‘ไอเอฟดีโพล’เปิดผลสำรวจปชช. หวั่น‘รัฐบาลเฉพาะกิจ’ทำเพื่อ‘พรรค’มากกว่า‘ชาติ’

‘ไอเอฟดีโพล’เปิดผลสำรวจปชช. หวั่น‘รัฐบาลเฉพาะกิจ’ทำเพื่อ‘พรรค’มากกว่า‘ชาติ’

วันจันทร์ ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2568, 18.19 น.

"ไอเอฟดีโพล"เปิดผลสำรวจปชช. หวั่น"รัฐบาลเฉพาะกิจ"ทำเพื่อ"พรรค"มากกว่า"ชาติ" ไร้เสถียรภาพแก้ปากท้อง ขณะที่คดีชั้น 14 ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยนับเป็นโทษคุมขัง ลามกฎหมายสองมาตรฐาน กระบวนการยุติธรรมถูกแทรกแซง

เมื่อวันที่ 1 กันยายน 25268 ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ (ดร.แดน) ประธานสถาบันการสร้างชาติ ประธานสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา และนางจิตติมา บุญวิทยา ผู้อำนวยการไอเอฟดีโพลและเซอร์เวย์ ร่วมแถลงผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชนไทยตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป เรื่อง “ปชช.หวั่นรัฐบาลเฉพาะกิจ เพื่อพรรคมากกว่าชาติ เสถียรภาพเปราะบาง ปากท้องวิกฤต ธรรมาภิบาลถดถอย” 1,287 ตัวอย่าง สำรวจช่วง 29 - 31 ส.ค.2568 ใน 6 ภูมิภาค สุ่ม‍ตัวอย่างความน่าจะเป็น Stratified Five-Stage Random Sampling ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% และค่าความผิดพลาด 3%


โดยด้านเสถียรภาพและการบริหารของรัฐบาลเฉพาะกิจในช่วง 4 - 6 เดือน ประชาชนกังวลมากสุดเรื่องเสถียรภาพรัฐบาลเปราะบาง ต่อรองอำนาจจนงานไม่เดิน 22.22% ตามด้วยปากท้องวิกฤต แก้ไม่ทัน ประชาชนรอไม่ไหว 19.76% และสถานการณ์ไทย - กัมพูชาไม่สงบ คุมไม่ได้ 18.64% ขณะที่ข้าราชการเกียร์ว่าง งานสะดุด 16.43% ส่วนการขับเคลื่อนปรับแก้รัฐธรรมนูญเพื่อประชาชนไม่ได้จริง 15.62% และการจัดการความขัดแย้งของกลุ่มเห็นต่างไม่ได้ 7.33% ด้านธรรมาภิบาลและความโปร่งใสของรัฐบาลเฉพาะกิจ ประชาชนจับตาการแต่งตั้งโยกย้ายเอื้อพวกพ้อง 24.79% และการใช้งบชาติเอื้อพรรคตนเองมากกว่าเพื่อชาติ 23.87%

ขณะที่ความกังวลต่อการเตรียมเลือกตั้งไม่โปร่งใสหรือไม่ยุติธรรมอยู่ที่ 14.51% การเปิดเผยเหตุผลและข้อมูลไม่ชัด ตรวจสอบยาก 13.05% การเร่งจัดซื้อจัดจ้างหรือทำสัญญาเอื้อบางกลุ่ม 12.35% และการแทรกแซงคดีค้างหรือคดีในศาลให้พ้นผิด 11.43% ภาพรวมสะท้อนช่องว่างความเชื่อมั่นทั้งเชิงเสถียรภาพและความยุติธรรมของอำนาจรัฐ จึงท้าทายให้รัฐบาลเฉพาะกิจเร่งพิสูจน์ผลลัพธ์จริง เปิดข้อมูลเชิงหลักฐาน และคุมความเสี่ยงไม่ให้บานปลายภายใน 120 วันแรกอย่างชัดเจน

ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ วิเคราะห์เพิ่มเติมว่า ผลโพลสะท้อนประชาชนมองว่ารัฐบาลขาดเสถียรภาพ และมีจุดอ่อนด้านธรรมาภิบาล - ความโปร่งใส จนความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลและความหวังต่อการพัฒนาประเทศถดถอยอย่างชัดเจน ดังนั้น ไม่ว่าใครจะขึ้นเป็นนายกฯ คนที่ 32 หรือจะเกิดฉากทัศน์ใดในช่วงแห่งการเปลี่ยนผ่านสั้น ๆ นี้คือบทพิสูจน์ที่ทุกพรรคการเมืองควรร่วมมือกัน วางทิฐิลงมือกันกอบกู้วิกฤตศรัทธานี้ และจะกลายเป็นตัวแปรกำหนดทิศทางการเมืองของแต่ละพรรคในการเลือกตั้งครั้งหน้า

นอกจากนี้ ไอเอฟดีโพลชี้ผลสำรวจพบว่าคนไทยส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย 78.80% กับการที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้พักอยู่ที่ รพ.ตำรวจ ชั้น 14 แทนเรือนจำ เหตุผลสำคัญคือ ประชาชนจำนวนมาก 30.88% มองว่าต้องรับโทษตามคำพิพากษาเหมือนคนทั่วไป ขณะที่อีก 23.72% เชื่อว่าไม่ได้ป่วยวิกฤตจริง แต่ใช้ข้ออ้างเพื่อเลี่ยงโทษ นอกจากนี้ 19.84% ระบุว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ เอื้อประโยชน์ให้ผู้มีอำนาจ 13.80% กังวลว่าอาจกลายเป็นบรรทัดฐานให้เลี่ยงโทษในอนาคต และอีก 10.74% มองว่าการควบคุมไม่เข้มงวด เข้าเยี่ยมง่ายและสะดวกสบายเกินไป มีเพียง 10.56% ที่เห็นด้วย โดยให้เหตุผลว่าเป็นดุลยพินิจของแพทย์และกรมราชทัณฑ์ ไม่ใช่เจ้าตัวกำหนดเอง 32.06% อีกทั้งการรักษายังอยู่ภายใต้การควบคุมตามระเบียบราชทัณฑ์ 28.24% ขณะที่บางส่วน 20.62% มองว่าป่วยวิกฤตย่อมควรได้รับสิทธิการรักษา และอีก 18.32% ย้ำว่านี่คือสิทธิที่ผู้ต้องขังทุกคนสามารถร้องขอได้

ส่วนในประเด็นการนับโทษ 180 วันที่นายทักษิณอยู่ รพ.ตำรวจ ผลโพลชี้ว่า ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ควรนับเป็นโทษจำคุก 63.25% โดยเกือบ 38.72% สงสัยว่าไม่ได้ป่วยจริง แต่ใช้อ้างเพื่อเลี่ยงคุก อีก 32.89% มองว่าการอยู่โรงพยาบาลนานเกินไปจนสังคมไม่เชื่อว่าเป็นการคุมขัง และ 28.17% มองว่าทั้งหมดนี้คือสิทธิพิเศษที่ผู้มีอำนาจเท่านั้นได้รับ แต่มีเพียง 26.60% เห็นว่าควรนับเป็นโทษจำคุกแล้ว โดยให้เหตุผลว่าการอยู่โรงพยาบาลยังอยู่ภายใต้การควบคุมของราชทัณฑ์ 41.26% อีก 41.75% มองว่าเป็นอำนาจตามกฎหมายที่กรมราชทัณฑ์สามารถส่งผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำได้ และ 16.99% เชื่อว่าหากผู้ต้องขังป่วยวิกฤตควรได้รับสิทธิการรักษา และระยะเวลานั้นควรถูกนับเป็นการรับโทษเช่นกัน

ด้านความกังวลเกี่ยวกับการตัดสินคดีชั้น 14 คือเรื่อง “กฎหมายสองมาตรฐาน เอื้อคนมีอำนาจและนายทุน” 25.97% ตามมาด้วยความกังวลว่า “ผู้มีอำนาจอาจแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมเพื่อคุมเกมการเมือง” 20.12% อีก 12.82% หวั่นว่าคดีนี้จะเปิดช่องให้ถูกใช้เลี่ยงโทษในอนาคต ขณะที่ 12.77% มองว่าอาจมี “ดีลลับเพื่อประโยชน์คนบางกลุ่ม ไม่ใช่เพื่อชาติ” และ 12.54% กังวลว่าผลการตัดสินอาจไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจน จนสังคมยังคงคาใจ นอกจากนี้ 9.71% ที่กังวลโทษอาจตกอยู่กับข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ปฏิบัติ ขณะที่ตัวการใหญ่รอดพ้น ส่วนอีก 5.65% ยังกังวลว่าความเห็นต่างอาจนำไปสู่การชุมนุมหรือความขัดแย้ง

ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ วิเคราะห์ว่า กรณีคดีชั้น 14 กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญต่อศรัทธาในกระบวนการยุติธรรม ประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่ายัง “สองมาตรฐาน” และหากปล่อยไว้ อาจนำไปสู่ภาวะวิกฤตศรัทธาที่ฟื้นยากในอนาคต ภาพลักษณ์สิทธิพิเศษของนักการเมืองตระกูลใหญ่ตอกย้ำความรู้สึกว่ากฎหมายไม่เท่าเทียม เป็นเชื้อไฟทางการเมืองที่ฝังลึกในความทรงจำของสังคม พร้อมกันนี้ประชาชนยังสะท้อนแรงกดดันให้ปฏิรูปกฎหมายและระบบราชทัณฑ์ โดยกำหนดเงื่อนไขการพักรักษาและการตรวจสอบให้ชัดเจน เพื่อปิดช่องให้เกิดข้อกังขาอีก ความเชื่อมั่นต่อการเมืองและกระบวนการยุติธรรมยังมีความเสี่ยง หากสังคมยังเห็นภาพของ “ดีลลับ” ที่ไม่โปร่งใส ซึ่งอาจกลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง และยิ่งเปิดช่องให้ฝ่ายค้านหยิบมาโจมตีได้ง่าย ขณะเดียวกัน สื่อและโซเชียลเป็นตัวเร่งที่ทำให้กระแสความไม่พอใจแพร่กระจายรวดเร็วและควบคุมยาก

- 006

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top