาวไทย 24,500 คน/ต่างชาติ 15,500 คน) |
จำนวน ผู้ติดตาม |
คาดว่าจะมีจำนวนรวมทั้งสิ้น 74,750 คน แบ่งเป็น - ปีที่ 1 22,250 คน (ชาวไทย 13,750 คน/ต่างชาติ 8,500 คน) - ปีที่ 2 24,750 คน (ชาวไทย 13,250 คน/ต่างชาติ 11,500 คน) - ปีที่ 3 27,750 คน (ชาวไทย 12,250 คน/ต่างชาติ 15,500 คน) |
จำนวนผู้ชม |
คาดว่าจะมีจำนวนทั้งสิ้นไม่น้อยกว่า 75,000 คน - ปีที่ 1 ไม่น้อยกว่า 15,000 คน - ปีที่ 2 ไม่น้อยกว่า 25,000 คน - ปีที่ 3 ไม่น้อยกว่า 35,000 คน |
ประโยชน์ ที่คาดว่าจะได้รับ |
- สร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยสู่สายตาประชาคมโลก - สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ให้เห็นถึงศักยภาพความพร้อมของประเทศในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศักยภาพด้านการจัดงานระดับโลก หรือ World Class Event - ประเทศไทยจะมีรายได้จากการใช้จ่ายเงินจากผู้เข้าร่วมการแข่งขัน ผู้ติดตาม และผู้ชมการแข่งขัน ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่จะเดินทางมาร่วมการแข่งขัน ตลอด 3 ปี ไม่น้อยกว่า 3,297 ล้านบาท (ปีละไม่น้อยกว่า 1,099 ล้านบาท) - เกิดการจ้างงานสำหรับเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ อาสาสมัคร นักเรียนและนักศึกษา ที่จะมาปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ ตลอด 6 เดือนก่อนการแข่งขัน ตลอด 3 ปี มากกว่า 21,000 อัตรา (ปีละไม่น้อยกว่า 7,000 อัตรา) - มูลค่าด้านการประชาสัมพันธ์ตลอดทั้งโครงการ ที่ประกอบไปด้วยการถ่ายทอดสดการแข่งขันไปทั่วโลก การประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ในทุกแพลตฟอร์มคิดเป็นมูลค่าไม่น้อยกว่า 870 ล้านบาท (ปีละไม่น้อยกว่า 290 ล้านบาท) ครอบคลุมปีละไม่น้อยกว่า 180 ล้านครัวเรือนทั่วโลก (หรือประมาณ 450 ล้านคนต่อปี) คิดเป็น มูลค่าทางเศรษฐกิจที่คาดว่าประเทศไทยจะได้รับจากการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฯ ตลอดทั้งโครงการ (3 ปี) เป็นจำนวนทั้งสิ้นไม่น้อยกว่า 4,377 ล้านบาท - สร้างโอกาสให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของด้านการกีฬาเชิงท่องเที่ยว - ส่งเสริมให้เกิดความต้องการในการออกกำลังกายและเล่นกีฬาอย่างต่อเนื่อง |
8. เรื่อง ขอทบทวนรูปแบบการลงทุนของโครงการทางพิเศษจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1 ช่วงกะทู้ – ป่าตอง ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ปรับรูปแบบการลงทุนของโครงการทางพิเศษจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1 ช่วงกระทู้ -ป่าตอง (โครงการฯ ระยะที่ 1) ระยะทาง 3.98 กิโลเมตร จากการให้เอกชนร่วมลงทุนตามติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2565 เป็นการให้ กทพ. ดำเนินโครงการโดยการจ้างออกแบบควบคู่การก่อสร้าง (Design & Build) ในกรอบวงเงินลงทุนค่าก่อสร้างรวมค่าควบคุมงาน จำนวน 10,964.77 ล้านบาท
2. อนุมัติให้ กทพ. กู้เงินและ/หรือออกพันธบัตรมาใช้ในการดำเนินโครงการฯ ระยะที่ 1 ในกรอบวงเงินลงทุนค่าก่อสร้างรวมค่าควบคุมงาน จำนวน 10,964.77 ล้านบาท โดยให้ กทพ. ทำความตกลงกับกระทรวงการคลัง (กค.) ในการจัดหาแหล่งเงินลงทุนโครงการที่เหมาะสม
3. อนุมัติให้ กทพ. ขอรับการอุดหนุนค่าใช้เขตทางหลวงตามกฎกระทรวงกำหนดค่าใช้เขตทางหลวงพิเศษ ทางหลวงแผ่นดิน ทางหลวงชนบท และทางหลวงสัมปทาน พ.ศ. 2564 ทั้งหมดจากรัฐบาล โดยมีค่าใช้เขตทางหลวง เป็นจำนวนเงิน 7.75 ล้านบาทต่อปี ตลอดอายุโครงการ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. เดิมคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2565 อนุมัติให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ดำเนินโครงการทางพิเศษจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1 ช่วงกะทู้ - ป่าตอง (โครงการฯ ระยะที่ 1) โดยการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนในรูปแบบ PPP Net Cost ซึ่งต่อมา กทพ. ได้ดำเนินการประกาศเชิญชวนการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนของโครงการฯ ระยะที่ 1 และกำหนดให้เอกชนที่สนใจยื่นข้อเสนอในวันที่ 7 เมษายน 2566 แต่เมื่อครบกำหนดการยื่นข้อเสนอ ปรากฏว่าไม่มีเอกชนรายใดมายื่นข้อเสนอเพื่อเข้าร่วมลงทุนโครงการดังกล่าว ซึ่งภาคเอกชนให้เหตุผลที่ไม่ยื่นข้อเสนอ เช่น (1) ค่าลงทุนโครงการฯ ระยะที่ 1 อาจเกินกว่าที่ กทพ. ประมาณการไว้ (2) รูปแบบการลงทุนโครงการฯ ระยะที่ 1 มีความเสี่ยงสูงที่เอกชนจะไม่ได้รับผลตอบแทนการลงทุนที่เหมาะสมและ (3) ผลตอบแทนทางการเงินจากการลงทุนโครงการฯ ระยะที่ 1 ควรมีค่าสูงกว่าที่ กทพ. กำหนดไว้ จึงไม่สามารถจูงใจให้เอกชนสนใจเข้ามาร่วมลงทุนในโครงการฯ ระยะที่ 1 ได้
2. ต่อมา กทพ.จึงดำเนินการศึกษาทบทวนแนวทางการดำเนินโครงการฯ ระยะที่ 1 ซึ่งคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยในการประชุมครั้งที่ 6/2567 เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2567 มีมติเห็นชอบให้ กทพ. ดำเนินการปรับรูปแบบการลงทุนของโครงการฯ ระยะที่ 1 ซึ่งสามารถเปรียบเทียบกับรูปแบบการลงทุนเดิมตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2565 สรุปได้ ดังนี้
รายการ |
รูปแบบการลงทุนเดิม (ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2565) |
รูปแบบการลงทุนที่เสนอในครั้งนี้ |
(1) ชื่อโครงการ |
โครงการทางพิเศษสายกะทู้ - ป่าตอง จังหวัดภูเก็ต |
โครงการทางพิเศษจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1 ช่วงกะทู้ - ป่าตอง |
(2) รูปแบบการลงทุน |
การให้เอกชนร่วมลงทุนโครงการ (PPP Net Cost) โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ - ภาครัฐสนับสนุนค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน - ภาคเอกชนรับผิดชอบงานส่วนที่เหลือทั้งหมด ได้แก่ การออกแบบรายละเอียดและการก่อสร้าง งานโยธา และการดำเนินงานและบำรุงรักษา ดำเนินงานและบำรุงรักษา (Operation and Maintenance: O&M) ตลอดอายุสัมปทาน 35 ปี |
กทพ. เป็นผู้ลงทุนก่อสร้างโครงการ (PSC) โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ - ภาครัฐสนับสนุนค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน โดย กทพ. ขอรับการอุดหนุนทั้งหมดจากรัฐบาลตามกรอบวงเงินเดิมที่ได้รับอนุมัติไว้ (ตามมติ ครม. 18 ม.ค.65) - กทพ. รับผิดชอบค่าลงทุนค่าก่อสร้าง รวมค่าควบคุมงาน โดยใช้วิธีการจ้างออกแบบควบคู่การก่อสร้าง (Design & Build)
|
(3) วงเงินลงทุนรวม |
14,670.57 ล้านบาท (ราคา ณ ปีก่อสร้าง ปี 2566) |
16,757.01 ล้านบาท (ราคา ณ ปีก่อสร้าง ปี 2569) |
|
5,792.24 ล้านบาท |
คงเดิม
|
|
8,662.60 ล้านบาท |
10,685.93 ล้านบาท
|
|
215.73 ล้านบาท |
278.84 ล้านบาท
|
3. โครงการฯ ระยะที่ 1 มีรายละเอียดโครงการ เช่น
3.1 แนวสายทางโครงการ: ก่อสร้างเป็นทางยกระดับขนาด 4 ช่องจราจรต่อทิศทาง (สำหรับรถยนต์ 2 ช่องจราจรต่อทิศทาง และรถจักรยานยนต์ 2 ช่องจราจรต่อทิศทาง) ระยะทางรวม 3.98 กิโลเมตร และมีอุโมงค์อยู่ในช่วงกลางของแนวสายทาง (อุโมงค์มีระยะทาง 1.85 กิโลเมตร) โดยจุดเริ่มต้นโครงการเชื่อมกับถนนพระเมตตา ในพื้นที่ตำบลป่าตอง อำเภอกะทู้ และมีจุดสิ้นสุดโครงการในพื้นที่ตำบลกะทู้ อำเภอกะทู้
3.2 การจัดเก็บค่าผ่านทาง : เป็นแบบระบบเปิด (Open System) ซึ่งจะจัดเก็บค่าผ่านทางอัตราเดียว (Flat Rate) และจะปรับเพิ่มขึ้นทุก ๆ 5 ปี
3.3 การประมาณการรายได้โครงการ: จะมีรายได้ตลอด ระยะเวลา 30 ปี รวมทั้งสิ้น 39,234 ล้านบาท
3.4 ความคุ้มค่าทางการเงิน/ทางเศรษฐศาสตร์: โดยสามารถเปรียบเทียบผลการวิเคราะห์ความคุ้มค่ากับรูปแบบการลงทุนเดิมตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2565 สรุปได้ ดังนี้
|
ความคุ้มค่าตามรูปแบบ การลงทุนเดิม [(PPP Net Cost) (ศึกษาปี 2561)] |
ความคุ้มค่าตามรูปแบบ การลงทุนที่เสนอในครั้งนี้ [(กทพ. ลงทุนเอง) (ศึกษาปี 2567)] |
ผลการวิเคราะห์ความคุ้มค่าทางการเงิน |
||
มูลค่าปัจจุบันสุทธิ [Net Present Value: (NPV)] |
-1,264.97 ล้านบาท |
-6,199.59 ล้านบาท |
อัตราผลตอบแทนทางการเงิน [Financial Internal Rate of Return (FIRR)] |
ร้อยละ 5.01 |
ร้อยละ 3.75 |
ระยะเวลาคืนทุน (Payback Period) |
24 ปี |
26 ปี |
อัตราส่วนผลประโยชน์ตอบแทนต่อเงินลงทุน [Benefit/Cost Ratio (B/C Ratio)] |
0.91 เท่า |
0.58 เท่า |
อัตราคิดลด |
ร้อยละ 5.60 |
ร้อยละ 7.31 |
ผลการวิเคราะห์ความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ |
||
มูลค่าปัจจุบันของผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์ (Economic NPV) |
12,896.29 ล้านบาท |
17,377.89 ล้านบาท |
อัตราผลตอบแทนภายในทางเศรษฐศาสตร์ [Economic Internal Rate of Return (EIRR)] |
ร้อยละ 20.44 |
ร้อยละ 18.74 |
อัตราส่วนผลประโยชน์ต่อค่าใช้จ่าย (B/C Ratio) |
1.32 เท่า |
2.56 เท่า |
อัตราคิดลด |
ร้อยละ 12 |
4. กทพ. ดำเนินการศึกษาแนวทางการดำเนินโครงการทางพิเศษจังหวัดภูเก็ต ซึ่งได้ข้อสรุปว่า การดำเนินโครงการโดยให้ กทพ. ลงทุนและก่อสร้างโครงการฯ ระยะที่ 1 ไปก่อนมีความเหมาะสมมากที่สุด เนื่องจากโครงการฯ ระยะที่ 1 มีความพร้อมในการก่อสร้าง (รายงาน EIA และการขอใช้พื้นที่ป่าไม้ได้รับความเห็นชอบแล้ว และได้เริ่มจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินแล้ว) และสามารถเปิดบริการโครงการฯ ระยะที่ 1 ได้เร็วกว่ากรณีรวมการก่อสร้างทั้ง 2 ระยะ พร้อมกันประมาณ 1 ปี อีกทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ได้เร่งรัดให้ กทพ.เร่งก่อสร้างโครงการฯ ระยะที่ 1 เพื่อเปิดให้บริการโดยเร็ว เพื่อแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนที่เกิดขึ้นบริเวณจุดเชื่อมต่อระหว่างตำบลกระทู้และตำบลป่าตองให้มีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒนาฯ) ในคราวประชุมเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2567 เห็นควรให้ กทพ. เสนอผลการศึกษาความเหมาะสมของการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในโครงการฯ พร้อมกันกับการเสนอขอเปลี่ยนแปลงรูปแบบการก่อสร้างโครงการฯ ระยะที่ 1 ซึ่ง กทพ. พิจารณาแล้ว ขอยืนยันแนวทางการดำเนินงานเดิมในการเสนอเรื่องขอทบทวนรูปแบบการลงทุนของโครงการฯ ระยะที่ 1 เพื่อขออนุมัติการก่อสร้างโครงการฯ ระยะที่ 1 โดย กทพ. ไปก่อน (ข้อเสนอในครั้งนี้)
5. ในส่วนข้อเสนอที่ขอให้ กทพ. กู้เงินและ/หรือออกพันธบัตรมาใช้ในการดำเนินโครงการฯ ระยะที่ 1 ในกรอบวงเงินลงทุนค่าก่อสร้างรวมค่าควบคุมงาน จำนวน 10,964.77 ล้านบาทนั้น มีสาเหตุมาจากนโยบายของรัฐบาลที่ให้ กทพ. ปรับลดอัตราค่าผ่านทางทำให้ กทพ. มีรายได้ลดลง ไม่สามารถนำเงินรายได้ของหน่วยงานมาใช้เป็นค่าลงทุนโครงการฯ ระยะที่ 1 ได้ ซึ่งในช่วงปีงบประมาณ 2567-2586 (ระยะเวลา 20 ปี) กทพ. มีประมาณการกระแสเงินสดขาดเป็นจำนวน 21,298.11 ล้านบาท ดังนั้น กทพ. จึงจำเป็นต้องขอกรอบวงเงินกู้หรือออกพันธบัตรของค่าก่อสร้างทั้งหมด และโดยที่พระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 57 (2) และ (3) บัญญัติให้ กทพ. จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนดำเนินการกู้ยืมเงินเกินหนึ่งร้อยล้านบาทหรือออกพันธบัตรเพื่อการลงทุน กทพ. จึงขอเสนอคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้
6. สำหรับข้อเสนอที่ กทพ. ขอรับการอุดหนุนค่าใช้เขตทางหลวงตามกฎกระทรวงกำหนดค่าใช้เขตทางหลวงพิเศษ ทางหลวงแผ่นดิน ทางหลวงชนบทและทางหลวงสัมปทาน พ.ศ. 2564 เป็นจำนวนเงิน 7.75 ล้านบาทต่อปี ตลอดอายุโครงการนั้น กทพ. แจ้งว่า ค่าใช้จ่ายดังกล่าวยังไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมูลค่าลงทุนโครงการฯ ระยะที่ 1 จำนวน 16,757.01 ล้านบาท โดยจะขอรับการอุดหนุนงบประมาณแผ่นดินเป็นรายปีตลอดอายุโครงการต่อไป
7. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ (สงป.) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาแล้วไม่ขัดข้อง โดยมีความเห็นเพิ่มเติม เช่น สงป.เห็นว่า สำหรับการขอรับการอุดหนุนค่าใช้เขตทางหลวงจากรัฐบาล สงป.จะพิจารณาจัดสรรให้ตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยคำนึงถึงสถานะทางการเงินของ กทพ. และเห็นว่ากระทรวงคมนาคม (คค.) และ กทพ. ควรเร่งรัดดำเนินการศึกษาความเหมาะสมและรูปแบบการลงทุนของโครงการฯ ระยะที่ 2 ระยะทาง 30.62 กิโลเมตร ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
9. เรื่อง ขอความเห็นชอบขอต่ออายุวงเงินกู้ระยะสั้น (Credit Line) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบขอต่ออายุวงเงินกู้ระยะสั้น (Credit Line) จำนวน 5,000 ล้านบาท เป็นระยะเวลา 3 ปี ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีมีมติ (28 กันยายน 2564) เห็นชอบให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) กู้เงินระยะสั้น (Credit Line) จํานวน 5,000 ล้านบาท เป็นระยะเวลา 3 ปี โดยเป็นการกู้เงินเพื่อสำรองไว้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เพื่อเสริมสภาพคล่องในกรณีขาดเงินทุนหมุนเวียนหรือมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องใช้เงินทุนหมุนเวียนดังกล่าว ซึ่งกรอบวงเงินกู้เงินระยะสั้นดังกล่าวหมดอายุแล้วเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2568 อย่างไรก็ตาม กฟภ. ยังมีความต้องการเงินทุนหมุนเวียน ในช่วงเดือนมิถุนายน - ธันวาคม ของทุกปี เพื่อใช้ในการดำเนินการต่าง ๆ เช่น (1) นำส่งเงินรายได้แผ่นดินไถ่ถอนพันธบัตร กฟภ. ที่จะครบกำหนดภายใน 3 ปี (2) ชำระเงินค่าซื้อไฟฟ้าแก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) เป็นต้น ดังนั้นเพื่อไม่ให้ กฟภ. ขาดสภาพคล่องทางการเงิน กระทรวงมหาดไทยจึงเสนอขอขยายระยะเวลากรอบวงเงินกู้ระยะสั้นไปอีก 3 ปี มาในครั้งนี้ ซึ่ง กฟภ. จะพิจารณารูปแบบของการขอกู้เงินระยะสั้น และเจรจาต่อรอง กับสถาบันการเงินของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 ให้ได้รับข้อเสนอด้านอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขที่ดีที่สุด เพื่อลดภาระต้นทุนทางการเงินที่จะเกิดขึ้น โดยการขยายระยะเวลา จะเริ่มภายหลัง กฟภ. พิจารณารับข้อเสนอจากสถาบันทางการเงินได้เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้การขอขยายระยะเวลากรอบวงเงินกู้ระยะสั้น (Credit Line) ในครั้งนี้ ได้บรรจุอยู่ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจําปีงบประมาณ 2568 ด้วยแล้ว
2. กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน พิจารณาแล้วเห็นชอบ/ไม่ขัดข้อง โดยมีความเห็นเพิ่มเติม เช่น (1) ควรพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการวงเงินกู้ระยะสั้นดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพ (2) ให้ กฟภ. จัดเตรียมแผน/มาตรการรองรับในกรณีที่ยังไม่สามารถติดตามหนี้ค่าไฟฟ้าได้อย่างรวดเร็วและครบถ้วน เป็นต้น
10. เรื่อง ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินมาตรการช่วยเหลือด้านค่าไฟฟ้าแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าที่ประสบอุทกภัย ในพื้นที่ที่หน่วยงานราชการประกาศให้เป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติจากอุทกภัยสำหรับค่าไฟฟ้าประจำเดือนกันยายน และเดือนตุลาคม 2567
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 งบกลางรายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน 1,696 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินมาตรการช่วยเหลือด้านค่าไฟฟ้าแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าที่ประสบอุทกภัย ในพื้นที่ที่หน่วยงานราชการประกาศให้เป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติจากอุทกภัย สำหรับค่าไฟฟ้า ประจําเดือนกันยายนและเดือนตุลาคม 2567 แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย และกิจการขนาดเล็ก (ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทที่ 1 บ้านอยู่อาศัย และประเภทที 2 กิจการขนาดเลิก ตามประกาศโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าในปัจจุบันของ กฟภ.) ในพื้นที่ที่หน่วยงานราชการประกาศให้เป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติจากอุทกภัย และให้ กฟภ. เบิกจ่ายเงินจากสำนักงบประมาณ (สงป.) ต่อไป ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. เดิมคณะรัฐมนตรีมีมติ (24 กันยายน 2567) เห็นชอบในหลักการมาตรการช่วยเหลือด้านค่าไฟฟ้าแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่หน่วยงานราชการ ประกาศให้เป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติจากอุทกภัย (รวม 18 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดลำพูน จังหวัดลำปาง จังหวัดเชียงราย จังหวัดพะเยา จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดสุโขทัย จังหวัดตาก จังหวัดพิจิตร จังหวัดอุตรดิตถ์ จังหวัดแพร่ จังหวัดน่าน จังหวัดอุทัยธานี จังหวัดอุดรธานี จังหวัดหนองคาย จังหวัดนครพนม จังหวัดบึงกาฬ และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา) โดย (1) ไม่เรียกเก็บค่าไฟฟ้าประจำเดือนกันยายน 2567 และ (2) ให้ส่วนลดค่าไฟฟ้า ร้อยละ 30 ซึ่งกำหนดให้เป็นส่วนลดก่อนการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับค่าไฟฟ้าประจำเดือนตุลาคม 2567
2. ในครั้งนี้กระทรวงมหาดไทย (มท.) จึงเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเพื่อดำเนินมาตรการช่วยเหลือด้านค่าไฟฟ้าตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว วงเงิน 1,696 ล้านบาท ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบด้วยแล้ว โดยให้เบิกจ่ายในงบเงินอุดหนุนประเภทเงินอุดหนุนทั่วไป และขอให้ มท. โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ พร้อมทั้งรายละเอียดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง เพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ (สงป.) ตามขั้นตอนต่อไป
3. กระทรวงการคลัง (กค.) กระทรวงพลังงาน (พน.) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาแล้วเห็นชอบ/ไม่ขัดข้อง โดย กค. เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุมและกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุด สำหรับการจัดสรรงบประมาณให้เป็นไปตามความเห็น สงป.
11. เรื่อง การขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โครงการฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยของจังหวัดเชียงราย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2567
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้จังหวัดเชียงราย ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยของจังหวัดเชียงราย จำนวน 18 โครงการ วงเงินรวม 363.62 ล้านบาท และให้จังหวัดเชียงรายเบิกจ่ายเงินจากสำนักงบประมาณ (สงป.) ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ในช่วงเดือนกันยายน - ตุลาคม 2567 ประเทศไทยได้ประสบปัญหาอุทกภัยในหลายพื้นที่ โดยมีสาเหตุมาจากพายุไต้ฝุ่นยางิและพายุซูลิกรวมถึงมวลอากาศเย็นและร่องมรสุมพาดผ่านในพื้นที่ ซึ่งที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน กรณีอุทกภัยและฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยแล้ว รวมถึงจังหวัดเชียงรายที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (29 พฤศจิกายน 2567) เห็นชอบในหลักการโครงการเร่งด่วนของจังหวัดเชียงรายเพื่อฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย จังหวัดเชียงรายจึงได้เสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงบประมาณ (สงป.) จำนวน 19 โครงการกรอบวงเงินรวม 397.59 ล้านบาท โดยนายกรัฐมนตรีเห็นชอบให้จังหวัดเชียงรายใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 18 โครงการ วงเงินรวม 363.62 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยของจังหวัดเชียงราย
โครงการฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยของจังหวัดเชียงรายมีดังนี้
ลำดับ |
โครงการ/กิจกรรม |
วงเงิน (ล้านบาท) |
1 |
โครงการหลงแสงเวียง เจียงฮาย (Light Festival) |
9.68 |
2 |
โครงการฟื้นฟูและป้องกันทางหลวงที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยงานฟื้นฟูทางหลวง ทางหลวงหมายเลข 131 ตอนควบคุม 0100 ตอน ทางเลี่ยงเมืองเชียงราย ระหว่าง กม.8+700 - กม.9+300 |
45.00 |
3 |
โครงการปรับปรุงถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก และก่อสร้างรางระบายน้ำสาธารณะ ถนนภายในชุมชนเหมืองแดง หมู่ที่ 2 ตำบลแม่สายอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย |
52.23 |
4 |
โครงการปรับปรุงถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก และก่อสร้างรางระบายน้ำสาธารณะ ถนนในชุมชนเกาะทราย หมู่ที่ 7 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย |
24.04 |
5 |
โครงการปรับปรุงถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก และก่อสร้างรางระบายน้ำสาธารณะ ถนนในชุมชนไม้ลุงขน หมู่ที่ 10 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย |
53.20 |
6 |
โครงการปรับปรุงถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก และก่อสร้างรางระบายน้ำสาธารณะ ถนนสายลมจอย - ดอยเวา ชุมชนดอยเวา หมู่ที่ 1 ตำบลเวียงพางคำ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย |
12.18 |
7 |
โครงการปรับปรุงถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก และก่อสร้างรางระบายน้ำสาธารณะ ถนนในชุมชนป่ายางชุม หมู่ที่ 6ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย |
12.18 |
8 |
โครงการก่อสร้างถนน ค.ส.ล. สายเลียบสายคลองชลประทาน หมู่ที่ 4 ตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนในการสัญจรและลดผลกระทบจากอุทกภัย (ชร.ถ.56 - 054) |
3.28 |
9 |
โครงการปรับปรุงซ่อมแซมระบบจัดการน้ำเสีย |
17.65 |
10 |
โครงการบูรณาการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจจังหวัดเชียงรายจากสถานการณ์อุทกภัย |
9.33 |
11 |
โครงการฟื้นฟูและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย ทางหลวงหมายเลข 1232 ตอนควบคุม 0100 ตอน อนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งราย - เวียงชัย ระหว่าง กม.0+000 - กม.2+000 |
45.00 |
12 |
โครงการปรับปรุงซ่อมแซมเขื่อนป้องกันตลิ่งบริเวณสวนสาธารณะ ริมแม่น้ำกกชุมชนฝั่งหมิ่น, ร่องเสือเต้น, ป่าแดง |
25.00 |
13 |
โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำภายในเขตเทศบาลนครเชียงราย |
17.63 |
14 |
โครงการปรับปรุงซ่อมแซมเขื่อนป้องกันตลิ่งบริเวณสวนสาธารณะเกาะลอย |
14.23 |
15 |
โครงการปรับปรุงทางเท้าถนนกองคำ ชุมชนน้ำลัด |
5.00 |
16 |
โครงการปรับปรุงระบบกลบฝังขยะมูลฝอย |
15.00 |
17 |
โครงการปรับปรุงผิวจราจรด้วย Asphaltic Concrete และทางเดินเท้าถนนไกรสรสิทธิ์ |
1.80 |
18 |
โครงการส่งเสริมและพัฒนาช่องทางการตลาดผลิตภัณฑ์ชุมชน |
1.19 |
รวมทั้งสิ้น |
363.62 |
2. สำหรับโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำกก หมู่บ้านธนารักษ์ กองทัพบก หมู่ที่ 3 ตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย จำนวน 29.10 ล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างขออนุญาตใช้พื้นที่ราชพัสดุจากกรมธนารักษ์เมื่อได้รับอนุญาตจากกรมธนารักษ์และมีความพร้อมของพื้นที่ดำเนินการแล้ว ให้จังหวัดเชียงรายขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป
12. เรื่อง การเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงานเทศกาลดนตรี Tomorrowland ในประเทศไทย ประจำปี พ.ศ. 2569-2573 (5 ปี)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการศึกษาความเป็นไปได้ของการจัดงานเทศกาลดนตรี Tomorrowland ในประเทศไทย และเห็นชอบในหลักการให้ประเทศไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงานเทศกาลดนตรี Tomorrowland ในประเทศไทย ประจำปี พ.ศ. 2569-2573 (5 ปี) สำหรับงบประมาณในการดำเนินงานให้ กก. (ททท.) ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติ ครม. ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ตลอดจนมาตรฐานทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
สาระสำคัญของเรื่อง
กก. รายงานว่า
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (1 กรกฎาคม 2568) มอบหมายให้สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) (สสปน.) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการศึกษาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการจัดงานเทศกาลดนตรี Tomorrowland ให้แล้วเสร็จ โดยให้จัดทำรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงภาระค่าใช้จ่าย ประโยชน์และความคุ้มค่า และบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ แล้วให้ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปโดยเร็ว และมอบหมายให้ กก. ร่วมกับ ททท. เป็นหน่วยงานหลักในการบริหารจัดการและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขับเคลื่อนการจัดงานเทศกาลดนตรี Tomorrowland ให้บรรลุผลเป็นรูปธรรมต่อไป ซึ่งต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (29 กรกฎาคม 2568) รับทราบการเตรียมการจัดงานเทศกาลดนตรี Tomorrowland ในประเทศไทย ประจำปี พ.ศ. 2569-2573 (5 ปี) และให้ กก. และ สสปน. เร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว แล้วนำผลการศึกษาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ พร้อมทั้งรายละเอียดค่าใช้จ่ายและข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
2. กก. ได้พิจารณาผลการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดงานเทศกาลดนตรี Tomorrowland ในประเทศไทยของ สสปน. ตามนัยมติข้างต้นสรุปได้ ดังนี้
2.1 ผลการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดงานเทศกาลดนตรี Tomorrowland ในประเทศไทยพบว่า เทศกาลดังกล่าวมีศักยภาพสูงในการยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมเทศกาลดนตรีระดับโลก โดยโครงการนี้ไม่เพียงแต่สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจที่มีนัยสำคัญ แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการยกระดับ Soft Power และภาพลักษณ์ประเทศไทยในเวทีโลก ทั้งนี้ ผลการวิเคราะห์ผลกระทบทางเศรษฐกิจแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการสร้างมูลค่าเพิ่มในระดับสูงอย่างมีนัยสำคัญ โดยก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจโดยรวมประมาณ 3,458.42 ล้านบาท สร้างรายได้ภาษีให้รัฐ 213.51 ล้านบาท และสร้างการจ้างงานในปีแรก 5,924 อัตรา ส่วนการวิเคราะห์ผลกระทบทางสังคมชี้ให้เห็นถึงโอกาสและความท้าทายที่สำคัญโดยจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ และชื่อเสียงระดับโลกให้แก่ประเทศไทย อย่างไรก็ดี ยังมีความเสี่ยงเชิงลบที่ต้องบริหารจัดการอย่างรอบคอบ เช่น ความเสี่ยงด้านภาพลักษณ์ของประเทศจากการบริหารจัดการที่อาจบกพร่อง ความเสี่ยงด้านอาชญากรรม ยาเสพติด
2.2 ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อให้การจัดงานเทศกาล Tomorrowland ในประเทศไทย มีความสำเร็จอย่างยั่งยืนสรุปได้
2.2.1 รัฐบาลควรจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อการจัดงานเทศกาลดนตรี Tomorrowland Thailand ในการขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สังคม และประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีโครงสร้าง ประกอบด้วย คณะอนุกรรมการด้านนโยบายและยุทธศาสตร์ที่รับผิดชอบการกำหนดทิศทางและวิสัยทัศน์สำหรับงาน Tomorrowland Thailand คณะอนุกรรมการด้านการดำเนินงานและโลจิสติกส์ที่รับผิดชอบการประสานงานด้านโครงสร้างพื้นฐานและการดำเนินงานในพื้น Wisdom Valley และพื้นที่ใกล้เคียง รวมทั้งคณะอนุกรรมการด้านการตลาดและประชาสัมพันธ์ที่ดูแลการสร้างภาพลักษณ์และการสื่อสาร Soft Power ผ่านงานเทศกาลดนตรี Tomorrowland นอกจากนี้ ควรมีมาตรการส่งเสริมการจัดงานเทศกาลดนตรี Tomorrowland Thailand โดยเฉพาะการขออนุญาตและการดำเนินงานเฉพาะโครงการ การกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม เพื่อรองรับผู้เข้าร่วมจำนวนมากตลอดจนการอำนวยความสะดวกแบบ One Stop Service และการสร้างกลไกการแก้ไขปัญหาและข้อพิพาทอย่างรวดเร็วสำหรับโครงการโดยเฉพาะ
2.2.2 แผนการสนับสนุนทางการเงินและสิทธิประโยชน์เฉพาะ ซึ่งการพัฒนาแผนการสนับสนุนทางการเงินเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จของโครงการ โดยในส่วนนี้จะเป็นส่วนของเงินสนับสนุนในจัดงานเป็นระยะเวลา 5 ปี เพื่อสนับสนุนการตลาดและการประชาสัมพันธ์ระดับนานาชาติ รวมทั้งการพัฒนาสิทธิประโยชน์ทางภาษีจะช่วยดึงดูดการลงทุนมากขึ้น โดยอาจจะมีการหักลดหย่อนค่าใช้จ่าย เทียบเท่า การลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา การยกเว้นภาษี อุปกรณ์เฉพาะสำหรับอุปกรณ์เวที แสง เสียง และเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่ไม่มีในประเทศ
2.2.3 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ Wisdom Valley
(1) โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล มีความจำเป็นต้องดำเนินการวางระบบเครือข่ายโทรคมนาคมความเร็วสูงภายในพื้นที่จัดงาน ตลอดจนการให้บริการอินเทอร์เน็ตไร้สาย (Wi-Fi) สาธารณะความเร็วสูงที่มีความเสถียร สามารถรองรับการใช้งานของผู้เข้าร่วมงานจำนวนมากได้พร้อมกันอย่างมีประสิทธิภาพ
(2) ระบบคมนาคมขนส่ง มีความจำเป็นต้องปรับปรุงและพัฒนาเส้นทางเชื่อมต่อสู่พื้นที่จัดงานอย่างเป็นระบบ การจัดเส้นทางพิเศษจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิสู่ Wisdom Valley การปรับปรุงเส้นทางเชื่อมต่อหลักจากพัทยาและจังหวัดชลบุรี โดยเฉพาะการพัฒนาเส้นทางเข้า - ออกบริเวณโดยรอบพื้นที่จัดงานให้สามารถรองรับการจราจรจำนวนมากได้อย่างสะดวกและปลอดภัย อีกทั้งควรมีการจัดระบบรถรับส่งที่เชื่อมโยงสถานที่จัดงาน โรงแรม ที่พัก และแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในพื้นที่โดยรอบ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้เข้าร่วมงาน และสนับสนุนการกระจายรายได้สู่ชุมชนท้องถิ่น รวมทั้งควรมีการพัฒนาและนำเทคโนโลยีระบบบริหารจัดการจราจรอัจฉริยะโดยใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมและบริหารจัดการการจราจรภายในพื้นที่จัดงานช่วงเวลาการจัดเทศกาลโดยเฉพาะ
(3) ภาครัฐควรให้การสนับสนุนด้านการวางแผนและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง เช่น ระบบคมนาคม ระบบไฟฟ้า และสาธารณูปโภคอื่น ๆ ภายในพื้นที่จัดงานอย่างรอบด้าน เพื่อให้สามารถรองรับจำนวนผู้เข้าร่วมงานจำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งสร้างความสะดวกสบายในการเดินทาง และเสริมสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางระดับโลกด้านเทศกาลดนตรี
2.2.4 การพัฒนาบุคลากรและทีมงานเฉพาะ โดยจัดให้มีศูนย์ฝึกอบรมเฉพาะสำหรับทีมงาน Tomorrowland Thailand โดยให้มีหลักสูตร เช่น การจัดการเทศกาลดนตรีระดับนานาชาติ Criss Management สำหรับงานขนาดใหญ่ และ Digital Marketing เฉพาะสำหรับการประชาสัมพันธ์งานเทศกาลขนาดใหญ่ รวมทั้ง ควรส่งเสริมโครงการพัฒนาทักษะแรงงานท้องถิ่นในพื้นที่ให้ได้รับประโยชน์โดยตรง เช่น โครงการพัฒนาทักษะในสาขาการโรงแรม การบริการ และการก่อสร้าง ตลอดจน โครงการแลกเปลี่ยนบุคลากรกับทีมงาน Tomorrowland Belgium เพื่อถ่ายทอดความรู้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเฉพาะทาง เพื่อพัฒนางานระดับโลกที่เป็นของประเทศไทยต่อไปในอนาคต
2.2.5 กลยุทธ์การสร้างแบรนด์ Tomorrowland Thailand ในตลาดโลก การบูรณาการอัตลักษณ์ไทยเข้ากับการจัดงานเทศกาลดนตรี Tomorrowland Thailand เพื่อเผยแพร่ Soft Powerของประเทศไทย ไปสู่ผู้ชมมากกว่า 200 ประเทศ และการรณรงค์ทางการตลาดสำหรับงานเทศกาลดนตรี Tomorrowland Thailand จึงจะช่วยประชาสัมพันธ์งานผ่านสื่อโซเชียล และขยายผลไปสู่ถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยว นอกจากนี้ การพัฒนาเนื้อหาที่แสดงถึง Soft Power หรือเสน่ห์ของประเทศไทย จะช่วยสร้างกระแสความสนใจและดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพสูงจากทั่วโลก ซึ่งสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยได้อย่างมาก
2.2.6 แผนบริหารความเสี่ยงและการจัดการผลกระทบ ระบบบริหารความเสี่ยงเชิงป้องกันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการจัดงานระดับนานาชาติที่ปลอดภัยและยั่งยืน การบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อม การใช้พลังงานหมุนเวียนในการจัดงานร้อยละ 100 การติดตามคุณภาพอากาศและเสียงแบบ Real - Time จะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างแบบอย่างที่ดีในการจัดงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้อีกด้วย ทั้งนี้ ควรมีการจัดตั้งศูนย์บัญชาการรับมือวิกฤตที่ทำงานเชื่อมโยงโดยตรงกับโรงพยาบาลหลักในพื้นที่ หน่วยตำรวจ และหน่วยดับเพลิงเพื่อให้สามารถตอบสนองเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างทันท่วงที ซึ่งครอบคลุมถึงการจัดทำแผนอพยพฉุกเฉินที่สามารถรองรับการเคลื่อนย้ายผู้ร่วมงานจำนวนมากได้อย่างปลอดภัยและเป็นระบบ พร้อมทั้งมีโรงพยาบาลสนามในพื้นที่จัดงานที่มีอุปกรณ์ทันสมัยมีทีมแพทย์และพยาบาลประจำตลอด 24 ชั่วโมง ในการรองรับทั้งเหตุเจ็บป่วยทั่วไปและกรณีวิกฤต นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งประเด็นสำคัญ เช่น การพัฒนาระบบความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เข้มแข็งเพื่อป้องกันการโจมตีหรือแทรกแซงระบบดิจิทัลของงาน ตลอดจนข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เข้าร่วมงานเพื่อความเชื่อมั่นต่อทั้งผู้เข้าร่วมงานและเป็นมาตรฐานที่ดีในการจัดงานที่ยั่งยืน
2.2.7 กลไกการติดตามและประเมินผล ควรออกแบบให้ครอบคลุมรอบด้าน ทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม และความสัมพันธ์กับชุมชนท้องถิ่น ควบคู่ไปกับการวิเคราะห์ผลกระทบเชิงคุณภาพผ่านการสำรวจความพึงพอใจของผู้เข้าร่วมงานและเฉพาะชุมชนโดยรอบ ระบบประเมินควรมีตัวชี้วัดที่ชัดเจน เช่น อัตราการปล่อยคาร์บอนที่มุ่งสู่ Net Zero หรือการรีไซเคิลขยะในสัดส่วนร้อยละ 90 ขึ้นไป ตลอดจนการติดตามปัจจัยแวดล้อม เช่น คุณภาพน้ำ อากาศ และระดับเสียง ทั้งก่อน ระหว่างและหลังการจัดงาน เพื่อประเมินผลกระทบและแนวทางบรรเทาผลกระทบดังกล่าว
3. จากการพิจารณาผลการศึกษาข้างต้น กก. (ททท.) จึงได้จัดทำรายละเอียดของการจัดงานเทศกาลดนตรี Tomorrowland ในประเทศไทย สรุปได้ ดังนี้
ประเด็น |
รายละเอียด |
วัตถุประสงค์ |
เพื่อยกระดับประเทศไทยให้เป็นหนึ่งในศูนย์กลางเทศกาลดนตรีระดับโลก ผ่านการบูรณาการมิติทางดนตรี วัฒนธรรม ความคิดสร้างสรรค์ และการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างเป็นระบบ ซึ่งจะเป็นการต่อยอด Soft power ของประเทศไทยในเวทีโลก ภายใต้แนวคิด “Uniting the World Through Music, Culture, and Sustainability” |
สถานที่จัดงาน |
พื้นที่ Wisdom Valley อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ครอบคลุมพื้นที่จัดงานหลัก 250-350 ไร่ พื้นที่อำนวยความสะดวก 100 ไร่ มีความพร้อมรองรับการจัดงานด้วยโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมที่ครบครัน การเชื่อมต่อสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา (45 นาที) และสนามบินสุวรรณภูมิ (90 นาที) โรงแรมและที่พัก เขตบางละมุงกว่า 3,500 แห่ง รวม 66,000 ห้อง และระบบสาธารณูปโภคที่เพียงพอ รวมถึงการเข้าถึงบริการสุขภาพจากโรงพยาบาลมาตรฐานสากลในรัศมี 20-35นาที |
รูปแบบการจัดงาน |
1. รูปแบบการจัดงานเป็นการจัดงานแบบเทศกาลดนตรีอิเล็กทรอนิกส์แดนซ์ (Electronic Dance Music: EDM) 2. โครงสร้างกิจกรรมหลักภายในงาน ออกแบบให้มีกิจกรรมที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งมิติของดนตรี วัฒนธรรม และประสบการณ์ผู้ร่วมงาน โดยหนึ่งในองค์ประกอบหลัก คือ เวทีหลัก (Main Stage) และเวทีรอง (Themed Stage) ที่รองรับศิลปินระดับโลกพร้อมเทคโนโลยีแสง สี เสียงระดับนานาชาติซึ่งถือเป็นจุดขายสำคัญของเทศกาล Tomorrowland ในทุกประเทศที่จัดขึ้นด้วย Thai Culture Showcase ซึ่งการจัดแสดงความเป็นไทยในรูปแบบที่หลากหลาย เช่น การนวดไทย อาหารไทย หัตถกรรมพื้นถิ่น หรือศิลปะร่วมสมัย การจัดแสดงงานศิลปะ การจัดพื้นที่ Food and Beverage Pavilion |
การเตรียมความพร้อม ด้านการประชาสัมพันธ์ |
1. จะดำเนินการประชาสัมพันธ์ล่วงหน้าในการจัดงาน Tomorrowland Belgium 2026 (กรกฎาคม 2569) 2. ทำการตลาดและประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางต่าง ๆ โดยนำเสนอ |
แผนการดำเนินโครงการ |
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันกำหนดแผนการดำเนินงานเบื้องต้นของโครงการไว้ ดังนี้ - สิงหาคม 2568 เริ่มกระบวนการจัดทำร่างข้อตกลงขั้นสุดท้าย (Definitive Agreement) ระหว่างคู่สัญญา TLI หรือ บริษัท วี อาร์ วัน เวิลด์ (ไทยแลนด์) และ ททท. - ธันวาคม 2568 ประกาศการจัดงานเทศกาลดนตรี Tomorrowland Thailand อย่างเป็นทางการต่อสาธารณชนเพื่อให้เกิดการรับรู้ในวงกว้างทั้งในประเทศและต่างประเทศ - กุมภาพันธ์ 2569 การประกาศการจำหน่ายบัตรเข้าร่วมงานอย่างเป็นทางการ พร้อมเผยแพร่รายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับการเข้าร่วมงานผ่านช่องทางต่าง ๆ - พฤษภาคม 2569 เป็นต้นไป จะเริ่มดำเนินการประชาสัมพันธ์อย่างเป็นทางการทั้งในและต่างประเทศ โดยใช้ช่องทางของ TLI และ Tomorrowland Thailand ภายใต้กรอบเนื้อหาที่ได้รับการอนุมัติจาก |
ระยะเวลาในการจัดงาน |
จะดำเนินการในปี 2569-2573 (5 ปี) [ปีละ 1 ครั้ง ครั้งละ 3 วัน (ศุกร์ - อาทิตย์)] โดยในปี 2569 จะจัดขึ้นในช่วงเดือนธันวาคม |
ประมาณการรายได้ ต้นทุนและกำไร |
สรุปผลการคาดการณ์กำไรสุทธิจากการจัดงาน รวม 5 ปี เป็นเงินทั้งสิ้น 2,695.84 ล้านบาท |
ประมาณการรายจ่าย |
เช่น ค่าจ้างพนักงาน ค่าเช่าสถานที่ ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับศิลปิน ค่าใช้จ่ายการตลาด ค่าจ้างสื่อ ค่าจ้างปฏิบัติงาน ค่าประกันและใบอนุญาตต่าง ๆ - ปีแรกคาดว่า จะมีค่าใช้จ่ายในการจัดงานประมาณ 1,342.39 ล้านบาท - คาดว่าจะเพิ่มเป็น 1,610.91 ล้านบาท ในปีที่ 5 รวม 5 ปี เป็นเงิน 7,354.19 ล้านบาท |
แหล่งเงินที่ใช้ตลอดระยะเวลาดำเนินการ |
1. ภาคเอกชนรับผิดชอบค่าใช้จ่าย จำนวน 5,354.19 ล้านบาท 2. ขอรับการสนับสนุนจากภาครัฐ จำนวน 2,000 ล้านบาท 2.1 ปีที่ 1 (พ.ศ. 2569) ททท. จะขอรับจัดสรรจาก งบกลางฯ จำนวน 10 ล้านยูโร หรือคิดเป็นประมาณ 400 ล้านบาท เพื่อดำเนินการในโอกาสแรกก่อน 2.2 ปีที่ 2-5 (พ.ศ. 2570-2573) ททท. จะขอตั้งงบฯ สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในปีต่อไปและจะจัดทำแผนการปฏิบัติงานแผนการใช้จ่ายงบประมาณจำนวน 10 ล้านยูโรต่อปี หรือคิดเป็นประมาณ 400 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ ในกรณีที่ให้สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีแก่บริษัทผู้จัดเทศกาลดนตรี Tomorrowland ในการนำเอาค่าใช้จ่ายในการจัดงานมาลดหย่อนภาษีในอัตราร้อยละ 200 เทียบเท่าค่าใช้จ่ายในการอบรมและพัฒนาทักษะแรงงาน และค่าใช้จ่ายเพื่อการวิจัยและพัฒนา จะทำให้รัฐสูญเสียรายได้จากภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 20 ในปีที่ 1 เป็นเงิน 39.76 ล้านบาท และในปีที่ 5 เป็นเงิน 197.17 ล้านบาท รวม 5 ปี เป็นเงิน 539.18 ล้านบาท |
4. ประโยชน์และผลกระทบ
4.1 เป็นการสร้างภาพลักษณ์และชื่อเสียงระดับนานาชาติในการเป็นเจ้าภาพจัดงานระดับโลกให้แก่ประเทศไทย รวมทั้งเป็นการแสดงศักยภาพด้านโครงสร้างพื้นฐาน ระบบการคมนาคม มาตรฐานการบริการที่ได้มาตรฐานสากล และยังเป็นการเพิ่มโอกาสให้ประเทศไทยได้รับเลือกเป็นจุดหมายปลายทางของการจัดงานอีเวนต์ขนาดใหญ่ระดับนานาชาติในอนาคต
4.2 ประเทศไทยจะมีรายได้จากการใช้จ่ายของผู้เข้าชมงาน รวมทั้งมีโอกาสได้นำเสนอความสวยงามของแหล่งท่องเที่ยวและ Soft Power ของประเทศไทย ผ่านดนตรี ศิลปะ วัฒนธรรม และเทคโนโลยีเชิงประสบการณ์อันจะนำไปสู่การเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศในเวทีโลก
13. เรื่อง โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อยสำหรับบริหารจัดการแหล่งน้ำและซื้อเครื่องจักรการเกษตรในไร่อ้อยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ปี 2568 - 2570
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อยสำหรับบริหารจัดการแหล่งน้ำและซื้อเครื่องจักรการเกษตรในไร่อ้อยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ปี 2568 - 2570 โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สนับสนุนสินเชื่อให้แก่เกษตรกรชาวไร่อ้อย กลุ่มเกษตรกร หรือสหกรณ์การเกษตร หรือสถาบันชาวไร่อ้อย หรือกลุ่มบุคคล หรือกลุ่มวิสาหกิจชุมชน วงเงินปีละ 2,000 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 6,000 ล้านบาท (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568-2570) ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ
สำหรับการขอชดเชยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต้องขอรับการชดเชยจากภาครัฐ ให้ ธ.ก.ส. ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ (สงป.) ทั้งนี้ ให้ อก. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นในส่วนที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
โดย สงป. เห็นสมควรให้คงอัตราการชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต้องขอรับการชดเชยจากภาครัฐเช่นเดียวกับโครงการฯ ปี 2565 – 2567 ที่ผ่านมา โดยรัฐบาลชดเชยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามโครงการฯ ดังนี้
(1) อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามโครงการฯ สำหรับเกษตรกรรายคน รัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยให้ ธ.ก.ส. แทนผู้กู้ในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี
(2) อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามโครงการฯ สำหรับกลุ่มเกษตรกร หรือสหกรณ์การเกษตร หรือสถาบันชาวไร่อ้อย หรือกลุ่มบุคคล หรือกลุ่มวิสาหกิจชุมชน รัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยให้ ธ.ก.ส. แทนผู้กู้ในอัตราร้อยละ 2 ต่อปี
(3) อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ วัตถุประสงค์เพื่อจัดซื้อเครื่องจักรการเกษตร ประเภทรถบรรทุกและพ่วงบรรทุก รวมทั้งอากาศยานไร้คนขับ รัฐบาลไม่ต้องชดเชยดอกเบี้ย
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นและเป็นภาระงบประมาณนั้น ให้ ธ.ก.ส. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นเหมาะสมและภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงตามขั้นตอนต่อไป
2. อนุมัติกรอบวงเงินฯ เพื่อชดเชยดอกเบี้ยตามโครงการฯ ปี 2568-2570 ให้กับ ธ.ก.ส. จำนวน 945 ล้านบาท
14. เรื่อง มาตรการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวที่พำนักอยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ เรื่อง มาตรการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวที่พำนักอยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา ซึ่งประกอบด้วยการให้ความเห็นชอบในเรื่องดังต่อไปนี้
1. มาตรการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวที่พำนักอยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา และร่างประกาศที่เกี่ยวข้อง รวม 2 ฉบับ ได้แก่
(1) ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษออกนอกเขตพื้นที่ควบคุมตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ...
(2) ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ...
2. ให้ รง. โดยกรมการจัดหางาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และความเข้าใจให้นายจ้าง/ผู้ประกอบการ แรงงานต่างด้าว และผู้ที่เกี่ยวข้องรับทราบข้อมูลการดำเนินการดังกล่าวอย่างทั่วถึง
สาระสำคัญของเรื่อง
รง. เสนอว่า
1. รัฐบาลได้มีนโยบายช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมแก่คนต่างด้าวกลุ่มผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรที่รับผลกระทบจากการสู้รบระหว่างรัฐบาลเมียนมาและกองกำลังชนกลุ่มน้อยกลุ่มต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง และได้ส่งผลให้เกิดการอพยพหลบหนีภัยจากการสู้รบเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2527 โดยรัฐบาลไทยขณะนั้นได้ผ่อนปรนให้ผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมาให้อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่กำหนดตามแนวชายแดนเป็นการชั่วคราวในระหว่างรอเดินทางไปตั้งถิ่นฐานยังประเทศที่สามหรือเดินทางกลับมาตุภูมิโดยสมัครใจ ปัจจุบันพื้นที่พักพิงชั่วคราวผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา มีจำนวนทั้งสิ้น 9 แห่ง อยู่ในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดตาก จังหวัดกาญจนบุรี และจังหวัดราชบุรี และมีจำนวนผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมาอาศัยในพื้นที่ดังกล่าว จำนวน 77,718 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 15 สิงหาคม 2568)
2. การให้ความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ แก่กลุ่มคนต่างด้าวตามข้อ 1 อาทิ ด้านการแพทย์ ด้านอาหาร จะเป็นการดำเนินการร่วมกันระหว่างประเทศไทย โดยกรมการปกครองกระทรวงมหาดไทย (มท.) กับองค์กรระหว่างประเทศและองค์การนอกภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในปัจจุบันองค์กรระหว่างประเทศและองค์การนอกภาครัฐได้มีการปรับลดงบประมาณการให้ความช่วยเหลือ ส่งผลทำให้ภาระในการดูแลคนต่างด้าวดังกล่าวตกแก่รัฐบาลไทยเพียงฝ่ายเดียว ดังนั้น เพื่อบรรเทาภาระของรัฐและเป็นการสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และส่งเสริมสิทธิมนุษยชน ตลอดจนแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน จึงมีความจำเป็นต้องผ่อนผันให้กลุ่มคนต่างด้าวดังกล่าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษเพื่อทำงานเพื่อให้สามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวต่อไป ซึ่งกรมการปกครอง มท. ได้ตรวจสอบสถานะและจัดทำฐานข้อมูลทางทะเบียนเรียบร้อยแล้ว ควบคู่ไปกับการสำรวจความต้องการประกอบอาชีพ ที่ รง. จะส่งเสริมให้สามารถทำงานได้ในเขตพื้นที่และเงื่อนไขที่กำหนด โดยมีแนวทางการดำเนินการ สรุปได้ ดังนี้
มาตรการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวที่พำนักอยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราว สำหรับผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา |
|
กลุ่มเป้าหมาย |
• คนต่างด้าวสัญชาติเมียนมา ซึ่งพำนักอยู่ในเขตพื้นที่พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา ซึ่งกรมการปกครองได้จัดทำทะเบียนผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมาเรียบร้อยแล้ว |
ขั้นตอน การดำเนินการ |
• ผ่อนผันให้คนต่างด้าวกลุ่มเป้าหมายอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษเพื่อทำงาน โดยดำเนินการภายใต้เงื่อนไข ดังนี้ 1. ให้คนต่างด้าวกลุ่มเป้าหมายยื่นขออนุญาตออกนอกเขตพื้นที่ควบคุมคนต่างด้าวเพื่อทำงาน โดยผู้มีอำนาจพิจารณา คือ นายอำเภอหรือปลัดอำเภอที่ได้รับมอบหมาย 2. ให้คนต่างด้าวไปดำเนินการตรวจสุขภาพกับสถานพยาบาลของรัฐและขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตน สำหรับคนต่างด้าวซึ่งทำงานในกิจการหรือเป็นลูกจ้าง ที่ไม่อยู่ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยประกันสังคม จะต้องทำประกันสุขภาพตามประกาศ สธ. ว่าด้วยการตรวจสุขภาพและประกันสุขภาพแรงงานต่างด้าว (ไม่สามารถทำประกันสุขภาพกับบริษัทเอกชนได้) ทั้งนี้ แนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2568 (เรื่อง แนวทางการผ่อนผันให้แรงงานสัญชาติกัมพูชาเข้ามาทำงานบริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา) 3. ยื่นคำขออนุญาตทำงานพร้อมเอกสารและหลักฐานตามที่กำหนดไว้ในแบบคำขอด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ อาทิ เอกสารจัดทำทะเบียนผู้หนีภัยจากการสู้รบฯ เอกสารที่ได้รับอนุญาตออกนอกเขตพื้นที่ควบคุม ใบรับรองแพทย์ หลักฐานประกันสุขภาพแรงงานต่างด้าวกับกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมทั้งชำระค่าธรรมเนียมค่ายื่นคำขอฉบับละ 100 บาท ทั้งนี้ ให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำงานในครั้งแรกของการขออนุญาตทำงาน 4. ให้นายทะเบียนอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานได้ไม่เกิน 1 ปี นับแต่วันที่มีคำสั่งอนุญาตให้ทำงาน โดยมีสิทธิทำงานกับนายจ้างได้ทุกประเภทที่มิได้ประกาศห้ามคนต่างด้าวทำ |
การดำเนินการของ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง |
• รง. ได้เสนอร่างประกาศที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการในเรื่องนี้ รวม 2 ฉบับ (1) ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษออกนอกเขตพื้นที่ควบคุมตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ... (2) ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ... • สธ. ดำเนินการตรวจสุขภาพและประกันสุขภาพให้แก่คนต่างด้าวกลุ่มเป้าหมาย |
3. ในคราวประชุมคณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว (คบต.) ครั้งที่ 6/2568 เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2568 ที่ประชุมได้เห็นชอบในหลักการบริหารแนวทางการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวกลุ่มผู้หนีภัยการสู้รบภัยการสู้รบจากเมียนมาตามข้อ 2 แล้ว
15. เรื่อง ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นของสถาบันพระปกเกล้า
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการให้สถาบันพระปกเกล้า (พป.) ใช้จ่ายงบประมาณจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการบูรณะซ่อมแซมอาคารรำไพพรรณี พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวสถาบันพระปกเกล้า ให้คงสภาพเดิมตามสัญญา (โครงการบูรณะซ่อมแซมอาคารรำไพพรรณีฯ) รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 48.50 ล้านบาท ตามที่สถาบันพระปกเกล้า (พป.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
สถาบันพระปกเกล้า (พป.) ได้เช่าอาคารรำไพพรรณีจากสำนักงานพระคลังข้างที่ (เดิมคือ จากสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์) และอาคารพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พป. (อาคารอนุรักษ์) ระยะเวลาการเช่าตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 – 30 กันยายน 2568 เพื่อเป็นศูนย์การเรียนรู้ให้กับประชาชนและนักศึกษาของ พป. โดยทั้งสองอาคารดังกล่าวมีการใช้งานต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลานาน ประกอบกับเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ส่งผลให้อาคารได้รับความเสียหายและเสื่อมสภาพเพิ่มขึ้น และโดยที่สัญญาเช่าอาคารจะสิ้นสุดใน วันที่ 30 กันยายน 2568 ซึ่งข้อ 7 (4) ตามสัญญาเช่ากำหนดว่า “ผู้เช่าสัญญาว่าจะรักษาซ่อมทำสถานที่เช่า รวมทั้งสิ่งที่ตรึงตราและเครื่องประกอบให้เรียบร้อยมีสภาพดีอยู่เสมอ และเมื่อเลิกการเช่าต่อกัน จะส่งสถานที่เช่ารวมทั้งสิ่งที่ตรึงตราและเครื่องประกอบคืนในสภาพดังว่านี้” ดังนั้น เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับผู้ปฏิบัติงานและผู้ใช้งาน รวมทั้งเพื่อให้ พป. สามารถต่อสัญญาเช่าจากสำนักงานพระคลังข้างที่ได้อย่างต่อเนื่อง ตามที่กำหนดไว้ พป. จึงมีความจำเป็นจะต้องเร่งดำเนินการซ่อมแซมทั้งสองอาคาร รวมทั้งสิ่งที่ตรึงตราและเครื่องประกอบของอาคารให้เรียบร้อยมีสภาพดี ทั้งนี้ พป. อยู่ระหว่างดำเนินการ บูรณะซ่อมแซมอาคารอนุรักษ์ โดยใช้งบประมาณในการซ่อมแซมจากงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ส่วนอาคารรำไพพรรณี พป. ยังไม่มีงบประมาณรองรับการบูรณะซ่อมแซมอาคารในส่วนที่เกิดความเสียหาย และเนื่องจากเงินงบประมาณ ที่ พป. ขอรับจัดสรรในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 มีแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว จึงไม่สามารถปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 มาดำเนินการได้ พป. จึงจำเป็นต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติหลักการให้ พป. ใช้จ่ายงบประมาณจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการบูรณะซ่อมแซมอาคารรำไพพรรณี พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พป. รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 48.50 ล้านบาท
16. เรื่อง ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 139.93 ล้านบาท ตามที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เสนอ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (การช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบฯ) จำนวน 279 ราย โดยเบิกจ่ายในงบรายจ่ายอื่น ทั้งนี้ เมื่อได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้วจะได้ทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ (สงป.) ตามขั้นตอนต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
1. เดิมคณะรัฐมนตรีมีมติ (31 พฤษภาคม 2548 6 พฤศจิกายน 2550 และ 14 สิงหาคม 2555) เห็นชอบหลักเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนใต้ โดยมีวิธีการดำเนินงาน คือ ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดจะจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาให้แก่ผู้ได้รับสิทธิจากเงินทดรองราชการที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) จัดสรรให้แต่ละจังหวัด และ ศอ.บต. จะเบิกจ่ายงบประมาณที่ได้รับจัดสรรประจำปีของ ศอ.บต. เพื่อส่งคืนให้แก่จังหวัด แต่ในปีงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2568 ศอ.บต. มีงบประมาณไม่เพียงพอในการเบิกจ่ายเพื่อคืนเงินทดรองราชการให้กับจังหวัด
2. ศอ.บต. ขอรับการจัดสรรงบประมาณสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบฯ ในด้านร่างกายและทรัพย์สินตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง จำนวน 279 ราย วงเงินงบประมาณทั้งสิ้น 139.93 ล้านบาท ซึ่ง สงป. แจ้งว่านายกรัฐมนตรีเห็นชอบให้ ศอ.บต. ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน 139.93 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบฯ จำนวน 279 ราย สรุปได้ดังนี้
จังหวัด |
รายการความเสียหาย |
จำนวน (ราย) |
จำนวนเงิน (ล้านบาท) |
นราธิวาส |
เสียชีวิต |
5 |
2.50 |
ทุพพลภาพ |
5 |
2.35 |
|
บาดเจ็บสาหัส |
1 |
0.05 |
|
บาดเจ็บปานกลาง |
4 |
0.12 |
|
บาดเจ็บเล็กน้อย |
38 |
0.38 |
|
ทรัพย์สิน |
16 |
5.43 |
|
รวมจังหวัดนราธิวาส |
69 |
10.83 |
|
ปัตตานี |
เสียชีวิต |
5 |
2.50 |
บาดเจ็บสาหัส |
2 |
0.10 |
|
บาดเจ็บเล็กน้อย |
32 |
0.32 |
|
ทรัพย์สิน |
34 |
62.15 |
|
รวมจังหวัดปัตตานี |
73 |
65.07 |
|
ยะลา |
เสียชีวิต |
6 |
3.00 |
ทุพพลภาพ |
2 |
1.00 |
|
บาดเจ็บสาหัส |
3 |
0.15 |
|
บาดเจ็บเล็กน้อย |
70 |
0.70 |
|
ทรัพย์สิน |
52 |
59.10 |
|
รวมจังหวัดยะลา |
133 |
63.95 |
|
สงขลา |
บาดเจ็บสาหัส |
1 |
0.05 |
บาดเจ็บเล็กน้อย |
3 |
0.03 |
|
รวมจังหวัดสงขลา |
4 |
0.08 |
|
รวมจำนวนทั้งสิ้น |
279 |
139.93 |
ทั้งนี้ สงป. ขอให้ ศอ.บต. นำเรื่องดังกล่าวเสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรี ตามนัยระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. 2562 ข้อ 9 (3) และเมื่อได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ขอให้ ศอ.บต. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อขอทำความตกลงกับ สงป. ตามขั้นตอนต่อไป
17. เรื่อง ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นจำนวน 2,900 ล้านบาท ให้แก่กองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม (กองทุนฯ) สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดสรรสวัสดิการให้แก่ผู้มีสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐ (ผู้มีสิทธิฯ) อย่างต่อเนื่องในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ตามที่คณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม (คณะกรรมการฯ) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. กองทุนฯ มีการจัดสรรสวัสดิการแก่ผู้มีสิทธิฯ ตามโครงการ ลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ (โครงการฯ) ปี 2565 จำนวน 13.45 ล้านคน ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 เป็นต้นมา ซึ่งมีสิทธิสวัสดิการประกอบด้วย
1.1 การจัดประชารัฐสวัสดิการใหม่สำหรับผู้ที่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติตามโครงการฯ ปี 2565 ดังนี้
การจัดประชารัฐสวัสดิการ |
วงเงิน |
เงื่อนไข |
(1) วงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค ที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษา และวัตถุดิบเพื่อเกษตรกรรม |
300 บาทต่อคนต่อเดือน
|
จากร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนา เศรษฐกิจท้องถิ่นและร้านอื่น ๆ ตามที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด |
(2) วงเงินส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม |
80 บาทต่อคนต่อ 3 เดือน |
จากร้านค้าตามที่กระทรวงพลังงานกำหนด |
(3) วงเงินรวมค่าเดินทางผ่านระบบขนส่งสาธารณะ
|
750 บาทต่อคนต่อเดือน
|
สำหรับขึ้นรถระบบขนส่งสาธารณะเช่น รถองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ รถบริษัท ขนส่ง จำกัด รถไฟฟ้า บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) รถไฟฟ้ามหานคร บริษัท รถไฟความเร็วสูงสายตะวันออก เชื่อมสามสนามบิน จำกัด และรถไฟ |
(4) มาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้า |
อุดหนุนค่าไฟฟ้าไม่เกิน 315 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน
|
กรณีที่ใช้ไฟฟ้าเกินวงเงินที่กำหนด ผู้มิสิทธิ์ฯ จะเป็นผู้รับภาระค่าไฟฟ้าทั้งหมด |
(5) มาตรการบรรเทาภาระค่าน้ำประปา |
อุดหนุนค่าน้ำประปาไม่เกิน 100 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน
|
กรณีที่ใช้น้ำประปาเกิน 100 บาท แต่ไม่เกิน 315 บาท ผู้มีสิทธิฯ ยังคงได้รับการสนับสนุนในวงเงิน 100 บาท และจะต้องชำระส่วนที่เกิน 100 บาท ด้วยตนเอง แต่หากผู้มีสิทธิฯ มีการใช้น้ำประปาเกิน315 บาท ผู้มีสิทธิ์ฯ จะเป็นผู้รับภาระค่าน้ำประปา ทั้งหมด |
1.2 เงินเพิ่มเบี้ยความพิการ จากเดิมจำนวน 800 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นจำนวน 1,000 บาทต่อคนต่อเดือน ในเบื้องต้นเฉพาะคนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการและผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ โดยให้เริ่ม ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป [ตามมติคณะรัฐมนตรี (28 มกราคม 2563)]
2. ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 กองทุนฯ มียอดเงินคงเหลือ 6,034.23 ล้านบาท โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 กองทุนฯ ได้รับจัดสรรงบประมาณ รายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จำนวน 50,400 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าใช้จ่าย เพื่อจัดสรรสวัสดิการให้แก่ผู้มีสิทธิฯ จำนวน 50,287.26 ล้านบาท และค่าใช้จ่าย ในการบริหารกองทุน จำนวน 112.74 ล้านบาท โดยที่ผ่านมากองทุนฯ มีการใช้จ่าย งบประมาณสำหรับการจัดสรรสวัสดิการ (ตามข้อ 1) ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 (ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 - 31 กรกฎาคม 2568) เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 45,533.33 ล้านบาท โดย ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 บัญชีของกองทุนฯ ซึ่งเป็นบัญชี เพื่อใช้จ่ายสำหรับการจัดประชารัฐสวัสดิการให้แก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยตามโครงการฯ ปี 2565 มีสถานะคงเหลือ 6,556.36 ล้านบาท [ข้อมูลจากกรมบัญชีกลาง] โดยมีประมาณการค่าใช้จ่ายในช่วงเดือน สิงหาคม – กันยายน 2568 เฉลี่ยเดือนละ 4,720 ล้านบาท (รวมเป็นวงเงิน 9,440 ล้านบาท) ทำให้กองทุนฯ มีความจำเป็นต้องขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 2,900 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อจัดสรรสวัสดิการให้แก่ผู้มีสิทธิฯ ต่อไป
3. คณะกรรมการฯ ในคราวการประชุม ครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2568 [รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์) เป็นประธาน] ได้มีมติเห็นชอบประมาณการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 2,900 ล้านบาท สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดสรรสวัสดิการแก่ผู้มีสิทธิฯ ดังกล่าวแล้ว ซึ่งต่อมาสำนักงบประมาณได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณา โดยนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้กองทุนฯ ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 2,900 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดสรรสวัสดิการให้แก่ผู้มีสิทธิฯ อย่างต่อเนื่องในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ทั้งนี้ การจัดสรรสวัสดิการแก่ผู้มีสิทธิฯ ตามโครงการฯ ปี 2565 จะช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพและค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภค ขั้นพื้นฐานให้แก่ผู้มีสิทธิฯ รวมทั้งยกระดับคุณภาพชีวิตคนพิการซึ่งเป็นผู้มีสิทธิฯ ให้มีความต่อเนื่องในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568
18. เรื่อง ขอความเห็นชอบหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังจากนอกประเทศ ปี 2568 เพื่อเป็นค่าเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชนและขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เสนอ ดังนี้
(1) เห็นชอบหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังจากนอกประเทศ ปี 2568 เพื่อเป็นค่าเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชนรายละเอียดปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วย 2
(2) อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน กรณีภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังจากนอกประเทศ จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 1,515,967,000 บาท เพื่อจ่ายเงิน ช่วยเหลือผู้ประสบภัย ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังจากนอกประเทศ ปี 2568 เพื่อเป็นค่าเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชนโดยให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นหน่วยรับงบประมาณและจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัย ผ่านธนาคารออมสิน ให้เบิกจ่ายในงบเงินอุดหนุน ลักษณะเงินอุดหนุนทั่วไป รวมทั้งให้สามารถถัวจ่าย ข้ามจังหวัดได้
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ได้เกิดสถานการณ์การสู้รบตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา โดยมีการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ในพื้นที่ 7 จังหวัด 45 อำเภอ 336 ตำบล 4,081 หมู่บ้าน (จังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี และจังหวัดตราด) ประชาชนได้รับผลกระทบ 315,476 ครัวเรือน มีพลเรือนเสียชีวิต 22 ราย (เสียชีวิตจากผลกระทบทางตรง 12 ราย และทางอ้อม 10 ราย) ได้รับบาดเจ็บ 40 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 21 สิงหาคม 2568เวลา 18.00 น.) ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน ที่อยู่อาศัย พื้นที่การเกษตรและสิ่งสาธารณประโยชน์ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก และเป็นบริเวณกว้าง ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของประชาชน
2. รัฐบาลได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเสนอขอค่าเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชน เป็นกรณีพิเศษ ในพื้นที่ 7 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานีศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี และจังหวัดตราด ดังนี้
2.1 กรณีอพยพตั้งแต่ 8 วันขึ้นไป ให้ความช่วยเหลือ ครัวเรือนละ 5,000 บาท
2.2 กรณีอพยพไม่เกิน 7 วัน ให้ความช่วยเหลือ ครัวเรือนละ 2,000 บาท
หลักเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลัง จากนอกประเทศ ปี 2568 เพื่อเป็นค่าเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชน
หลักเกณฑ์
เป็นกรณีภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังจากนอกประเทศที่ต้องอพยพประชาชนไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราว/พื้นที่ปลอดภัย ตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ในพื้นที่จังหวัด อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี และจังหวัดตราด
เงื่อนไข
1) ต้องเป็นประชาชนผู้ที่อาศัยประจำในพื้นที่ที่ได้ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน อพยพไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราว/พื้นที่ปลอดภัย และ
(1) มีหนังสือรับรองผู้ประสบภัยที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นออกให้ (ตามพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย 2550 ม.30) และ
(2) ต้องผ่านการประชาคมหมู่บ้านของแต่ละพื้นที่ประสบสาธารณภัย และ
(3) ผ่านการตรวจสอบและยืนยันข้อมูลจากคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติอำเภอ (ก.ช.ภ.อ.) และคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจังหวัด (ก.ช.ภ.จ.)
2) กรณีที่ผู้ประสบภัยต้องอพยพไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราว/พื้นที่ปลอดภัยหลายครั้ง ให้ได้รับความช่วยเหลือเพียงครั้งเดียว
ทั้งนี้ ให้จังหวัดที่ประสบภัยเร่งรัดดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องตามหลักเกณฑ์และช่วยเหลือให้แล้วเสร็จ ภายใน 90 วัน ตั้งแต่วันที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณโดยขออนุมัติหลักการในการดำเนินการดังกล่าว จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยตามหลักเกณฑ์เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังจากนอกประเทศ ปี 2568 เพื่อเป็นค่าเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชน ตามที่กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
ประโยชน์และผลกระทบ
ครัวเรือนผู้ประสบภัย จำนวน 315,476 ครัวเรือน ตามข้อมูลที่กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดยืนยันข้อมูลครัวเรือนเบื้องต้นที่ได้รับผลกระทบจากภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังจากนอกประเทศ จำนวน 7 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี และจังหวัดตราด ได้รับการเยียวยาความเดือดร้อนในเบื้องต้น และเพื่อให้การดำรงชีพของประชาชนเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว
ต่างประเทศ
19. เรื่อง ร่างแนวทางปฏิบัติสำหรับการใช้คาร์บอนเครดิตเพื่อวัตถุประสงค์ระหว่างประเทศ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างแนวทางปฏิบัติสำหรับการใช้คาร์บอนเครดิต เพื่อวัตถุประสงค์ระหว่างประเทศ (ร่างแนวทางปฏิบัติฯ) และมอบหมายให้กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมปฏิบัติหน้าที่หน่วยประสานงาน (National Designated Authority) และออกหนังสืออนุญาตการใช้คาร์บอนเครดิตเพื่อวัตถุประสงค์ระหว่างประเทศ รวมทั้งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามแนวทางปฏิบัติสำหรับการใช้คาร์บอนเครดิตเพื่อวัตถุประสงค์ระหว่างประเทศ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. รัฐสมาชิกกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change : UNFCCC) (กรอบอนุสัญญา UNFCCC) และความตกลงปารีส มีพันธกรณีที่จะต้องลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ดังนั้น เพื่อเป็นส่วนช่วยให้รัฐสมาชิกสามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้ ความตกลงปารีส ข้อ 6 จึงได้กำหนดให้รัฐสมาชิก (ซึ่งรวมถึงประเทศไทย) สามารถถ่ายโอนผลการลดก๊าซเรือนกระจกที่ถ่ายโอนระหว่างประเทศ (Internationally Transferred Mitigation Outcomes : ITMOs) หรือคาร์บอนเครดิตได้ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีประเทศต่าง ๆ ขอทำความตกลงกับประเทศไทยเพื่อขอรับโอนหรือซื้อคาร์บอนเครดิตจากประเทศไทย ผ่านกลไกดังกล่าว เช่น สมาพันธรัฐสวิส ญี่ปุ่น สาธารณรัฐสิงคโปร์ เป็นต้น ดังนั้น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) จึงได้จัดทำร่างแนวทางปฏิบัติสำหรับการใช้คาร์บอนเครดิตเพื่อวัตถุประสงค์ระหว่างประเทศ (ร่างแนวทางปฏิบัติฯ) ขึ้น เพื่อกำหนดประเภทและลักษณะของโครงการ รวมถึงขั้นตอนการพิจารณาโครงการที่จะมีการถ่ายโอนคาร์บอนเครดิตเพื่อวัตถุประสงค์ระหว่างประเทศตามความตกลงทวิภาคีที่ประเทศไทยจัดทำกับประเทศต่าง ๆ ให้มีความชัดเจน และผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถถือปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง (ไม่รวมถึงการซื้อขายคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจของภาคเอกชนซึ่งเป็นการดำเนินการเพื่อวัตถุประสงค์ในระดับองค์กร)
2. ร่างแนวทางปฏิบัติฯ มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกแนวทางและกลไกการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิต ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้รับทราบเป็นข้อมูลเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2565 และกำหนดแนวทางปฏิบัติสำหรับการใช้คาร์บอนเครดิตเพื่อวัตถุประสงค์ระหว่างประเทศ เพื่อรองรับการถ่ายโอนผลการลดก๊าซเรือนกระจกระหว่างรัฐภาคี ตามข้อ 6 ของความตกลงปารีส ภายใต้กรอบอนุสัญญา UNFCCC หรือตามกลไกระหว่างประเทศอื่นที่ประเทศไทยมีพันธกรณี รวมทั้งเพื่อสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย สรุปได้ ดังนี้
หัวข้อ |
สาระสำคัญของเรื่อง |
(1) คำนิยาม |
(1.1) การใช้คาร์บอนเครดิตเพื่อวัตถุประสงค์ระหว่างประเทศ หมายความว่า การใช้คาร์บอนเครดิตที่เกิดจากโครงการที่ตั้งอยู่และมีผลการลดก๊าซเรือนกระจกเกิดขึ้นในประเทศไทยเพื่อบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของรัฐภาคีอื่นตามความตกลงปารีส หรือเพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามความตกลงระหว่างประเทศอื่น อันจะส่งผลให้ประเทศไทยไม่สามารถใช้คาร์บอนเครดิตที่ถ่ายโอนไปนั้นในการบรรลุเป้าหมาย NDCs ได้ในทางกฎหมายระหว่างประเทศ (Corresponding adjustment) (1.2) การถ่ายโอนคาร์บอนเครดิตระหว่างประเทศ หมายความว่า การถ่ายโอนผลการลดก๊าซเรือนกระจกระหว่างรัฐภาคี ตามข้อ 6 ของความตกลงปารีส (1.3) โครงการ หมายความว่า โครงการหรือกิจกรรมที่จัดตั้งขึ้นเพื่อให้เป็นโครงการลดก๊าซเรือนกระจก (1.4) เจ้าของโครงการ หมายความว่า บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่เป็นเจ้าของโครงการหรือกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก หรือเป็นผู้ที่มีเอกสารแสดงสิทธิ (1.5) คาร์บอนเครดิต หมายความว่า ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดได้จากการดำเนินโครงการและได้รับการรับรองและบันทึกในระบบทะเบียน โดยมีหน่วยเป็นตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (1.6) มาตรฐาน หมายความว่า มาตรฐานการรับรองคาร์บอนเครดิตที่เป็นไป |
(2) บททั่วไป |
(2.1) การจัดทำข้อตกลงการดำเนินงานร่วมระหว่างรัฐภาคีความตกลงปารีส (2.2) ข้อตกลงการดำเนินงานร่วมระหว่างรัฐภาคี อย่างน้อยต้องระบุเรื่องดังต่อไปนี้ (2.2.1) วัตถุประสงค์ของการใช้คาร์บอนเครดิต (2.2.2) การปรับบัญชีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงการนับซ้ำ (2.2.3) ข้อกำหนดว่าด้วยการพิจารณาระงับการถ่ายโอนคาร์บอนเครดิต (2.3) คาร์บอนเครดิตที่จะถ่ายโอนจะต้องได้มาจากโครงการประเภทใดประเภทหนึ่ง ดังต่อไปนี้ (2.3.1) การดักจับ กักเก็บ หรือการใช้ประโยชน์จากก๊าซเรือนกระจก เช่น การดักจับ และกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (2.3.2) การพัฒนาพลังงานหมุนเวียนหรือพลังงานที่ใช้ทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น พลังงานไฮโดรเจนสีเขียว (2.3.3) การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอาคาร โรงงาน หรือครัวเรือน เช่น หม้อต้มไอน้ำแบบไฟฟ้าทดแทนเตาเผาที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล (2.3.4) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าหรือการผลิตความร้อน เช่น การกักเก็บพลังงาน (2.3.5) การลดก๊าซเรือนกระจกในภาคคมนาคมขนส่ง เช่น การพัฒนาระบบขนส่ง ด้วยระบบไฟฟ้า ยานยนต์ไฮโดรเจน การส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง (2.3.6) การปรับปรุงกระบวนการผลิต หรือการจัดการของเสียอุตสาหกรรม เช่น การผลิตคอนกรีตคาร์บอนต่ำ การกำจัดทำลายอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (2.3.7) การปรับปรุงกระบวนการผลิตหรือการจัดการของเสียการเกษตรและปศุสัตว์เช่น การจัดการดิน การลดการปล่อยก๊าซมีเทนจากการปลูกข้าว การผลิตไบโอเมทานอลขั้นสูงจากของเสียและเศษวัสดุทางการเกษตร (2.3.8) การจัดการน้ำเสีย ของเสีย หรือขยะ โดยอาศัยเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น เทคโนโลยีย่อยสลายเศษอาหาร การเพิ่มระบบบำบัดน้ำเสียรวมของชุมชน (2.3.9) การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากพื้นที่ป่า เช่น การฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรม การจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน การปลูกป่าเพื่อกักเก็บคาร์บอน (2.3.10) โครงการประเภทอื่นที่คณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติเห็นชอบ โดยจะต้องสอดคล้องกับนโยบาย แผน หรือมาตรการด้านการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ (2.4) โครงการตามข้อ (2.3) จะต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้ (2.4.1) เป็นโครงการซึ่งลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (2.4.2) เป็นโครงการที่กำหนดเงื่อนไขเรื่องการกำหนดระยะเวลาการรับรองคาร์บอนเครดิต (Crediting period) การปรับบัญชีเพื่อหลีกเลี่ยงการนับซ้ำ (Corresponding Adjustment) และเงื่อนไขอื่นใดที่ได้กำหนดไว้อยู่ภายใต้ขอบเขตการรายงานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย (National Greenhouse Gas Inventory) โดยสอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ (2.4.3) เป็นโครงการที่สามารถสร้างความต่อเนื่องให้กับการบรรลุยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำของประเทศไทย (Thailand's Long-Term Low Greenhouse Gas Emission Development Strategy : Thailand LT-LEDS) (ยุทธศาสตร์ระยะยาวฯ) (ตามข้อ 4.8) (2.4.4) เป็นโครงการที่สามารถส่งเสริมหรือสนับสนุนศักยภาพของบุคคลหรือองค์กรในประเทศไทย โดยการพัฒนาหรือถ่ายทอดเทคโนโลยี องค์ความรู้ หรือนวัตกรรมขั้นสูงหรือใช้เงินลงทุนสูง และไม่สามารถดำเนินการได้ หากไม่มีผลตอบแทนจากผลการลดก๊าซเรือนกระจก ที่เกิดขึ้นจากโครงการ (2.4.5) เป็นโครงการที่สามารถตรวจวัด รายงาน และทวนสอบ ผลการ |
(3) การใช้คาร์บอนเครดิตเพื่อวัตถุประสงค์ระหว่างประเทศ |
(3.1) การออกหนังสืออนุญาตการใช้คาร์บอนเครดิตเพื่อวัตถุประสงค์ระหว่างประเทศให้อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมรับแจ้งความประสงค์พร้อมวัตถุประสงค์ และรายละเอียดโครงการของเจ้าของโครงการ (3.2) ในการพิจารณาการใช้คาร์บอนเครดิตเพื่อวัตถุประสงค์ระหว่างประเทศ ให้อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมพิจารณาวัตถุประสงค์และรายละเอียดโครงการตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขดังต่อไปนี้ (3.2.1) วัตถุประสงค์และรายละเอียดโครงการสอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย รวมทั้งนโยบาย แผน และมาตรการ ด้านการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย (3.2.2) จำนวนคาร์บอนเครดิตที่จะใช้เพื่อวัตถุประสงค์ระหว่างประเทศ เมื่อรวมกับปริมาณการใช้คาร์บอนเครดิตในโครงการอื่นที่ได้ให้ความเห็นชอบไปแล้ว จะต้องมีปริมาณสะสมไม่เกินกว่าที่กำหนดไว้ในแผนปฏิบัติการฯ (แผนดังกล่าวได้กำหนดค่าเป้าหมายการลด ก๊าซเรือนกระจกจากการใช้กลไกบริหารจัดการคาร์บอนเครดิตภายใต้กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศสูงสุดไม่เกินร้อยละ 3 ของเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ) (3.2.3) ความคุ้มค่าทั้งในเชิงจำนวนคาร์บอนเครดิตที่ประเทศไทยจะได้รับ หรือประโยชน์อื่นที่ประเทศไทยจะได้รับจากโครงการ (3.2.4) คาร์บอนเครดิตที่ได้จากการดำเนินโครงการเป็นไปตามเงื่อนไข (3.3) หากโครงการมีประเภทและลักษณะตามที่กำหนดไว้ข้างต้น ให้ดำเนินการดังนี้ (3.3.1) ในกรณีที่โครงการเป็นโครงการถ่ายโอนคาร์บอนเครดิตโดยสมัครใจตามข้อ 6.2 ของความตกลงปารีส ให้กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมดำเนินการตามข้อตกลงระหว่างรัฐภาคี (3.3.2) ในกรณีที่โครงการเป็นโครงการภายใต้กลไกการลดก๊าซเรือนกระจกตามข้อ 6.4 ของความตกลงปารีส ให้กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมในฐานะหน่วยงานผู้มีอำนาจของรัฐ (National Designated Authority) และ อบก. ประสานข้อมูลในส่วนที่รับผิดชอบกับองค์กรย่อยภายใต้ความตกลงปารีส (Article 6.4 Supervisory Body) (3.3.3) ในกรณีที่โครงการเป็นโครงการภายใต้ความตกลงระหว่างประเทศอื่นให้ดำเนินการตามกระบวนการตามที่ความตกลงนั้นกำหนด (3.4) เมื่อมีการดำเนินการตามข้อ (3.3) แล้ว ให้อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมออกหนังสืออนุญาตการใช้คาร์บอนเครดิตเพื่อวัตถุประสงค์ระหว่างประเทศ |
(4) การรับรองคาร์บอนเครดิตและการถ่ายโอนคาร์บอน เครดิตเพื่อวัตถุประสงค์ ระหว่างประเทศ
|
(4.1) การรับรองคาร์บอนเครดิตเพื่อการถ่ายโอนระหว่างประเทศ ให้อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมรับรองคาร์บอนเครดิตได้ หากมีการดำเนินการ ดังนี้ (4.1.1) ขึ้นทะเบียนโครงการกับหน่วยงานเจ้าของมาตรฐาน ดังนี้ (ก) กรณีโครงการตามข้อ 6.2 ของความตกลงปารีส ได้ขึ้นทะเบียนโครงการ กับ อบก. พร้อมเปิดบัญชีในระบบทะเบียนคาร์บอนเครดิต (ข) กรณีโครงการตามข้อ 6.4 ของความตกลงปารีส ได้ขึ้นทะเบียนโครงการกับองค์กรย่อยภายใต้ความตกลงปารีส (Article 6.4 Supervisory Body) (ค) กรณีโครงการภายใต้ความตกลงระหว่างประเทศอื่น ได้ขึ้นทะเบียนโครงการกับหน่วยงานเจ้าของมาตรฐานตามความตกลงระหว่างประเทศนั้น (4.1.2) ได้มีการรับรองปริมาณคาร์บอนเครดิตที่เกิดจากโครงการกับหน่วยงานเจ้าของมาตรฐาน ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่หน่วยงานเจ้าของมาตรฐานกำหนด (4.2) การถ่ายโอนคาร์บอนเครดิตระหว่างประเทศ ให้อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมรับแจ้งคำขอถ่ายโอนคาร์บอนเครดิตระหว่างประเทศ จากเจ้าของโครงการ ที่ได้รับหนังสืออนุญาตการใช้คาร์บอนเครดิตเพื่อวัตถุประสงค์ระหว่างประเทศ (4.3) เมื่ออธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมพิจารณา สำหรับโครงการที่ขึ้นทะเบียนกับ อบก. ให้ อบก. ดำเนินการถ่ายโอนคาร์บอนเครดิตระหว่างประเทศ โดยการยกเลิกคาร์บอนเครดิตและการบันทึกข้อมูลการถ่ายโอนในระบบทะเบียนคาร์บอนเครดิต และออกหนังสือแจ้งผล สำหรับโครงการที่ขึ้นทะเบียนกับหน่วยงานอื่นที่ไม่ใช่ อบก. ให้เจ้าของโครงการยื่นคำขอยกเลิกคาร์บอนเครดิตในระบบทะเบียนคาร์บอนเครดิต (4.4) การใช้คาร์บอนเครดิตเพื่อวัตถุประสงค์ระหว่างประเทศ ซึ่งได้บันทึก |
3. ประโยชน์และผลกระทบ : ความตกลงปารีสอนุญาตให้ใช้กลไกความร่วมมือระหว่างรัฐภาคี เพื่อแลกเปลี่ยนผลการลดก๊าซเรือนกระจกหรือคาร์บอนเครดิตระหว่างประเทศได้ โดยกลไกดังกล่าวจะสนับสนุนการมีส่วนร่วมระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ เพื่อพัฒนาและลงทุนในโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ประเทศไม่สามารถดำเนินการได้เอง ส่งผลให้เกิดการพัฒนาศักยภาพในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระยะยาว และพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีให้กับภาคส่วนต่าง ๆ ภายในประเทศ รวมทั้งเป็นการสร้างความพร้อมในการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ระยะยาวฯ
20. เรื่อง ร่างถ้อยแถลงร่วมระดับรัฐมนตรีสำหรับการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปค ครั้งที่ 15 ประจำปี พ.ศ. 2568
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงร่วมระดับรัฐมนตรีสำหรับการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปค ครั้งที่ 15 ประจำปี พ.ศ. 2568 (ร่างถ้อยแถลงร่วมฯ) หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้ พน. นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก รวมทั้ง อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ให้การรับรองถ้อยแถลงร่วมฯ ตามที่ กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. การประชุมฯ มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 – 28 สิงหาคม 2568 ณ เมืองปูซาน เกาหลีใต้ โดยจัดขึ้นภายใต้แนวคิดหลัก “การมุ่งสู่พลังงานที่ยั่งยืน ซื้อหาได้ เชื่อถือได้ มั่นคง และมีนวัตกรรมเพื่ออนาคตที่รุ่งเรืองร่วมกัน” เพื่อเป็นเวทีในการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของสมาชิกเขตเศรษฐกิจเอเปคในการส่งเสริมความร่วมมือด้านพลังงานในมิติต่าง ๆ ที่สำคัญ อาทิ การส่งเสริมความร่วมมือในการสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน การผลักดันกิจกรรมความร่วมมือเพื่อสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายด้านพลังงานสะอาดและเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานเอเปค และการส่งเสริมการค้าการลงทุนในภาคพลังงานเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานควบคู่ไปกับการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค
2. ในการประชุมฯ จะมีการรับรองร่างถ้อยแถลงร่วมฯ เพื่อเป็นแนวทางการดำเนินความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมไปสู่การผลักดันการบรรลุเป้าหมายด้านพลังงานของเอเปค (APEC Energy Goals) ในการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนภายในภูมิภาคเป็นสองเท่าภายในปี 2573 และการลดการใช้พลังงานลงร้อยละ 45 ภายในปี 2578 โดยมีสาระสำคัญ เช่น
(1) ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจเข้มแข็ง
(2) เสริมสร้างความร่วมมือระหว่างเขตเศรษฐกิจสมาชิกเอเปคผ่านการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานและความสามารถในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของภูมิภาค
(3) สนับสนุนการพัฒนาระบบพลังงานที่ยั่งยืน
(4) การขยายศักยภาพสายส่งไฟฟ้าและการปรับปรุงระบบสายส่งไฟฟ้าให้มีความทันสมัย
(5) ส่งเสริมให้มีการพัฒนาเทคโนโลยี AI อย่างบูรณาการ
(6) ส่งเสริมแนวทางการฟื้นตัวจากสภาวะวิกฤตอย่างครอบคลุม
(7) เสริมสร้างเสถียรภาพของการจัดหาแหล่งพลังงานที่ยั่งยืน
21. เรื่อง ร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมระดับสูงด้านอุตสาหกรรมวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์เอเปค ประจำปี 2568 (Deliverables of APEC 2025 High – Level Dialogue on Cultural and Creative Industries)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมระดับสูงด้านอุตสาหกรรมวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์เอเปค ประจำปี 2568 (Deliverables of APEC 2025 High – Level Dialogue on Cultural and Creative Industries : HDL-CCI) ตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เสนอ
สาระสำคัญ
ร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ในภูมิภาคเอเปค เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและทั่วถึง เสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างประชาชน และยกระดับความร่วมมือในสาขาวัฒนธรรม ทั้งระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ ซึ่งมีประเด็นสำคัญ เช่น (1) เชื่อมโยง (Connect) มุ่งเน้นการเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทาน ที่ยืดหยุ่น ยั่งยืน ผ่านความเชื่อมโยงทางกายภาพ สถาบัน และประชาชน (2) สร้างสรรค์สิ่งใหม่ (Innovate) เน้นการใช้ประโยชน์จากดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ในการพัฒนาอย่างยั่งยืน และ (3) รุ่งเรือง (Prosper) เสริมสร้างความยืดหยุ่นของภูมิภาคเอเปคในการรับมือกับความท้าทายของโลก
ทั้งนี้ จะมีการรับรองร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ ในห้วงการประชุม HDL-CCI ประจำปี 2568 ในวันที่ 27 สิงหาคม 2568 ณ เมืองคยองจู สาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศ (กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ) ไม่มีข้อขัดข้องต่อสารัตถะและถ้อยคำของร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ และมีความเห็นสอดคล้องกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า ร่างเอกสารผลลัพธ์ดังกล่าวไม่เข้าลักษณะเป็นหนังสือสัญญาตาม มาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
22. เรื่อง ขอความเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเอเปค ประจำปี 2568
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการต่อร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเอเปค ประจำปี 2568 (ร่างแถลงการณ์ฯ) โดยหากมีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มเติม ปรับปรุง และแก้ไขเอกสารดังกล่าวในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้ สสว. ดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก รวมทั้ง ให้รัฐมนตรีวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ฯ ตามที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. เกาหลีใต้ในฐานะเจ้าภาพการจัดการประชุมเอเปคประจำปี 2568 มีกำหนดจัดการประชุมรัฐมนตรีวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเอเปค ในวันที่ 5 กันยายน 2568 ณ จังหวัดเจจู เกาหลีใต้ ทั้งนี้ จะมีการรับรองร่างแถลงการณ์ฯ โดยไม่มีการลงนาม และไม่มีข้อกำหนดให้มีการดำเนินการโดยใช้งบประมาณ
2. ร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเอเปค ประจำปี 2568 (ร่างแถลงการณ์ฯ) มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการขับเคลื่อนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมให้มีการเติบโตอย่างยั่งยืนและครอบคลุม โดยเน้นการสนับสนุนผ่านนวัตกรรมเทคโนโลยีดิจิทัล และปัญญาประดิษฐ์ รวมถึงส่งเสริมความเชื่อมโยงกันในภูมิภาค การแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดี และความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันและสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในบริบทเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งกระทรวงการคลัง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พิจารณาแล้วไม่มีข้อขัดข้อง โดย สศช. เห็นว่า ควรผลักดันให้มีการส่งเสริมให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลภายใต้ร่างแถลงการณ์ฯ ดังกล่าว ประกอบกับกระทรวงการต่างประเทศ และคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่า ร่างแถลงการณ์ฯ ไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
23. เรื่อง การเข้าเป็นภาคีความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกทางการค้าข้ามพรมแดนแบบไร้กระดาษในเอเชียและแปซิฟิก
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการเข้าเป็นภาคีความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกทางการค้าข้ามพรมแดนแบบไร้กระดาษในเอเชียและแปซิฟิก (Framework Agreement on Facilitation of Cross - border Paperless Trade in Asia and the Pacific: CPTA) รวมทั้ง มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) จัดทำภาคยานุวัติสาร (Instrument of Accession) เพื่อส่งมอบต่อเลขาธิการสหประชาชาติ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (ดศ.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. เรื่องนี้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้การเข้าเป็นภาคีความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกทางการค้าข้ามพรมแดนแบบไร้กระดาษในเอเชียและแปซิฟิก (Framework Agreement on Facilitation of Cross - border Paperless Trade in Asia and the Pacific: CPTA) (ความตกลง CPTA) และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) จัดทำภาคยานุวัติเพื่อส่งมอบต่อเลขาธิการสหประชาชาติต่อไป ซึ่งความตกลง CPTA มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการแลกเปลี่ยนและการยอมรับร่วมกันของข้อมูล และเอกสารทางการค้าในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างประเทศสมาชิกคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (United Nations Economic and Social Commission for Asia and the Pacific: UNESCAP) เพื่อให้ระบบการค้าของประเทศสมาชิกสามารถเชื่อมโยงและทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น ลดอุปสรรคทางเทคนิค และเพิ่มประสิทธิภาพและความโปร่งใสในการทำธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศซึ่งช่วยให้กระบวนการทางการค้า มีความชัดเจนและส่งเสริมการปฏิบัติตามมาตรฐานและกฎระเบียบสากล เช่น (1) ความเท่าเทียมกัน ในการปฏิบัติ โดยการยอมรับข้อมูลและเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ให้มีผลทางกฎหมายเช่นเดียวกับเอกสารกระดาษ (2) การอำนวยความสะดวกทางการค้าและการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่ดีขึ้นโดยการปรับปรุงกระบวนการทางการค้าให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องมีสาระสำคัญ 25 ข้อ ประกอบด้วยข้อ 1 - 16 เป็นบทบัญญัติที่เป็นสาระสำคัญ เช่น วัตถุประสงค์ ขอบเขต คำนิยาม หลักการทั่วไป และมาตรการเชิงปฏิบัติอื่น ๆ และข้อ 17 - 25 เป็นบทบัญญัติที่ระบุข้อกำหนดตามมาตรฐานของสนธิสัญญาสหประชาชาติ เช่น การระงับข้อพิพาท กระบวนการลงนามและการเข้าร่วมเป็นภาคี การมีผลบังคับใช้กระบวนการแก้ไขความตกลง และข้อสงวน (ตามความตกลง CPTA)
2. UNESCAP ได้เปิดให้รัฐต่าง ๆ หรือประเทศสมาชิกลงนามเพื่อเข้าร่วมเป็นภาคีความตกลง CPTA โดยสมัครใจ ณ สำนักงานใหญ่ของสหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2559 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2560 ซึ่งความตกลงนี้บังคับใช้อย่างเป็นทางการแล้ว เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2564 ปัจจุบันมีสมาชิกเข้าร่วมเป็นภาคีความตกลง CPTA แล้ว 14 ประเทศ (มีประเทศสมาชิกอาเซียน 1 ประเทศ ได้แก่ สาธารณรัฐฟิลิปปินส์) สำหรับรัฐที่ยังมิได้ลงนามในความตกลงฉบับนี้ภายในกำหนดเวลา (รวมถึงไทยด้วย) จะผูกพันตามความตกลงดังกล่าวได้ต่อเมื่อรัฐนั้นได้มีการยื่นภาคยานุวัติสารเข้าเป็นภาคีความตกลงดังกล่าว ต่อเลขาธิการสหประชาชาติ โดยจะมีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนด 90 วัน นับจากวันที่ได้มีการมอบสารดังกล่าว และโดยที่ไม่มีการบังคับให้ประเทศภาคีต้องเปลี่ยนแปลงกฎหมายหรือข้อบังคับก่อนเข้าร่วม และไม่มีข้อผูกพันที่จะต้องแลกเปลี่ยนข้อมูลกับประเทศอื่น หากไม่ต้องการ ดังนั้น ไทยยังไม่จำเป็นต้องมีการแก้ไขหรือออกกฎหมายภายในประเทศก่อนการเข้าร่วมเป็นภาคีดังกล่าว
24. เรื่อง การให้สัตยาบันพิธีสารฉบับต่าง ๆ ด้านการขนส่งทางอากาศของอาเซียน
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่ กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบพิธีสาร 3 ว่าด้วยการขยายสิทธิรับขนการจราจร เสรีภาพที่ 5 ระหว่างภาษีคู่สัญญา (Protocol 3 on the Expansion of Fifth Freedom Traffic Rights between Contracting Parties) และพิธีสารเพื่ออนุวัติข้อผูกพันชุดที่ 12 ของบริการขนส่งทางอากาศ ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน (Protocol to Implement the Twelfth Package of Commitments on Air Transport Services under the ASEAN Framework Agreement on Services) ซึ่งได้มีการลงนามแล้วตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2562 และวันที่ 9 พฤศจิกายน 2564
2. อนุมัติให้ คค. นำพิธีสารทั้ง 2 ฉบับที่ได้มีการลงนามแล้ว เสนอรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา 178 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ก่อนแสดงเจตนาให้มีผลผูกพันต่อไป
3. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ดำเนินการมอบสัตยาบันสารของความตกลงฯ ให้แก่เลขาธิการอาเซียนเพื่อรับทราบการให้สัตยาบัน เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบความตกลงฯ ดังกล่าวแล้ว
สาระสำคัญของเรื่อง
1. พิธีสาร 3 ว่าด้วยการขยายสิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ 5 ระหว่างภาษีคู่สัญญา และพิธีสารเพื่ออนุวัติข้อผูกพันชุดที่ 12 ของบริการขนส่งทางอากาศ ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน
ที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในขณะนั้น (นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ) ได้ลงนามแล้วตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2562 และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9พฤศจิกายน 2564 มีสาระสำคัญ ดังนี้
(1) พิธีสาร 3 ว่าด้วยการขยายสิทธิรับขนฯ มีสาระสำคัญ เป็นการขยายจุดเพิ่มเติมจากพิธีสาร 2 ว่าด้วยสิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ 5 ระหว่างภาคี คู่สัญญาทั้งหลายที่รัฐสภาได้ให้ความเห็นชอบแล้ว โดยให้สายการบินของประเทศสมาชิกอาเซียนและสายการบินของประเทศจีนสามารถใช้สิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ 5 ในจุดที่ฝ่ายอาเซียนระบุอีก 8 จุด รวมเป็น 18 จุด (ประเทศไทยได้ระบุจุดเพิ่มเติมไว้ที่จังหวัดระยอง) และจีนระบุอีก 8 จุด รวมเป็น 36 จุด (โดยรวมไว้ในพิธีสาร 3 ฯ) ได้อย่างไม่จำกัดจำนวน ความจุ ความถี่ และแบบอากาศยาน เพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาคของประเทศไทย
(2) พิธีสารเพื่ออนุวัติข้อผูกพันชุดที่ 12ฯ มีสาระสำคัญที่เกี่ยวข้อง กับการเปิดตลาดการให้บริการคลังสินค้า (Cargo Handling Service) ในท่าอากาศยาน 7 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศอู่ตะเภา ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง ท่าอากาศยานหาดใหญ่ ท่าอากาศยานอุดรธานี ท่าอากาศยานอุบลราชธานี ท่าอากาศยานสุราษฎร์ธานี และท่าอากาศยานแม่สอด ซึ่งมีเงื่อนไขว่าอนุญาตให้บุคคลสัญชาติอาเซียนถือหุ้นในบริษัทได้ไม่เกินร้อยละ 49 โดยอำนาจบริหารเป็นของบุคคลสัญชาติไทย ตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ประกอบกับต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของหรือผู้ดำเนินการท่าอากาศยานด้วย เพื่อเปิดโอกาสให้สายการบินและผู้ประกอบการขนส่งทางอากาศให้สามารถบริหารต้นทุนและช่วยสนับสนุนให้เกิดการขนส่งสินค้าทางอากาศมากขึ้น
2. โดยที่พิธีสารทั้ง 2 ฉบับนี้เป็นหนังสือสัญญาเกี่ยวกับการค้าเสรี ตามมาตรา 178 วรรคสองและวรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งต้องเสนอรัฐสภาให้ความเห็นชอบ โดยพิธีสาร 3 ว่าด้วยการขยายสิทธิรับขนฯ มีผลใช้บังคับเมื่อประเทศจีนและประเทศสมาชิกอาเซียนอย่างน้อย 2 ประเทศให้สัตยาบันและจะมีผลใช้บังคับเฉพาะประเทศที่ให้สัตยาบันเท่านั้น (ปัจจุบันมีผลบังคับใช้แล้ว) และพิธีสารเพื่ออนุวัติข้อผูกพัน ชุดที่ 12ฯ มีผลใช้บังคับใน 60 วันจากวันที่เลขาธิการอาเซียนได้รับสัตยาบันสารฉบับที่ 7 จากประเทศสมาชิกอาเซียนและจะมีผลใช้บังคับเฉพาะประเทศที่ให้สัตยาบันเท่านั้น (ปัจจุบันยังไม่มีผลบังคับใช้ โดยมีประเทศที่ได้ให้สัตยาบันพิธีสารฉบับนี้แล้ว ได้แก่ ประเทศลาว ประเทศมาเลเซีย ประเทศสิงคโปร์ และประเทศเวียดนาม) ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคมได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนและมาตรการเยียวยาที่จำเป็นตามนัยมาตรา 178 วรรคสี่ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยพิธีสาร 3 ว่าด้วยการขยายสิทธิรับขนฯ ไม่มีผู้แสดงความเห็น และพิธีสารเพื่ออนุวัติข้อผูกพันชุดที่12ฯ มีความเห็นสรุปได้ว่า การเปิดตลาดการให้บริการคลังสินค้าดังกล่าวมีความเหมาะสมแล้ว
3. กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงพาณิชย์สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นชอบ/ไม่ขัดข้องต่อการให้สัตยาบัน พิธีสารทั้ง 2 ฉบับ
แต่งตั้ง
25. เรื่อง การจ้างข้าราชการภายหลังครบเกษียณอายุราชการเป็นลูกจ้างชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษ (กระทรวงการต่างประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ อนุมัติการจ้าง นายศรัณย์ เจริญสุวรรณ เป็นลูกจ้างชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษภายหลังครบเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 กันยายน 2568 เป็นเวลา 15 วัน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ถึงวันที่ 15 ตุลาคม 2568 โดยให้ได้รับค่าจ้างเท่ากับเงินเพิ่มพิเศษสำหรับข้าราชการ ซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่ประจำอยู่ในต่างประเทศ (พ.ข.ต.) รวมถึงสิทธิประโยชน์และสวัสดิการอื่น ๆ ที่ได้รับตามตำแหน่งเอกอัครราชทูต (นักบริหารการทูต ระดับสูง) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ดำรงอยู่ก่อนเกษียณอายุราชการ ส่วนค่าย้ายถิ่นที่อยู่และค่าพาหนะเดินทางกลับประเทศไทยให้เป็นไปตามสิทธิที่พึงได้รับจากการพ้นหน้าที่ราชการในต่างประเทศตามปกติ
26. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้ง ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน 2 ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนี้
1. นายจุมพล ตันติวงษากิจ นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) สถาบันราชประชาสมาสัย กรมควบคุมโรค ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) สถาบันราชประชาสมาสัย กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2567
2. นายวัฒน์ชัย จรูญวรรธนะ นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) กลุ่มที่ปรึกษาระดับกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) กลุ่มที่ปรึกษาระดับกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม 2568
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป
27. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้ง ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน 2 ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนี้
1. นางวิมลรัตน์ วันเพ็ญ ผู้อำนวยการสถาบัน [นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรม สาขาเวชศาสตร์ป้องกัน แขนงสุขภาพจิตชุมชน)] สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิต ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาจิตเวช) โรงพยาบาลสวนสราญรมย์ กรมสุขภาพจิต ตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2567
2. นาวาอากาศตรี สุขุม ศิลปอาชา นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรมสาขาจักษุวิทยา) กลุ่มงานจักษุวิทยา ภารกิจด้านวิชาการและการแพทย์ โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาจักษุวิทยา) โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป
28. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้ง ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนี้
1. นางรักสุดา กิจอรุณชัย นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรม สาขาจิตเวช) โรงพยาบาลศรีธัญญา กรมสุขภาพจิต ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาจิตเวช) โรงพยาบาลศรีธัญญา กรมสุขภาพจิต ตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม 2568
2. นายสันติชัย ฉ่ำจิตรชื่น นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรม สาขาจิตเวช) โรงพยาบาลยุวประสาทไวทโยปถัมภ์ กรมสุขภาพจิต ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาจิตเวช) โรงพยาบาลยุวประสาทไวทโยปถัมภ์ กรมสุขภาพจิต ตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม 2568
3. นายอภิรักษ์ พิศุทธ์อาภรณ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด [ผู้อำนวยการเฉพาะด้าน (แพทย์) สูง] สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดจันทบุรี สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม) โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช สำนักงานสาธารณสุข จังหวัดสุพรรณบุรี สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2568
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป
29. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงมหาดไทย)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอแต่งตั้ง นายวรณัฎฐ์ หนูรอต ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านการปกครอง (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน 2568 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป
30. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม จำนวน 9 คน เนื่องจากกรรมการอื่นได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี ดังนี้
1. นายประพันธ์ เทียนวิหาร ผู้แทนเกษตรกร
2. นายเด่นณรงศ์ ธรรมมา ผู้แทนเกษตรกร
3. นายบุญช่วย มหิวรรณ ผู้แทนเกษตรกร
4. นายสมศักดิ์ ป้องปัญจมิตร ผู้แทนเกษตรกร
5. นายตระกูล สว่างอารมย์ ผู้แทนเกษตรกร
6. นายวุฒิศักดิ์ พรมแก้ว ผู้แทนเกษตรกร
7. นายปราณพงษ์ ติลภัทร ผู้ทรงคุณวุฒิ
8. พันจ่าเอก ประเสริฐ มาลัย ผู้ทรงคุณวุฒิ
9. นายธนู มีแสงเงิน ผู้ทรงคุณวุฒิ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป
31. เรื่อง ขออนุมัติต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ) กำกับการบริหารราชการ สั่ง และปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีในส่วนของสำนักงาน ก.พ. เสนอต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของ นายปิยวัฒน์ ศิวรักษ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง เลขาธิการ ก.พ. สำนักงาน ก.พ สำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะดำรงตำแหน่งดังกล่าวครบ 4 ปี ในวันที่ 30 กันยายน 2568 ต่อไปอีก 1 ปี (ครั้งที่ 1) ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2569
32. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ) กำกับการบริหารราชการ สั่ง และปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีในส่วนของสำนักงาน ก.พ. เสนอแต่งตั้ง นางสาวกมลลักษณ์
อ้นอารี ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง ที่ปรึกษาระบบราชการ (นักทรัพยากรบุคคลทรงคุณวุฒิ) สำนักงาน ก.พ. ให้ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการ ก.พ. สำนักงาน ก.พ. สำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป
33. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงสาธารณสุข)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้ง ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ และตำแหน่งที่จะว่าง ดังนี้
1. นายมณเฑียร คณาสวัสดิ์ รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมควบคุมโรค
2. นายพงศธร พอกเพิ่มดี รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป
34. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงมหาดไทย)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอ แต่งตั้ง นางสาววงศ์อะเคื้อ บุญศล เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย [ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์)]
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป
35. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงมหาดไทย)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอแต่งตั้ง นายสมชัย อัศวชัยโสภณ เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์)
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป
36. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการพัฒนาการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ และเพื่อสับเปลี่ยนหมุนเวียน ดังนี้
1. นายโชคชัย วิเชียรชัยยะ อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ
2. นางสาวสนธยา บุณยภูษิต ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง
เป็นต้นไป
37. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เสนอแต่งตั้ง นายเอกพงษ์ หริ่มเจริญ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป
38. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอแต่งตั้ง นายบรรณารักษ์ เสริมทอง ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป
39. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงศึกษาธิการ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เสนอแต่งตั้ง ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 6 ราย เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ และทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ดังนี้
1. นางภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
2. นายภูธร จันทะหงษ์ ปุณยจรัสธำรง ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
3. นายสุรพงษ์ เอิมอุทัย ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
4. นายนิยม ไผ่โสภา รองศึกษาธิการภาค สำนักงานศึกษาธิการภาค 3 สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
5. นายเสริมฤทธิ์ หวายฤทธิ์ธนกุล รองเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
6. นายภูมิพัทธ เรืองแหล่ ผู้ช่วยเลขาธิการสภาการศึกษา สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
โดยกรณีการแต่งตั้งข้าราชการลำดับที่ 2-3 และลำดับที่ 6 ผู้มีอำนาจสั่งบรรจุทั้งสองฝ่ายได้ตกลงยินยอมในการโอนแล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป
40. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงศึกษาธิการ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เสนอแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน 3 ราย ดังนี้
1. นายจิรทัศ ไกรเดชา ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นางสาวลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์)
2. นายวัชรพล โตมรศักดิ์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายเทวัญ ลิปตพัลลภ)
3. นายตติยภัทร์ ปิติเศรษฐพันธุ์ ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ [ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นางสาวลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์)]
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป
41. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เสนอแต่งตั้ง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ เจนจิรา รัตนเพียร เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้ง ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบด้วยแล้ว
42. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เสนอแต่งตั้ง นายศุภชัย นพขำ เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้ง ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบด้วยแล้ว
43. เรื่อง การแต่งตั้งและกำหนดอัตราเงินเดือนของผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการต่อสัญญาจ้างพันโท หนุน ศันสนาคม เป็นผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล อีกวาระหนึ่ง และเห็นชอบค่าตอบแทน สิทธิประโยชน์อื่น และร่างสัญญาจ้างผู้อำนวยการสำนักงานสลากฯ พันโท หนุน ศันสนาคม ตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ
ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ระบุในสัญญาจ้างผู้อำนวยการสำนักงานสลากฯ แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
44. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงแรงงาน)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงแรงงาน ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูงจำนวน 5 ราย เพื่อสับเปลี่ยนหมุนเวียน และทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ดังนี้
1. นางสาวบุปผา เรืองสุด รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม
2. นางมารศรี ใจรังษี เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
3. นายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
4. นายพิเชษฐ์ ทองพันธ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมการจัดหางาน
5. นายสิบหมื่นชัย โพธิสินธุ์ รองอธิบดีกรมการจัดหางาน ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป
45. เรื่อง การโอนข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัย ชุณหวชิร) เสนอโอน นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (นักบริหารระดับสูง) ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัด สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (นักบริหารระดับสูง) สังกัดสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ในตำแหน่งที่จะว่างลง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป
46. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมติตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เสนอแต่งตั้ง นายจำลอง ช่วยรอด ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป
47. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน 3 ราย ดังนี้
1. นายอาดิลัน อาลีอิสเฮาะ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
2. นายธนสาร ธรรมสอน ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ [ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายอัครา พรหมเผ่า)]
3. นายธัญญวัฒน์ พากเพียร ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายอัครา พรหมเผ่า)
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี