สรุปมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประจำวันที่ 2 กันยายน 2568

สรุปมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประจำวันที่ 2 กันยายน 2568

วันอังคาร ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2568, 19.22 น.

วันที่ 2 กันยายน 2568  นายภูมิธรรม เวชยชัย  รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล  สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

กฎหมาย


1. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตทำการประมงพื้นบ้าน พ.ศ. ....

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตทำการประมงพื้นบ้าน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ รวมทั้งให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย

                สาระสำคัญ

                1. ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตทำการประมงพื้นบ้าน พ.ศ. .... ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ เป็นการยกเลิกกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตให้ทำการประมงพื้นบ้าน พ.ศ. 2559 เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชกำหนดการประมง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 และเพื่อประโยชน์การบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำให้สอดคล้องกับขีดความสามารถในการทำการประมงและปริมาณผลิตผลิตผลของสัตว์น้ำที่สามารถทำการประมงได้อย่างยั่งยืน และแก้ไขบทบัญญัติบางประการให้สอดคล้องกับแนวทางการปฏิบัติจริงและเป็นไปตามพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้

 

ประเด็น

สาระสำคัญ

หมายเหตุ

• กระบวนการออกใบรับรองคำขอใบอนุญาตทำการประมงพื้นบ้าน

• แก้ไขเพิ่มเติมขั้นตอนกระบวนการออกใบรับรองคำขอ ใบอนุญาตทำการประมง เช่น เมื่อได้รับคำขอใบอนุญาตแล้วให้พนักงานเจ้าหน้าที่ออกใบรับคำขอให้แก่ผู้ขอรับใบอนุญาตและเพิ่มเติมในกรณีการยื่นขอรับใบอนุญาตที่ไม่ได้ทำโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่และผู้ขอรับใบอนุญาต ลงนามไว้ในแบบบันทึกการตรวจคำขอและเอกสารประกอบ คำขอนั้นด้วย (ร่างข้อ 4)

• แก้ไขเพิ่มเติมเพื่อปรับขั้นตอนให้เป็นไปตามกระบวนการรับคำขอตามพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 และสอดคล้องกับพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2565

• หลักเกณฑ์การอนุญาตทำการประมงพื้นบ้าน

• ผู้ขอรับใบอนุญาตต้องมีสิทธิทำการประมงตามกฎหมายว่าด้วยสิทธิการประมงในเขตการประมงไทย มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในเรือประมงที่จะทำการประมงพื้นบ้าน และไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 39 เช่น เป็นผู้อยู่ระหว่างการถูกพักใช้ใบอนุญาตทำการประมง เป็นผู้ที่เคยถูกเพิกถอนใบอนุญาตทำการประมงมาแล้ว
2 ครั้งภายใน 5 ปี รัฐต่างประเทศ หรือองค์กรระหว่างประเทศแจ้งหนังสือว่าเป็นผู้อยู่ระหว่างถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาตทำการประมง หรือถูกเพิกถอนใบอนุญาตทำการประมงโดยผู้มีอำนาจของรัฐหรือองค์การระหว่างประเทศนั้น เป็นต้น (ร่างข้อ 5)

• ผู้ขอรับใบอนุญาตต้องใช้เครื่องมือทำการประมงที่มีขนาดหรือลักษณะตามที่อธิบดีประกาศกำหนด เช่น ต้องระบุจำนวนและประเภทเครื่องมือทำการประมงที่ได้รับอนุญาต ระบุพื้นที่ทำการประมง เป็นต้น และต้องไม่เป็นเครื่องมือทำการประมง ที่ห้ามทำการประมง หรือเป็นเครื่องมือทำการประมงที่ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ประกาศกำหนด

(ร่างข้อ 5 (4) และ (5))

• เรือประมงประกอบเครื่องมือทำการประมงที่จะขออนุญาตนั้น ต้องไม่อยู่ในบัญชีรายชื่อเรือประมงที่ทำการประมงโดยไม่ชอบ ด้วยกฎหมายตามที่อธิบดีคณะกรรมการมาตรการทางปกครองหรือรัฐมนตรีประกาศแล้วแต่กรณี และต้องมีขนาดหรือลักษณะตามที่อธิบดีประกาศกำหนด และต้องจดทะเบียนเรือไทยตามกฎหมายว่าด้วยเรือไทย (ร่างข้อ 6)

แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การพิจารณา โดยแยกเป็นการพิจารณาคุณสมบัติของผู้รับใบอนุญาต และคุณสมบัติของเรือประมง เพื่อให้เกิดความชัดเจน และแก้ไขเพิ่มเติมให้สอดคล้องกับพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

• การออกใบอนุญาต การแก้ไขใบอนุญาต การโอนใบอนุญาต และกรณีใบอนุญาตสูญหาย ถูกทำลาย หรือชำรุดเสียหาย

การออกใบอนุญาต

  ให้อธิบดีหรือผู้ที่อธิบดีมอบหมายมีหนังสือแจ้งผลการพิจารณาภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับคำขอรับใบอนุญาตและเอกสารหรือหลักฐานถูกต้องและครบถ้วน หรือภายใน 30 วันนับแต่สิ้นสุดระยะเวลาที่ให้ผู้ประสงค์ทำการประมงพื้นบ้านมายื่นคำขอรับใบอนุญาต โดยในกรณีที่มีคำสั่งอนุญาตให้แจ้งผู้ขอรับใบอนุญาต ชำระค่าธรรมเนียมภายในเวลาที่กำหนด
(อาจขยายระยะเวลาการชำระค่าธรรมเนียมและค่าอากรได้ ถ้าผู้ขอรับใบอนุญาตมีคำขอพร้อมทั้งแจ้งเหตุผลความจำเป็นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อนครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าว แต่ขยายออกไปได้อีกไม่เกิน 90 วัน) และในกรณีที่มีคำสั่งไม่อนุญาตให้แสดงเหตุผลและสิทธิอุทธรณ์ไว้ในหนังสือแจ้งผลการพิจารณาด้วย ทั้งนี้
การออกใบอนุญาตให้ระบุประเภท ชนิด ขนาด ลักษณะ จำนวนของเครื่องมือทำการประมงที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ทำการประมง และพื้นที่ทำการประมง เป็นต้น (ร่างข้อ 7)

การแก้ไขใบอนุญาต

   1) สามารถแก้ไขรายการในใบอนุญาตเพื่อให้สอดคล้องกับข้อมูลที่ปรากฏในหลักฐานทางทะเบียนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (ร่างข้อ 10 (1) และข้อ 11 (1))

   2) กรณีเรือประมงที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ทำการประมงโดยนำเรือประมงลำอื่นมาทดแทน ให้กระทำได้เมื่อเรือประมงที่ได้รับใบอนุญาตให้ใช้ทำการประมงจมหรือไฟไหม้อันเป็นเหตุให้ถูกเพิกถอนทะเบียนเรือไทย หรือชำรุดทรุดโทรมจนไม่สามารถทำการประมงได้ตามปกติ ทั้งนี้ กรณีการทดแทนเรือประมงที่ถูกเพิกถอนทะเบียนเรือไทย ให้ยื่นคำขอแก้ไขรายการเรือประมงภายใน
90 วันนับแต่วันที่นายทะเบียนเรือเพิกถอนทะเบียนเรือไทยนั้น และเรือประมงที่จะนำมาทดแทนต้องมีลักษณะตามที่กำหนดไว้ในร่างกฎกระทรวงและเจ้าของเรือต้องดำเนินการกับเรือประมงลำเดิมที่ได้รับใบอนุญาต โดยการแยกชิ้นส่วนหรือทำลายเรือ เปลี่ยนประเภทเรือ โอนกรรมสิทธิ์เรือให้กับบุคคลซึ่งไม่ต้องด้วยลักษณะที่จะถือกรรมสิทธิ์เรือไทยตามกฎหมายว่าด้วยเรือไทย หรือดำเนินการเพื่อให้นายทะเบียนเรือเพิกถอนทะเบียนเรือไทยนั้นให้เสร็จสิ้นก่อนที่จะมีคำสั่งอนุญาตให้แก้ไขรายการในใบอนุญาต (ร่างข้อ 10 (2) และข้อ
11 (2))

   3) กรณีการแก้ไขรายการเครื่องมือทำการประมง ให้แก้ไขได้ในกรณีที่เป็นการเพิ่มหรือเปลี่ยนแปลงประเภท ชนิด ขนาดและจำนวนของเครื่องมือทำการประมงโดยการดำเนินการเช่นว่านี้ต้องคำนึ่งถึงปริมาณสัตว์น้ำสูงสุดที่สามารถทำการประมงได้อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์ที่อธิบดีประกาศกำหนด (ร่างข้อ 10 (3) และข้อ 11)

    4) กรณีแก้ไขรายการพื้นที่การทำการประมงให้แก้ไขได้ในกรณีที่ผู้รับใบอนุญาตไม่สามารถทำการประมงในพื้นที่ที่ระบุไว้ในใบอนุญาตได้ โดยเครื่องมือทำการประมงที่จะอนุญาตให้มีการเปลี่ยน พื้นที่การทำการประมงต้องไม่มีผลกระทบต่อปริมาณสัตว์น้ำสูงสุด ที่สามารถทำการประมงได้อย่างยั่งยืนในพื้นที่ที่ผู้ขออนุญาตประสงค์จะไปทำการประมง ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่อธิบดีประกาศกำหนด (ร่างข้อ 10 (4) และ
ข้อ 11 (4)

การโอนใบอนุญาต

   ให้กระทำได้เฉพาะกรณีที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ในเรือประมงให้แก่บุคคลอื่น หรือผู้รับใบอนุญาตเสียชีวิต โดยผู้ขอรับโอนใบอนุญาตต้องมีสิทธิทำการประมงตามกฎหมายว่าด้วยสิทธิการประมงในเขตการประมงไทย ผู้ขอรับโอนใบอนุญาตและเรือประมงที่จะขอรับโอนใบอนุญาตจะต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 44 และกรณีที่ผู้รับใบอนุญาตเสียชีวิต ผู้ขอรับโอนใบอนุญาตจะต้องแสดงคำสั่งศาลแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการมรดกหรือเอกสารแสดงว่าได้รับการยินยอมจากทายาทพร้อมแสดงใบ
มรณบัตร (ร่างข้อ 14 และข้อ 15)

กรณีใบอนุญาตสูญหาย ถูกทำลาย หรือชำรุดเสียหาย

   ให้ผู้รับใบอนุญาตยื่นคำขอรับใบแทนใบอนุญาตต่ออธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย โดยพนักงานเจ้าหน้าที่
จะตรวจสอบว่า ผู้ขอรับใบแทนใบอนุญาตเป็นผู้รับใบอนุญาตและใบอนุญาตสูญหาย
ถูกทำลาย หรือชำรุดเสียหายในสาระสำคัญจริงให้เสนอความเห็นประกอบการพิจารณาต่ออธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย เพื่อออกใบแทนใบอนุญาตให้แก่ผู้ยื่นคำขอ
(ร่างข้อ 17)

แก้ไขเพิ่มเติมเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางในการออกใบอนุญาตทำการประมง และเป็นไปตามกำหนดห้วงเวลาการยื่นตามการกำหนดห้วงเวลาการทำการประมงให้สอดคล้องกับปริมาณสูงสุดที่อนุญาตให้ทำการประมงได้ (TAC)
ที่คณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติเห็นชอบ แก้ไขเพิ่มเติมระยะเวลาการชำระค่าธรรมเนียมและค่าอากรใบอนุญาต เนื่องจากผู้ขอรับใบอนุญาตมีความสามารถในการชำระค่าธรรมเนียมหรือค่าอากรไม่เท่ากัน จึงควรขยายระยะเวลาการชำระค่าธรรมเนียมและค่าอากรดังกล่าว เพื่อให้ผู้ขอรับใบอนุญาตได้มีโอกาสทำการประมงต่อไปอีกทั้งการขยายระยะเวลาดังกล่าวรัฐมิได้เสียหายหรือสูญเสียในส่วนของค่าใช้จ่าย และทรัพยากรแต่อย่างใด และแก้ไขเพิ่มเติมให้สามารถแก้ไขรายการในใบอนุญาตให้เป็นไปตามข้อมูลทางทะเบียนเรือเพื่อให้ข้อมูลสอดคล้องกับหลักฐานทางทะเบียนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

• ปรับให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขการโอนใบอนุญาตตามมาตรา 44 แห่งพระราชกำหนดการประมง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

• แก้ไขเพิ่มเติมเพื่อให้สอดคล้องกับ ขั้นตอนการรับคำขอตามพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558

• การชำระค่าธรรมเนียมและค่าอากร

กำหนดให้การยื่นคำขออนุญาต การแจ้ง การส่งข้อมูลหรือเอกสารหรือหลักฐาน การติดต่อ หรือการออกเอกสารหลักฐานใด ๆ รวมทั้งการชำระค่าธรรมเนียมและค่าอากรตามร่างกฎกระทรวงให้ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ (ร่างข้อ 18)

• ยกเลิกบทบัญญัติเดิมเพื่อให้สอดคล้อง กับพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558

• บทเฉพาะกาล

• กำหนดให้ประกาศที่ออกตามกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตให้ทำการประมงพื้นบ้าน พ.ศ. 2559 ที่ใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับให้ยังคงใช้บังคับต่อเพียงเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับกฎกระทรวงนี้ จนกว่าจะมีประกาศ ที่ออกตามกฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ

• แบบคำขอใบรับคำขอ และใบอนุญาตที่อธิบดีประกาศกำหนดตามกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตให้ทำการประมง พื้นบ้าน พ.ศ. 2559 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับให้ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปจนกว่าจะได้มีแบบที่กำหนดตามกฎกระทรวงนี้

• ใบอนุญาตและใบแทนใบอนุญาตที่ออกให้ตามกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตให้ทำการประมงพื้นบ้าน
พ.ศ. 2559 ก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับให้ยังคงใช้ได้ต่อจนกว่าจะสิ้นอายุหรือถูกเพิกถอน

 

 

                2. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียและประชาชนที่เกี่ยวข้องแล้ว และได้จัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบ ที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายผ่านระบบกลางทางกฎหมาย และผ่านระบบการประชุมทางไกลโดยมีสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย สมาคมการประมงแห่งประเทศไทย สมาคมชาวประมงบางสะพาน สมาคมการประมงสมุทรปราการ ผู้แทนชาวประมงพื้นบ้าน และผู้แทนจากหน่วยงานภายในกรมประมง จำนวน 1 ครั้ง เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน2567 และได้จัดทำสรุปผลการรับฟังความคิดเห็น และรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย โดยได้เผยแพร่เอกสารดังกล่าวผ่านช่องทางระบบกลางทางกฎหมาย (www.law.go.th) เรียบร้อยแล้ว

                3. กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเห็นชอบในหลักการ โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเห็นว่า กรณีทำการประมงพื้นบ้านในเขตอุทยานแห่งชาติภายใต้โครงการอนุรักษ์และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน ตามมาตรา 65 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ต้องเป็นผู้ได้รับอนุญาต ตามระเบียบกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ว่าด้วยการเก็บหาหรือการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่สามารถเกิดใหม่ทดแทนได้ตามฤดูกาลในเขตพื้นที่โครงการอนุรักษ์และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน พ.ศ. 2567 สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเห็นว่า กรมประมงควรสร้างการรับรู้ให้แก่เกษตรกรและเตรียมความพร้อมของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องให้มีความรู้ความเข้าใจในขั้นตอนแนวปฏิบัติภายใต้ร่างกฎกระทรวงดังกล่าว เพื่อให้การขออนุญาตและการอนุญาตทำการประมงพื้นบ้านเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพเมื่อกฎกระทรวง มีผลใช้บังคับ

 

2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้สัตว์ป่าบางชนิดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้สัตว์ป่าบางชนิดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอและให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ รวมทั้งให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย

                        สาระสำคัญ

                        1. พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 ได้กำหนดนิยาม “สัตว์ป่าคุ้มครอง”หมายความว่า สัตว์ป่าที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศหรือจำนวนประชากรของสัตว์ป่าชนิดนั้นมีแนวโน้มลดลงอันอาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ ซึ่งพระราชบัญญัติฉบับนี้ได้กำหนดมาตรการควบคุมสัตว์ป่าดังกล่าว เช่น (1) ห้ามล่า (2) การมีไว้ในครอบครอง ต้องได้รับใบอนุญาตครอบครอง (3) ห้ามนำเข้าหรือส่งออก เว้นแต่ได้รับอนุญาตและจะกระทำได้เฉพาะ กิจการสวนสัตว์ (4) ห้ามค้า เว้นแต่ได้รับอนุญาต

                2. สำหรับร่างกฎกระทรวงกำหนดให้สัตว์ป่าบางชนิดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดให้สัตว์ป่าบางชนิดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง พ.ศ. 2567 โดยเพิ่มรายการสัตว์ป่าคุ้มครองที่เป็นสัตว์น้ำ จำพวกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ในบัญชี 2 บัญชีสัตว์ป่าคุ้มครองที่เป็นสัตว์น้ำ ท้ายกฎกระทรวงดังกล่าว จำนวน 3 ชนิด ได้แก่ (1) วาฬหลังค่อม (Megaptera novaeangliae) เป็นลำดับที่ 22 (2) วาฬเบลนวิลล์ (Mesoplodon densirostris) เป็นลำดับที่ 23 และ (3) โลมาริสโซ (Grampus griseus) เป็นลำดับที่ 24 เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายและเป็นการอนุรักษ์สัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนม รวมทั้งเพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญา CITES เนื่องจากมีโอกาสที่จะถูกจับหรือติดเครื่องมือประมงระหว่างทำการประมงได้โดยบังเอิญ และอาจส่งผลกระทบ ต่อการดำรงชีวิตตามธรรมชาติ หรือเกิดการบาดเจ็บ ซึ่งอาจนำไปสู่การใกล้สูญพันธุ์ได้ รวมทั้งอาจถูกล่าเพื่อนำไปจัดแสดงในสถานแสดงพันธุ์สัตว์นำได้ ทั้งนี้ คณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าเห็นชอบด้วยแล้ว

                3. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแล้วเห็นชอบในหลักการของร่างกฎกระทรวงดังกล่าว โดยกระทรวงการต่างประเทศมีความเห็นเพิ่มเติมว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณาแจ้งเรื่องการเพิ่มสถานะความคุ้มครองสัตว์ป่าตามกฎหมายของประเทศไทยให้แก่สัตว์ทั้ง ชนิดพันธุ์ข้างต้นให้ภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ได้รับทราบ เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในการป้องกันการลักลอบค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมาย ทั้งยังเป็นการแสดงบทบาท ที่แข็งขันของประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศด้วย

 

3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงจัดตั้งส่วนราชการในมหาวิทยาลัยราชภัฏเลย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. ....

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงจัดตั้งส่วนราชการในมหาวิทยาลัยราชภัฏเลย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมลงนามและประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป

                สาระสำคัญ

                1. กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้ส่งร่างกฎกระทรวงจัดตั้งส่วนราชการในมหาวิทยาลัยราชภัฏเลย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
พ.ศ. .... มาเพื่อ สคก. ตรวจพิจารณา ซึ่งคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ได้พิจารณากลั่นกรองและเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พิจารณาเห็นชอบแล้ว และให้ส่ง สคก. ตรวจพิจารณา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2549 เรื่อง ขั้นตอนการแบ่งส่วนราชการภายในสถาบันอุดมศึกษาที่กำหนดว่าเมื่อมีการจัดทำกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ ให้เสนอ กกอ.พิจารณากลั่นกรอง และเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมพิจารณา แล้วส่งให้ สคก. ตรวจพิจารณา

                2. สคก. ได้ตรวจพิจารณาร่างกฎกระทรวงจัดตั้งส่วนราชการในมหาวิทยาลัยราชภัฏเลยฯ เสร็จแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการจัดตั้งส่วนราชการในมหาวิทยาลัยราชภัฏเลย อว. เสียใหม่ โดยยกเลิกกฎกระทรวงจัดตั้งส่วนราชการในมหาวิทยาลัยราชภัฏเลยกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2548 และแก้ไขชื่อ “คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม” เป็น “คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม” เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจการจัดการเรียนการสอน ภารกิจและการดำเนินงานในปัจจุบัน อีกทั้งเป็นการยกระดับคุณภาพของการจัดการเรียนการสอนด้านวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม เพื่อให้สอดคล้องกับแผ่นการพัฒนามหาวิทยาลัยที่จัดอยู่ในกลุ่มพัฒนาชุมชนท้องถิ่นหรือชุมชนอื่น ทั้งนี้ อว. (สำนักงานปลัดกระทรวงและมหาวิทยาลัยราชภัฏเลย) ได้มีหนังสือยืนยันให้ความเห็นชอบกับการแก้ไขเพิ่มเติมร่างกฎกระทรวงดังกล่าวแล้ว

เศรษฐกิจ-สังคม

4. เรื่อง ข้อเสนอการปรับปรุงโครงการพัฒนานักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่

                คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เสนอ ดังนี้

                1. ให้ความเห็นชอบข้อเสนอการปรับปรุงโครงการพัฒนานักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ ประกอบด้วย (1) หลักการพัฒนานักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ (นปร.) (2) วัตถุประสงค์ในการพัฒนา นปร.                 (3)  สมรรถนะหลักของ นปร. (4) การคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการพัฒนา นปร. (5) สถานภาพผู้เข้าร่วมโครงการพัฒนา นปร. (6) แนวทางการพัฒนาผู้เข้าร่วมโครงการพัฒนา นปร. (7) การประเมินผลและการจัดสรร และ (8) การออกจากโครงการพัฒนา นปร. การออกจากราชการ และการชดใช้ทุน

                2. ให้ความเห็นชอบให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี จำนวน 5 มติ ดังนี้

มติคณะรัฐมนตรี

เรื่อง

การดำเนินการ

(1) 27 กรกฎาคม 2547

โครงการพัฒนา นปร.

 

 

ยกเลิกทั้งฉบับ

(2) 10 พฤษภาคม 2548

โครงการพัฒนา นปร.

(3) 8 เมษายน 2551

โครงการพัฒนา นปร.

(4) 27 ตุลาคม 2552

โครงการพัฒนา นปร. รุ่นที่ ๔4

(5) 1 ตุลาคม 2562

 

ข้อเสนอการปรับปรุงโครงการพัฒนา นปร.

                3. มอบหมายให้ ก.พ.ร. พิจารณารายละเอียดการปรับปรุงโครงการพัฒนา นปร. ได้ในกรณีที่ไม่กระทบต่อหลักการและวัตถุประสงค์ของโครงการ

                4. เห็นชอบในหลักการขอกรอบอัตรากำลังลูกจ้างชั่วคราว จำนวน 50 อัตรา ต่อรุ่น สำหรับการดำเนินโครงการพัฒนา นปร. โดยให้สำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการตามหนังสือกรมบัญชีกลางที่ กค 0420/ว 1058              ลงวันที่ 30 สิงหาคม 2565 เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติการจ้างลูกจ้างชั่วคราวจากเงินงบประมาณ และหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติการจ้างผู้มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์แล้ว   เป็นลูกจ้างชั่วคราว ในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

                สาระสำคัญของเรื่อง

                1. โครงการพัฒนานักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่เป็นโครงการที่มุ่งสรรหาและคัดเลือกบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ มีสมรรถนะสูงเข้าสู่ระบบราชการ โดยการพัฒนาอย่างเป็นระบบผ่านหลักสูตรการฝึกอบรมเพื่อให้นักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ (นปร.) สามารถเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงในหน่วยงานภาครัฐ และจัดสรรไปปฏิบัติราชการในหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ  ที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ต่อการพัฒนาประเทศภายหลังสำเร็จจากโครงการ ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในหลักการโครงการดังกล่าวครั้งแรกเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2547  และเห็นชอบให้สำนักงาน ก.พ.ร. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบการดำเนินโครงการ สำนักงาน ก.พ.ร. จึงได้เริ่มดำเนินการโดยคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการปีละ 1 รุ่น มาตั้งแต่ปี 2548 และดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบหลักการและแนวทางการดำเนินโครงการ อีก 4 ครั้ง คือ วันที่ 10 พฤษภาคน 2548 วันที่ 8 เมษายน 2551  วันที่ 27 ตุลาคม 2552 และวันที่ 1 ตุลาคม 2562  ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. นำผลการประเมินโครงการที่ได้ดำเนิน

ปรับแก้ไขการดำเนินการในระยะต่อไป ดังนั้น ในระหว่างการดำเนินโครงการ สำนักงาน ก.พ.ร. จึงได้มีการประเมินผลและปรับปรุงรายละเอียดการดำเนินโครงการให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น  เช่น  ภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2552 สำนักงาน ก.พ.ร. ได้ปรับคุณสมบัติของกลุ่มเป้าหมายจากเดิมจะต้องเป็นผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป เป็นระดับปริญญาโทขึ้นไป รวมทั้งภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติล่าสุดเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2562  สำนักงาน ก.พ.ร. ได้ปรับจำนวนผู้เข้าร่วมโครงการ จากรุ่นละ 60 คน เป็นรุ่นละ 50 คน โดยไม่ได้นำเสนอคณะรัฐมนตรี ทำให้การดำเนินโครงการในปัจจุบันมีรายละเอียดในบางประเด็นแตกต่างไปจากที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติเห็นชอบไว้

                2. อย่างไรก็ตาม ในการดำเนินการที่ผ่านมาสำนักงาน ก.พ.ร. ได้มีการประเมินผลการดำเนินโครงการในภาพรวมมาอย่างต่อเนื่อง โดยผลการประเมินสะท้อนให้เห็นปัญหาความท้าทายหลายประการ เช่น การพัฒนา นปร. มุ่งเน้นการบรรยายให้ความรู้เชิงวิชาการค่อนข้างมากกว่าการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วส่งผลให้สมรรถนะและทักษะของ นปร. ที่กำหนดไว้เดิมไม่เพียงพอต่อการพัฒนาให้ น.ป.ร. มีศักยภาพสูงขึ้น การออกจากโครงการภายหลังจากที่ได้รับคัดเลือกเป็น นปร. แล้ว ยังไม่มีการกำหนดแนวทางหรือระเบียบปฏิบัติไว้อย่างชัดเจน สำนักงาน ก.พ.ร. จึงเสนอข้อเสนอการปรับปรุงโครงการพัฒนา นปร. ตามที่เสนอมาในครั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินโครงการสามารถบรรลุตามวัตถุประสงค์ของโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำนวน 8 ประเด็น ได้แก่ (1) หลักการพัฒนา นปร. (2) วัตถุประสงค์ในการพัฒนา นปร. (3) สมรรถนะหลักของ นปร. (4) การคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการ (5) สถานภาพผู้เข้าร่วมโครงการ (6) แนวทางการพัฒนาผู้เข้าร่วมโครงการ  (7) การประเมินและการจัดสรร นปร. และ (8) การออกจากโครงการ การออกจากราชการ                     และการชดใช้ทุน

                3. ข้อเสนอการปรับปรุงโครงการพัฒนา นปร. ที่เสนอมาในครั้งนี้มีการปรับเปลี่ยนจากเดิมที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน คือ ในส่วนของหลักการและวัตถุประสงค์ของการพัฒนา นปร.  ได้ปรับจุดมุ่งเน้นให้ นปร. มีสมรรถนะและทักษะที่เหมาะสมในการปฏิบัติราชการในหน่วยงานที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ตามประเด็นมุ่งเน้นการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์และนโยบายสำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยเพิ่มสมรรถนะหลักของ นปร. อีก 3 สมรรถนะ  ได้แก่  การเข้าใจในบริบทความท้าทายทางยุทธศาสตร์ของการพัฒนาระบบราชการไทย ความรู้ความเข้าใจเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมในการบริหารงานภาครัฐ และความเป็นมืออาชีพในการปฏิบัติ

ราชการ  รวมทั้ง ปรับรายละเอียดในส่วนของการคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการ สถานภาพผู้เข้าร่วมโครงการ  แนวทางการพัฒนาผู้เข้าร่วมโครงการ และการประเมินและการจัดสรร นปร. ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น รวมทั้งเพิ่มเติมรายละเอียดเกี่ยวกับการออกจากโครงการ การออกจากราชการและการชดใช้ทุน ให้มีความชัดเจน ทั้งนี้ โดยมีรายละเอียดข้อเสนอโครงการที่ปรับเปลี่ยนไปจากที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบันสรุปได้ ดังนี้

การดำเนินโครงการในปัจจุบัน

การดำเนินโครงการตามที่เสนอในครั้งนี้

3.1 การคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการ

       3.1.1 กลุ่มเป้าหมายและคุณสมบัติ

Ÿเป็นผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทขึ้นไป

อายุไม่เกิน 30 ปีบริบูรณ์ และปริญญาเอก อายุ

ไม่เกิน 35 ปีบริบูรณ์ ในวันปิดรับสมัคร

Ÿแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่

- กลุ่มที่ 1 : กลุ่มนักศึกษา

- กลุ่มที่ 2 : กลุ่มข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ

ประเภทต่าง ๆ

- กลุ่มที่ 3 : กลุ่มบุคคลภายนอกที่ทำงานภาคเอกชน

หน่วยงานหรือองค์การระหว่างประเทศ

Ÿ เป็นผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทขึ้นไป

อายุไม่เกิน 35 ปีบริบูรณ์ ในวันปิดรับสมัคร

Ÿ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

- บุคคลทั่วไป

- ข้าราชการที่ส่วนราชการส่งมาร่วมคัดเลือก ทั้งนี้

อาจให้ส่วนราชการต้นสังกัดสมทบงบประมาณ

ในการพัฒนาข้าราชการที่ส่งเข้าร่วมโครงการและผ่าน

การคัดเลือก

        3.1.2 กระบวนการคัดเลือก

ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน

Ÿ ขั้นตอนที่ 1 การทดสอบความรู้พื้นฐาน

Ÿ ขั้นตอนที่ 2 การทดสอบข้อเขียนเพื่อทดสอบ

ความรู้ ความสนใจ และวิสัยทัศน์ในด้านต่าง ๆ

Ÿ ขั้นตอนที่ 3 การประเมินความเหมาะสม

ทางบุคลิกภาพ พฤติกรรม และเชาวน์อารมณ์ ได้แก่

(1) การทดสอบวัดความถนัด (Aptitude Test)

การทดสอบด้านจิตวิทยา (Psychological Test)

และการประเมินพฤติกรรมด้วยวิธีการ Assessment

Center และ (2) การประเมินบุคลิกภาพด้วยการสอบ

สัมภาษณ์

แบ่งเป็น ๒ กรณี

Ÿ กรณีบุคคลทั่วไป มีวิธีการคัดเลือกอย่างน้อยประกอบด้วย การทดสอบความรู้พื้นฐาน การทดสอบข้อเขียนและการประเมินความเหมาะสมทางบุคลิกภาพ พฤติกรรม เชาว์อารมณ์ และทัศนคติของการเป็นข้าราชการ

Ÿ กรณีเป็นข้าราชการ ให้ส่วนราชการคัดเลือกข้าราชการเข้าร่วมโครงการตามเกณฑ์ที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) กำหนดและเข้ารับการทดสอบความสามารถพร้อมกับบุคคลทั่วไปอย่างน้อย ประกอบด้วย การสอบข้อเขียน การประเมินความเหมาะสมทางบุคลิกภาพ พฤติกรรม และเชาว์อารมณ์

ทั้งนี้ ให้ ก.พ.ร. พิจารณารายละเอียดหลักเกณฑ์ขั้นตอน วิธีการคัดเลือก และสถาบันผู้จัดสอบใน
แต่ละรุ่น

        3.1.3 เป้าหมายการคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการ

คัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการที่มีศักยภาพสอดคล้องตามความต้องการหรือความจำเป็นของหน่วยงานที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ

แผนแม่บทและแผนการปฏิรูปประเทศเป็นลำดับแรก

คัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการที่มีศักยภาพสอดคล้อง

ตามประเด็นมุ่งเน้นสำคัญของการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามเป้าหมายยุทธศาสตร์หรือนโยบายสำคัญของรัฐบาล

3.2 สถานภาพผู้เข้าร่วมโครงการ

กลุ่มนักศึกษาและกลุ่มบุคคลภายนอก : จะได้รับ

การบรรจุเป็นข้าราชการในตำแหน่งนักพัฒนาระบบ

ราชการ สังกัดสำนักงาน ก.พ.ร. ตั้งแต่วันที่เข้าร่วม

โครงการ

กลุ่มข้าราชการ : ให้รับโอนมาแต่งตั้งหรือรับโอนมาบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนักพัฒนาระบบราชการในระดับที่ไม่สูงกว่าเดิม

กรณีบุคคลทั่วไป : ให้เป็นนักพัฒนาระบบราชการ

สถานะลูกจ้างชั่วคราว 6 เดือน หากผ่านการประเมิน

จึงจะได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการสังกัดสำนักงาน

ก.พ.ร.

กรณีข้าราชการ : ให้คงสถานะการเป็นข้าราชการ

ของส่วนราชการต้นสังกัด โดยระหว่างการเข้าร่วมโครงการให้เป็นข้าราชการช่วยราชการสำนักงาน ก.พ.ร. โดยสำนักงาน ก.พ.ร. จะไม่รับโอนผู้เข้าร่วมโครงการที่มีสถานะเป็นข้าราชการ

3.3 แนวทางการพัฒนาผู้เข้าร่วมโครงการ

กำหนดกรอบหลักสูตรระยะเวลา 22 เดือน ในลักษณะ

Customized Program ที่ออกแบบให้ นปร. มีความรู้

ความสามารถที่หลากหลาย เหมาะสมกับหน่วยงาน

ที่มีความจำเป็นเร่งด่วนตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ

และแผนการปฏิรูปประเทศ โดยส่วนราชการจะต้อง

เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนา นปร. ตั้งแต่อยู่ในโครงการโดยหลักสูตรจะแบ่งเป็น 2 ด้าน ดังนี้

ด้านวิชาการ ระยะเวลา 9 เดือน

ด้านการฝึกปฏิบัติราชการระยะเวลา 13 เดือน ได้แก่

- การปฏิบัติราชการในหน่วยงานส่วนภูมิภาค

เป็นระยะเวลา 3 เดือน

- การฝึกปฏิบัติราชการในหน่วยงานภาครัฐ รอบที่ 1

เป็นระยะเวลา 3 เดือน

- การปฏิบัติราชการในหน่วยงานภาครัฐในต่างประเทศ

เป็นระยะเวลา 2 เดือน

- การปฏิบัติราชการในหน่วยงานภาคเอกชน

เป็นระยะเวลา 2 เดือน

- การฝึกปฏิบัติราชการในหน่วยงานภาครัฐ รอบที่ 2

เป็นระยะเวลา 3 เดือน

กำหนดกรอบหลักสูตรระยะเวลาไม่เกิน 22 เดือนในลักษณะ Customized Program ที่ออกแบบการเรียนรู้และการพัฒนาให้สอดคล้องกับภารกิจของหน่วยงานเป้าหมายที่รับผิดชอบประเด็นขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศในแต่ละปี โดยมีหน่วยงานของภาครัฐที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนา นปร. ตั้งแต่อยู่ในโครงการในฐานะหน่วยงานร่วมพัฒนา โดยหลักสูตรจะแบ่งเป็น 2 ด้าน ดังนี้

ด้านวิชาการและการฝึกปฏิบัติราชการในลักษณะ

Project-Based กรอบระยะเวลาการเรียนรู้ไม่เกิน

16 เดือน

ด้านการฝึกปฏิบัติราชการในหน่วยงานภาครัฐ

ในลักษณะ Career-Based กรอบระยะเวลาการเรียนรู้ประมาณ 3-6 เดือน

ทั้งนี้ ก.พ.ร. จะพิจารณารายละเอียดหลักสูตร

และการฝึกปฏิบัติราชการ

3.4 การประเมินผลและการจัดสรร นปร.

       3.4.1 การประเมินผล นปร.

ให้มีการประเมินระหว่างเข้าร่วมโครงการ และการประเมินเพื่อเป็นผู้ผ่านโครงการเมื่อสิ้นสุดโครงการ โดยมี  5 องค์ประกอบ ดังนี้ (1) การประเมินความรู้ทางวิชาการ (2) การประเมินการฝึกปฏิบัติราชการ (3) การประเมินสมรรถนะหลัก (ได้แก่ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และนวัตกรรม/การสร้างความร่วมมือในการทำงานเป็นทีม/การเท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลง/การคิดวิเคราะห์และเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหา/การสื่อสารและการใช้ภาษา (4) การประเมินสมรรถนะเฉพาะตามสายอาชีพ และ (5) การประเมินพฤติกรรม (ประเมินทุก ๆ 6 เดือน)

ให้มีการประเมินระหว่างเข้าร่วมโครงการ และประเมิน

เพื่อเป็นผู้ผ่านโครงการเมื่อสิ้นสุดโครงการ ซึ่งมีองค์ประกอบอย่างน้อย 3 ด้านหลัก ประกอบด้วย (1) ผลสัมฤทธิ์  (2) สมรรถนะ และ (3) พฤติกรรม โดยการประเมินระหว่างเข้าร่วมโครงการจะประเมินทุก ๆ                 6 เดือนตามรอบการประเมินผลการปฏิบัติราชการของข้าราชการเช่นเดียวกับที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน

        3.4.2 การจัดสรร นปร.

สำนักงาน ก.พ.ร. จะจัดสรร นปร. ไปปฏิบัติงานในหน่วยงานที่มีความจำเป็นเร่งด่วนตามแผนยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ

แบ่งเป็น 2 ประเภท

บุคคลทั่วไป แบ่งเป็น 2 กรณี

- กรณีที่ 1 นปร. ที่ยังอยู่ระหว่างพัฒนา ซึ่งเป็นนักพัฒนาระบบราชการที่มีสถานะเป็นลูกจ้างชั่วคราวเมื่อปฏิบัติงานครบ 6 เดือนแรกแล้ว มีหน่วยงานร่วมพัฒนา นปร. ที่มีอัตราว่างและมีความประสงค์จะรับไปเป็นข้าราชการในสังกัด สามารถพิจารณาจัดสรรได้ทันที

- กรณีที่ 2 นปร. ที่จบตามระยะเวลาโครงการให้จัดสรร

นปร.ไปยังหน่วยงานของรัฐตามประเด็นมุ่งเน้นในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์และนโยบายสำคัญของรัฐบาลของโครงการแต่ละรุ่นเป็นลำดับแรก

ข้าราชการ เมื่อสำเร็จจากโครงการแล้ว ให้กลับไปปฏิบัติราชการในหน่วยงานต้นสังกัด

3.5 การออกจากโครงการ การออกจากราชการ และการชดใช้ทุน

        3.5.1 การออกจากโครงการและออกจากราชการ

ไม่ได้กำหนดแนวทางหรือระเบียบปฏิบัติในการ

ดำเนินการไว้อย่างชัดเจน แต่มีการนำระเบียบปฏิบัติ

และแนวทางการรับทุนของนักเรียนทุนรัฐบาลมาใช้

โดยอนุโลม

แบ่งเป็น 2 กรณี ดังนี้

กรณีที่ 1 ไม่ผ่านการประเมินผลการปฏิบัติราชการ

พฤติกรรมไม่เหมาะสม หรือไม่ปฏิบัติตามระเบียบ

ข้อบังคับ หรือคำสั่ง

กรณีที่ 2 ผู้เข้าร่วมโครงการขอลาออกจากโครงการ

ทั้งนี้ ผู้ที่ออกจากโครงการ ให้ออกจากการเป็น

ข้าราชการด้วย

        3.5.2 การชดใช้ทุน

ไม่ได้กำหนดแนวทางหรือระเบียบปฏิบัติในการ

ดำเนินการไว้อย่างชัดเจน แต่มีการนำระเบียบปฏิบัติ

และแนวทางการรับทุนของนักเรียนทุนรัฐบาลมาใช้

โดยอนุโลม

กลุ่มบุคคลทั่วไปที่มีสถานะเป็นข้าราชการแล้ว

แบ่งเป็น 2 กรณี

- กรณีที่ 1 ไม่ผ่านการประเมินผลการปฏิบัติราชการ

มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม หรือไม่ปฏิบัติตามระเบียบ

ข้อบังคับ หรือคำสั่ง ให้ชดใช้ทุนเป็นเงินตามที่จ่ายจริง

นับตั้งแต่วันที่ได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการ

- กรณีที่ 2 ผู้เข้าร่วมโครงการขอลาออกจากโครงการ

ด้วยเหตุดังต่อไปนี้

©ออกไปรับราชการที่ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ ให้ชดใช้ทุนเป็นเวลาเท่ากับระยะเวลาที่อยู่ในโครงการ โดยระยะเวลาชดใช้ทุนนับตั้งแต่วันที่บรรจุเป็นข้าราชการ หากออกจากราชการก่อนเวลา ให้ชดใช้ทุนเป็นเงินเท่ากับระยะเวลาที่เหลือ

©ออกจากราชการ ให้ชดใช้ทุนเป็นเงินตามที่โครงการจ่ายจริง โดยให้นับระยะเวลาชดใช้ทุนตั้งแต่วันที่ได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการ

© นปร. ที่มีสถานะเป็นนักพัฒนาระบบราชการ

(ลูกจ้างชั่วคราว) ที่ไม่ผ่านการประเมินช่วง 6 เดือนแรกไม่ต้องชดใช้ทุน

©นปร. ที่มีสถานะเป็นข้าราชการช่วยราชการที่สำนักงาน ก.พ.ร. ที่ไม่ผ่านการประเมินผลการปฏิบัติราชการ จะถูกส่งตัวกลับต้นสังกัด

ทั้งนี้ ก.พ.ร.ในคราวการประชุมครั้งที่ 1/2558 เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2568 มีมติเห็นชอบข้อเสนอดังกล่าวแล้ว และให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องทั้ง 5 มติ รวมทั้งมอบหมายให้ ก.พ.ร. พิจารณารายละเอียดการปรับปรุงโครงการได้ในกรณีที่ไม่กระทบต่อหลักการและวัตถุประสงค์ของโครงการ

                4. ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องได้เสนอความเห็นมาเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีด้วยแล้ว ส่วนใหญ่เห็นชอบ/เห็นชอบในหลักการ/ไม่ขัดข้อง

 

5. เรื่อง ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับใช้กับมาตรการยกเว้นอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้ามหานครเพื่อส่งเสริมการใช้บริการรถไฟฟ้าในช่วงสถานการณ์ฝุ่นละออง 2.5 (PM2.5) เพิ่มขึ้นสูง ตามนโยบายของรัฐบาล

                คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568              งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 116.78 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินมาตรการยกเว้นอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้ามหานครเพื่อส่งเสริมการใช้บริการรถไฟฟ้าในช่วงสถานการณ์ฝุ่นละออง 2.5 (PM2.5) เพิ่มขึ้นสูง ตามนโยบายของรัฐบาล ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ

               สาระสำคัญของเรื่อง

                1. มาตรการลดผลกระทบฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ระยะวิกฤติ ระหว่างวันที่ 25-31 มกราคม 2568 ได้มีการยกเว้นค่าบริการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนของโครงการรถไฟฟ้า โดยในส่วนค่าใช้จ่ายของ รฟม. ให้ใช้จ่ายจากเงินรายได้ของ รฟม. ซึ่งต่อมา รฟม. แจ้งว่าไม่สามารถนำเงินรายได้ของ รฟม. มาใช้จ่ายได้ จึงขอปรับแหล่งเงินจากเงินรายได้ของ รฟม. เป็นการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นแทน

                2. คค. ได้เสนอ สงป. เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568            งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 116.78 ล้านบาท สำหรับใช้กับมาตรการยกเว้นอัตราค่าโดยสารรถไฟเพื่อส่งเสริมการใช้บริการรถไฟฟ้าในช่วงสถานการณ์ฝุ่นละออง 2.5 (PM2.5) เพิ่มขึ้นขึ้นสูง

ตามนโยบายของรัฐบาล ประกอบด้วย

 

โครงการรถไฟฟ้า

วงเงิน (ล้านบาท)

โครงการรถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคล (สายสีน้ำเงิน)

94.23

โครงการรถไฟฟ้าสายนัคราพิพัฒน์ (สายสีเหลือง)

9.30

โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู

13.26

รวม

116.78

หมายเหตุ : รฟม. จะเป็นผู้รับภาระโครงการรถไฟฟ้าสายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง) วงเงิน 7.2 ล้านบาท เนื่องจากโครงการดังกล่าวมีรูปแบบการบริหารสัญญาแบบ PPP Gross Cost ซึ่งเอกชนผู้ร่วมลงทุนจะเป็นผู้บริหารจัดการการเดินรถไฟฟ้า โดยรับค่าตอบแทนเป็นค่าจ้างจาก รฟม. ตามอัตราที่กำหนดในสัญญาและไม่ได้รับประโยชน์จากการจัดเก็บรายได้ค่าโดยสารของโครงการ ส่งผลให้ รฟม. ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องชดเชยวงเงินจากการสูญเสียรายได้ดังกล่าวต่อเอกชนคู่สัญญาแต่อย่างใด

 

                3. สงป. ได้นำเรื่องกราบเรียนนายกรัฐมนตรีพิจารณาแล้ว นายกรัฐมนตรีเห็นชอบให้ คค. โดย รฟม. ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 116.78 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินมาตรการยกเว้นอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้ามหานคร เพื่อส่งเสริมการใช้บริการรถไฟฟ้าในช่วงสถานการณ์ฝุ่นละออง 2.5 (PM2.5) เพิ่มขึ้นสูง ตามนโยบายของรัฐบาล และเมื่อได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ขอให้ คค. โดย รฟม. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อขอทำความตกลงกับ สงป. ตามขั้นตอนต่อไป      

 

 

 

6. เรื่อง ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568  งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นเงินอุดหนุนโครงการอาหารเสริม (นม)

                คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 151.73 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ

อาหารเสริม (นม) โดยให้เบิกจ่ายในงบเงินอุดหนุน ประเภทเงินอุดหนุนทั่วไป ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอ

                สาระสำคัญของเรื่อง

                สำนักงบประมาณได้นำเรื่องกราบเรียนนายกรัฐมนตรีพิจารณาแล้วและนายกรัฐมนตรีเห็นชอบให้สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน จำนวน 151.73 ล้านบาท และมีความเห็นเพิ่มเติมให้สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนดำเนินการตรวจสอบข้อมูลจำนวนนักเรียนที่มีสิทธิได้รับเงินอุดหนุนรายการดังกล่าวให้ถูกต้องครบถ้วน และตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อไม่ให้เกิดความซับซ้อน คำนึงถึงความประหยัดความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ

 

7. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับรายการเงินอุดหนุนสำหรับสนับสนุนอาหารกลางวัน ระดับประถมศึกษา และเงินอุดหนุนสำหรับสนับสนุนอาหารเสริม (นม)

                คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น งบประมาณทั้งสิ้น 1,674.73 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับ

รายการเงินอุดหนุนสำหรับสนับสนุนอาหารกลางวัน ระดับประถมศึกษา และเงินอุดหนุนสำหรับสนับสนุนอาหารเสริม (นม) ให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น องค์การบริหารส่วนจังหวัด  เทศบาลนคร เทศบาลเมือง เทศบาลตำบล และกรุงเทพมหานคร ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ

                สาระสำคัญของเรื่อง

                สงป. แจ้งว่า นายกรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาลนคร เทศบาลเมือง เทศบาลตำบล) และกรุงเทพมหานคร ดำเนินรายการเงินอุดหนุนสำหรับสนับสนุนอาหารกลางวันและนมโรงเรียนให้แก่เด็กนักเรียนในสังกัดดังกล่าวภายในกรอบวงเงิน 1,674.73 ล้านบาท โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ทั้งนี้ ให้หน่วยรับงบประมาณตรวจสอบจำนวนนักเรียนในภาคเรียนที่ 1/2568 ก่อนทำความตกลงในรายละเอียดค่าใช้จ่าย กับ สงป. อีกครั้งหนึ่ง และให้พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จากโครงการ/รายการที่บรรลุวัตถุประสงค์แล้ว  และมีงบประมาณเหลือจ่าย หรือหมดความจำเป็นหรือรายการที่คาดว่าจะไม่สามารถดำเนินการได้ทันภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 โดยโอนงบประมาณโอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรรแล้วแต่กรณี รวมถึงนำเงินรายได้หรือเงินสะสมคงเหลือมาสมทบในโอกาสแรก

 

8. เรื่อง โครงการขยายเขตไฟฟ้าด้วยวิธีปักเสาพาดสายให้บ้านเรือนราษฎรรายใหม่ ระยะที่ 3 (คฟม.3)

              คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ กฟภ. ดำเนินการตามโครงการขยายเขตไฟฟ้าด้วยวิธีปักเสาพาดสายให้บ้านเรือนราษฎรรายใหม่ (โครงการขยายเขตไฟฟ้าฯ) ระยะที่ 3 วงเงินลงทุนรวม 6,500 ล้านบาท ประกอบด้วย เงินกู้ในประเทศ จำนวน 4,875 ล้านบาท (ร้อยละ 75) และเงินรายได้ของ กฟภ. จำนวน 1,625 ล้านบาท (ร้อยละ 25) โดยมีจำนวนกลุ่มเป้าหมาย 146,000 ครัวเรือน ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอโดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.)

                สาระสำคัญของเรื่อง

                1. เดิมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการขยายไฟฟ้าฯ ของ กฟภ. มาแล้ว 2 ครั้ง ซึ่ง กฟภ. ได้ดำเนินการขยายเขตระบบไฟฟ้าให้ครัวเรือนราษฎรรายใหม่ตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวแล้ว แต่จากการสำรวจพบว่ายังมีครัวเรือนที่เกิดขึ้นใหม่เพิ่มขึ้นทุกปีและยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ดังนั้น กฟภ. จึงจัดทำโครงการขยายเขตไฟฟ้าฯ ระยะที่ 3 (ข้อเสนอในครั้งนี้) เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานได้อย่างเท่าเทียมกันและต่อเนื่อง โดยโครงการดังกล่าวมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้

 

ประเด็น

สาระสำคัญ

1) วัตถุประสงค์

เพื่อขยายเขตระบบไฟฟ้าให้บ้านเรือนราษฎรรายใหม่ ได้มีไฟฟ้าใช้ครบทุกหลังคาเรือนตามนโยบายรัฐบาล

2) เป้าหมายและพื้นที่ดำเนินการ

ขยายเขตระบบไฟฟ้าให้บ้านเรือนราษฎรรายใหม่ ประมาณ 146,000 ครัวเรือนในเขตพื้นที่รับผิดชอบของ กฟภ. ทั่วประเทศ

3) ระยะเวลาดำเนินการ

ดำเนินการในช่วงปี 2568 – 2572

4) การคัดเลือกครัวเรือนเข้าร่วมโครงการ

  •  หลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกครัวเรือนเข้าร่วมโครงการ ได้แก่

(1) เป็นบ้านเรือนที่มีค่าใช้จ่าย เฉลี่ยในการขยายเขตระบบไฟฟ้าไม่เกิน 75,000 บาท ต่อครัวเรือน (กรณีที่ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการขยายเขตระบบไฟฟ้าเกิน 75,000 บาท ต่อครัวเรือน กฟภ. จะพิจารณาขยายเขตระบบไฟฟ้าตามความเหมาะสมต่อไป)

(2) เป็นบ้านเรือนราษฎรที่ตั้งอาศัยอยู่อย่างถาวร มีบ้านเลขที่ และมีผู้อยู่อาศัยจริง

(3) เป็นบ้านเรือนราษฎรที่มีบ้านเลขที่ มีทะเบียนบ้านถาวร หรือทะเบียนบ้านชั่วคราว

(4) เป็นบ้านเรือนที่ไม่ตั้งอยู่ในพื้นที่โครงการบ้านจัดสรร ตึกแถว อาคารพาณิชย์ซึ่งผู้ประกอบการเป็นผู้จัดหาระบบไฟฟ้าให้

(5) เป็นบ้านเรือนราษฎรที่ไม่ตั้งอยู่ในพื้นที่หวงห้ามของราชการ และไม่มีปัญหาในการดำเนินการก่อสร้าง เช่น ไม่อยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ไม่อยู่ในพื้นที่หวงห้ามใด ๆ ของทางราชการ ทั้งนี้ กรณีอยู่ในพื้นที่หวงห้ามดังกล่าว จะต้องมีหนังสือยินยอมจากส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐที่ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้น มาเพื่อประกอบการจัดงานเข้าโครงการขยายระบบไฟฟ้าฯ ระยะที่ 3 ของ กฟภ.

(6) มีเส้นทางคมนาคมสาธารณะ สะดวก สามารถเข้าไปให้บริการได้ทุกฤดูกาล

(7) เป็นบ้านเรือนราษฎรที่ได้รับการจัดตั้งหรือการสนับสนุนโดยหน่วยงานของรัฐ เช่น หมู่บ้านโครงการพระราชดำริ โครงการบ้านมั่นคง ไทยเข้มแข็ง หมู่บ้านอาสาพัฒนาและป้องกันตนเอง เพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาของหน่วยงานราชการอื่น ๆ ทั้งนี้ ก่อนดำเนินการก่อสร้าง ขอให้ส่วนเกี่ยวข้องตรวจสอบพื้นที่ที่จะดำเนินการ โดยจะต้องเป็นเส้นทางสาธารณะหรือทางภาระจำยอม ที่มีหลักฐานการจดทะเบียนภาระจำยอมตามกฎหมายของเจ้าของที่ดินมาแสดงให้ กฟภ. โดยรถยนต์ต้องสามารถวิ่งผ่านได้อย่างสะดวก สามารถดำเนินการก่อสร้างระบบจำหน่ายไฟฟ้าโดยวิธีปักเสาพาดสายสำหรับขยายเขตไฟฟ้าได้ และเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับหรือหลักเกณฑ์ของ กฟภ.
อย่างชัดเจน

  • การจัดลำดับครัวเรือนเข้าดำเนินการก่อสร้างโครงการจะพิจารณาโดยใช้หลักการเงินลงทุนในการดำเนินการต่ำสุดแต่ให้ผลตอบแทนสูงสุด และความพร้อมในการเข้าพื้นที่ก่อสร้าง

 

5) ปริมาณงาน

รายการ

จำนวน

(1) ก่อสร้างระบบจำหน่ายแรงสูง

2,400 วงจร - กิโลเมตร

(2) ก่อสร้างระบบจำหน่ายแรงต่ำ

18,300 วงจร - กิโลเมตร

(3) ติดตั้งหม้อแปลง

150,000 เควีเอ

(4) ติดตั้งมิเตอร์

146,000 ชุด

 

6) ผลตอบแทน

 

ผลตอบแทนทางการเงิน (อัตราคิดลดร้อยละ 4.86)

มูลค่าปัจจุบันสุทธิ [Net Present Value: (NPV)]

-5,915.96 ล้านบาท

อัตราผลตอบแทนทางการเงิน

(Financial Internal Rate of Return : FIRR)

 

N/A

อัตราส่วนผลประโยชน์ตอบแทนต่อเงินลงทุน

[Benefit/Cost Ratio (B/C Ratio)]

 

0.69 เท่า

ผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์ (อัตราคิดลดร้อยละ 10)

มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV)

3,905.37 ล้านบาท

อัตราผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์

[Economic Internal Rate of Return (EIRR)]

 

ร้อยละ 22.04

อัตราส่วนผลประโยชน์ต่อค่าใช้จ่าย (B/C Ratio)

1.34 เท่า

 

7) เงินลงทุน/แผนการใช้จ่ายเงิน

วงเงินลงทุนรวม 6,500 ล้านบาท ประกอบด้วย เงินกู้ในประเทศ จำนวน 4,875 ล้านบาทและเงินรายได้ของ กฟภ. จำนวน 1,625 ล้านบาท โดยมีแผนการใช้จ่ายเงินสรุปได้ ดังนี้

 หน่วย : ล้านบาท

รายการ

ปีที่ดำเนินการ

รวม

2568

2569

2570

2571

เงินกู้ภายในประเทศ

525.00

1,428.00

1,460.25

1,461.75

4,875.00

เงินรายได้ กฟภ.

175.00

476.00

486.75

487.25

1,625.00

รวมทั้งสิ้น

700.00

1,904.00

1,947.00

1,949.00

6,500.00

 

8) ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

(1) สนับสนุนนโยบายของรัฐบาลและแผนยุทธศาสตร์ของกระทรวงมหาดไทย โดยก่อสร้าง ขยายเขตบริการไฟฟ้าให้บ้านเรือนราษฎรรายใหม่ไม่น้อยกว่า 146,000 ครัวเรือน

(2) ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง เพิ่มผลผลิต เพิ่มรายได้จากการมีไฟฟ้าใช้ สนับสนุนธุรกิจอุตสาหกรรมในชนบท ซึ่งจะก่อให้เกิดความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เพิ่มการจ้างงานลดความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ กระจายความเจริญไปสู่ส่วนภูมิภาคและชนบท

(3) ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ลดอัตราการย้ายถิ่นฐานเข้าสู่ตัวเมือง

(4) ช่วยให้ประชาชนมีความรู้สึกว่าได้รับความเอาใจใส่จากรัฐบาล

 

        ทั้งนี้ คณะกรรมการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคในคราวประชุมครั้งที่ 4/2566 เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2566 มีมติเห็นชอบโครงการขยายไฟฟ้าฯ ระยะที่ 3 แล้ว

 

9. เรื่อง โครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการสกัดกั้นยาเสพติดและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เสนอ ดังนี้

                1. อนุมัติโครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการสกัดกั้นยาเสพติดและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ (โครงการฯ) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จำนวน 16 ล้านบาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบเงินอุดหนุนของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) เพื่อสนับสนุนงบประมาณให้แก่ประเทศเพื่อนบ้าน 3 ประเทศ [สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา (เมียนมา) สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (เวียดนาม)] และชะลอการสนับสนุนงบประมาณภายใต้โครงการฯ ให้แก่ราชอาณาจักรกัมพูชา (กัมพูชา) ไปก่อน

                2. อนุมัติให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (เลขาธิการ ป.ป.ส.) มีอำนาจอนุมัติโครงการ แผนงาน และกิจกรรมภายใต้กรอบงบประมาณ งบเงินอุดหนุนรายการโครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการสกัดกั้นยาเสพติดและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 และสามารถจ่ายเงินงบประมาณสนับสนุนหน่วยงานกลางด้านยาเสพติดของประเทศเพื่อนบ้านแต่ละประเทศ เพื่อให้มีการดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ตามที่ได้รับจัดสรร

                3. อนุมัติให้สำนักงาน ป.ป.ส. โอนเงินงบประมาณดังกล่าวที่จัดสรรสำหรับเมียนมา ให้แก่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ผ่านบัญชีธนาคารของสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง โดยให้อัครราชทูตที่ปรึกษาด้านควบคุมยาเสพติด ประจำสถานเอกอัครราชทูตฯ เป็นผู้แทนสำนักงาน ป.ป.ส. ในการเบิกจ่ายและแลกเปลี่ยนเงินงบประมาณเป็นสกุลเงินท้องถิ่น เพื่อส่งมอบให้แก่หน่วยงานกลางด้านยาเสพติดของเมียนมา
ในกรณีที่เกิดข้อขัดข้องในการโอนเงินงบประมาณดังกล่าว

              สาระสำคัญของเรื่อง

              1. ยธ. โดย สำนักงาน ป.ป.ส. ได้ดำเนินการตามแนวทางความร่วมมือระหว่างประเทศเชิงรุกในการแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อร่วมกันควบคุมและสกัดกั้นสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำและอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง จึงได้จัดทำโครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน จำนวน 4 ประเทศ ได้แก่ เมียนมา สปป.ลาว เวียดนาม และกัมพูชา (เดิมใช้ชื่อว่าโครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือ กับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตยาเสพติดและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ) ภายใต้เอกสารข้อตกลง (Letter of Agreement: LOA) ว่าด้วยความร่วมมือ ด้านการบังคับใช้กฎหมายและการควบคุมยาเสพติดระหว่างสำนักงาน ป.ป.ส. กับหน่วยงานกลาง ด้านยาเสพติดของประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อใช้เป็นกลยุทธ์ในการเสริมสร้างความเข้มแข็งในการสกัดกั้นยาเสพติดสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ ตั้งแต่ต้นทางภายนอกประเทศมิให้เข้าสู่แหล่งผลิตในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ

                2. ปัจจุบันสถานการณ์ยาเสพติดในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำยังคงอยู่ในระดับที่น่าห่วงกังวล โดยปริมาณการผลิตและค้ายาเมทแอมเฟตามีนจากพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และกลุ่มองค์กรอาชญากรรมยังคงมีศักยภาพการผลิตยาเสพติดเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถเข้าถึงและจัดหาสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ที่ใช้ในกระบวนการผลิตยาเสพติดที่มากขึ้น อีกทั้งพบการเคลื่อนไหวในการใช้ประเทศไทยเป็นพื้นที่ทางผ่านเพื่อลำเลียงสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์เข้าไปยังแหล่งผลิตยาเสพติดในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ และกระจายไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ในภูมิภาค

                3. สำนักงาน ป.ป.ส. พิจารณาแล้วเห็นว่า ประเทศไทยควรสนับสนุนงบประมาณให้แก่ประเทศเพื่อนบ้าน (เมียนมา สปป.ลาว เวียดนาม และกัมพูชา) ภายใต้โครงการนี้ต่อไป ทั้งนี้
ในปีงบประมาณ พ.ศ. 25658 ยธ. โดยสำนักงาน ป.ป.ส. ได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบเงินอุดหนุน รายการโครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือ
กับประเทศเพื่อนบ้านในการสกัดกั้นยาเสพติดและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ วงเงิน 16 ล้านบาท
โดย ยธ. จะมุ่งเน้นแผนงานความร่วมมือที่สอดคล้องกับแนวนโยบายของรัฐบาล
ซึ่งเน้นย้ำความสำคัญของการแก้ไขปัญหายาเสพติดให้เป็นวาระแห่งชาติและกำหนดเป็นนโยบายเร่งด่วน
ในการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาดและครบวงจร ตัดต้นตอการผลิตและจำหน่ายด้วยการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน สกัดกั้นการลักลอบนำเข้าและตัดเส้นทางการลำเลียงยาเสพติด รวมถึงการปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด "Seal Stop Safe" เพื่อผนึกกำลัง 51 อำเภอชายแดน ให้เข้มแข็งมากขึ้น และเร่งรัดการดำเนินงานด้านการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดตามแนวชายแดนให้เห็นผลเป็นรูปธรรม รวมถึงมุ่งเน้นยกระดับความร่วมมือ กับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อเร่งแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ

                ประโยชน์ที่จะได้รับ : การสนับสนุนงบประมาณภายใต้โครงการฯ ให้แก่ประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อใช้ดำเนินกิจกรรมภายใต้แผนงานของโครงการฯ ตามที่ได้ตกลงและเห็นชอบร่วมกัน และเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสนับสนุนและเสริมสร้างความเข้มแข็งในการสกัดกั้นเคมีภัณฑ์และสารตั้งต้นไม่ให้เข้าสู่แหล่งผลิต และสกัดกั้นยาเสพติดจากแหล่งผลิตไม่ให้ออกไปยังประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ รวมถึงการปราบปรามเครือข่ายการค้าและลักลอบลำเลียงยาเสพติด อันจะเป็นประโยชน์โดยตรงต่อการแก้ไขปัญหายาเสพติดของประเทศไทยประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ตลอดจนประเทศปลายทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ

10. เรื่องการเร่งรัดและเพิ่มประสิทธิภาพการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่อยู่อาศัยในเขตที่ดิน
ของรัฐให้เข้าถึงสาธารณูปโภคไฟฟ้า ประปา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2567 และเมื่อวันที่  8 ตุลาคม 2567

              คณะรัฐมนตรีรับทราบและเห็นชอบตามที่ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (สคทช.) เสนอ ผลการดำเนินการขับเคลื่อนการให้ความช่วยเหลือประชาชน เข้าถึงสิทธิเกี่ยวกับสาธารณูปโภคไฟฟ้า ประปา (ตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 9 มกราคม 2567 และเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2567) และพิจารณามอบหมายหน่วยงานดำเนินการ ดังนี้

หน่วยงาน

การดำเนินการ

กระทรวงมหาดไทย

(มท.)

มอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้ง "คณะทำงานขับเคลื่อนระดับจังหวัด"

โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน และมีองค์ประกอบจากคณะทำงานกลั่นกรองแต่งตั้งโดยคณะอนุกรรมการพิสูจน์สิทธิในที่ดินของรัฐจังหวัด (คพร. จังหวัด) นายอำเภอ ผู้รับผิดชอบพื้นที่ หัวหน้าส่วนราชการจังหวัด กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) เพื่อบูรณาการการทำงานและติดตามความก้าวหน้าอย่างใกล้ชิด รวมถึงให้ดำเนินการสำรวจรายชื่อประชาชนที่อาจตกหล่นให้ครบถ้วน

กระทรวง

ทรัพยากรธรรมชาติ

และสิ่งแวดล้อม (ทส.)

มอบหมายให้กรมป่าไม้และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จัดตั้ง "ทีมพิจารณาอนุญาตรวดเร็ว" เพื่อเร่งรัดการอนุญาตใช้พื้นที่ในการนำสาธารณูปโภคไฟฟ้าและประปา
เข้าสู่พื้นที่เป้าหมายพร้อมกำหนดข้อตกลงระดับการให้บริการ (Service Level Agreement)
ที่ชัดเจน

กระทรวงการคลัง (กค.)

กระทรวงพลังงาน (พน.)

 

(1) เตรียมกรอบงบประมาณล่วงหน้าสำหรับ กฟภ. และ กปภ.

(2) มอบหมายให้กรมธนารักษ์เร่งรัดการอนุญาตใช้ที่ราชพัสดุ พร้อมทั้งปรับปรุงระเบียบและขั้นตอนให้เหมาะสมกับการเร่งรัดงาน

(3) พิจารณาสนับสนุนงบประมาณให้จังหวัดกาญจนบุรีและจังหวัดแม่ฮ่องสอนเพื่อเร่งรัดการขยายเขตไฟฟ้าหรือการนำไฟฟ้าและประปาเข้าสู่พื้นที่ที่ผ่านการตรวจพิสูจน์เพื่อการอนุญาตให้ประชาชนเข้าถึงสาธารณูปโภคแล้ว

กระทรวงกลาโหม

(กห.)

(1) แบ่งแยกพื้นที่ที่จำเป็นต้องใช้ประโยชน์เพื่อความมั่นคงกับพื้นที่ที่สามารถผ่อนผันหรือส่งคืนกรมธนารักษ์

(2) ร่วมมือกับคณะทำงานระดับจังหวัดและกรมธนารักษ์ เพื่ออนุญาตให้ประชาชนเข้าถึงสาธารณูปโภคไฟฟ้าและประปาได้อย่างรวดเร็ว

(3) ร่วมกับจังหวัดกาญจนบุรีและกรมธนารักษ์พิจารณาเสนอแนวทางการให้ความช่วยเหลือ
ที่เหมาะสมกับประชาชน จังหวัดกาญจนบุรี ที่อยู่อาศัยในเขตพระราชกฤษฎีกา
กำหนดเขตหวงห้ามที่ดินในท้องที่อำเภอเมืองกาญจนบุรี อำเภอวังขนาย อำเภอบ้านทวน และ อำเภอวังกะ จังหวัดกาญจนบุรี พ.ศ. 2481 จำนวนประมาณ 1,086 ราย โดยเสนอต่อ คทช. พิจารณาต่อไป

สคทช.

(1) ชี้แจงสร้างความเข้าใจแก่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง อบรม และจัดทำคู่มือเกี่ยวกับการปฏิบัติงานในการตรวจพิสูจน์เพื่อการอนุญาตให้ประชาชนเข้าถึงสาธารณูปโภคไฟฟ้าและประปา

(2) ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางในการกำกับ ติดตาม แก้ไขปัญหา และรายงานความก้าวหน้าต่อคณะรัฐมนตรีทุก 3 เดือน

สำนักเลขาธิการ

คณะรัฐมนตรี (สลค.)

เร่งรัดนำเรื่อง โครงการขยายเขตไฟฟ้าด้วยวิธีปักเสาพาดสายให้บ้านเรือนราษฎรรายใหม่ ระยะที่ 3 (โครงการ คฟม. 3) (ตามที่ มท. เสนอ) เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป

                สาระสำคัญของเรื่อง

                1. เดิมคณะรัฐมนตรีมีมติ (9 มกราคม 2567 และ 8 ตุลาคม 2567) เร่งรัดให้ สคทช. ดำเนินการและเห็นชอบให้ผ่อนผันการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2546
 เพื่อให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในที่ดินของรัฐโดยไม่ได้รับอนุญาตรวมถึงผู้ที่อยู่ระหว่างการพิสูจน์สิทธิสามารถเข้าถึงสาธารณูปโภคทั้งไฟฟ้าและน้ำประปาได้เป็นการชั่วคราวตามหลักสิทธิมนุษยชน ซึ่งให้ดำเนินการนำร่องในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี และจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติ (19 สิงหาคม 2568)
ให้ สคทช. เร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และให้ สคทช. กห. กค. ทส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดการประชุมร่วมกันเพื่อติดตามความคืบหน้าและรวบรวมปัญหาต่าง ๆ
ที่เกิดขึ้นที่ทำให้เกิดความล่าช้า ตลอดจนจัดทำกรอบระยะเวลาในการดำเนินการให้เหมาะสมและชัดเจนเพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีในคราวประชุมครั้งต่อไป

                2. เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2568 ในการประชุมคณะทำงานขับเคลื่อนการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่อยู่อาศัยในเขตที่ดินของรัฐ ให้เข้าถึงสาธารณูปโภคไฟฟ้าประปา และพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของบุคคลในเขตที่ดินของรัฐ ครั้งที่ 1/2568 ที่ประชุมได้เห็นชอบให้ สคทช. นำเรื่องนี้เสนอคณะรัฐมนตรี ดังนี้

                        2.1 ความก้าวหน้าในการดำเนินการโครงการขับเคลื่อนการดำเนินงาน โดยจากการสำรวจข้อมูลประชาชนที่ไม่มีไฟฟ้าและประปาพบว่า (1) จังหวัดกาญจนบุรี มีประชาชนที่ยื่นขอตรวจพิสูจน์เพื่อการอนุญาตในการเข้าถึงสาธารณูปโภคไฟฟ้าและประปา จำนวน 3,906 ครัวเรือน โดยเป็นผู้ที่อยู่ในเขตพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดินในท้องที่อำเภอเมืองกาญจนบุรี อำเภอวังขนาย อำเภอบ้านทวน และอำเภอวังกะ จังหวัดกาญจนบุรี พ.ศ. 2481 จำนวน 1,485 ราย และเป็นผู้ที่อยู่นอกเขตพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว จำนวน 2,421 ราย (2) จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีข้อมูลการสำรวจประชาชนที่ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินของรัฐ โดยมีจำนวนประชาชนที่ไม่มีไฟฟ้า 11,753 ครัวเรือน

                        2.2 กรอบการบริหารจัดการโครงการฯ แบ่งเป็น 9 ขั้นตอน รวมระยะเวลา
12 เดือน (คาดว่าจะดำเนินการได้แล้วเสร็จภายในเดือนมกราคม 2569)

การดำเนินงาน

ระยะเวลา

จังหวัดกาญจนบุรี

จังหวัดแม่ฮ่องสอน

(1) การวางแผน กำหนดมาตรการ กระบวนการและขั้นตอน ผู้รับผิดชอบ กรอบระยะเวลาการทำงาน

1 เดือน

(8 มกราคม -

7 กุมภาพันธ์ 2568)

แล้วเสร็จ

ร้อยละ 100

แล้วเสร็จ

ร้อยละ 100

(2) การจัดทำข้อมูล ข้อเท็จจริง และจัดทำประชาคมหรือรับฟังความคิดเห็น

1 เดือน

(8 มกราคม -

7 กุมภาพันธ์ 2568)

แล้วเสร็จ

ร้อยละ 100

แล้วเสร็จ

ร้อยละ 100

(3) การคัดกรองข้อมูล และจัดลำดับความสำคัญ

1 เดือน

(8 มกราคม -

7 กุมภาพันธ์ 2568)

ดำเนินการแล้ว

ร้อยละ 30

(คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนกันยายน

2568)

ไม่ต้องดำเนินการ

(4) การตรวจสอบร่องรอยการทำประโยชน์จากภาพถ่ายทางอากาศ หรือภาพถ่ายดาวเทียม

2 เดือน

(8 เมษายน -

7 มิถุนายน 2568)

ดำเนินการแล้ว

ร้อยละ 65

(คาดว่าจะแล้วเสร็จ

ในเดือนตุลาคม 2568)

แล้วเสร็จ

ร้อยละ 100

(5) การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อจัดทำข้อเสนอประกอบการตรวจพิสูจน์

1 เดือน

(8 มิถุนายน -

7 กรกฎาคม 2568)

ดำเนินการแล้ว

ร้อยละ 30

(คาดว่าจะแล้วเสร็จ

ในเดือนตุลาคม 2568)

ไม่ต้องดำเนินการ

(6) การตรวจพิสูจน์เพื่อการอนุญาตให้ประชาชนเข้าถึงสาธารณูปโภคไฟฟ้า ประปา

2 เดือน

(8 กรกฎาคม -

7 กันยายน ๒๕๖๘)

คาดว่าจะแล้วเสร็จ

ในเดือนพฤศจิกายน 2568

ไม่ต้องดำเนินการ

(7) การอนุญาต/การรับรองในการเข้าถึงสาธารณูปโภคไฟฟ้า ประปา

2 เดือน

(8 กันยายน -

7 พฤศจิกายน 2568)

ดำเนินการแล้ว

ในพื้นที่นำร่อง

ดำเนินการแล้ว

ร้อยละ 95

(8) การขยายเขตการนำไฟฟ้าและประปาเข้าสู่พื้นที่

2 เดือน

(8 พฤศจิกายน 2568 -

7 มกราคม 2569)

มีการสำรวจ ออกแบบจัดทำแผน และกำหนดงบประมาณแล้วบางส่วน

มีการสำรวจ

ออกแบบ จัดทำแผน

และกำหนด

งบประมาณแล้ว

บางส่วน

(9) การประสาน ติดตาม รายงานผล และ รับเรื่องร้องเรียน

ดำเนินการต่อเนื่อง

อยู่ระหว่าง

ดำเนินการ

อยู่ระหว่าง

ดำเนินการ

รวมระยะเวลา

12 เดือน

                        2.3 ปัญหาและอุปสรรค

                                (1) โครงการ คฟม. 3 อยู่ระหว่างเสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา

                                (2) งบประมาณไม่เพียงพอ กรณีการปักเสาพาดสาย ตามหลักเกณฑ์โครงการ คฟม. 3

                                (3) การขออนุญาตเข้าใช้พื้นที่ล่าช้า เช่น กรณีอยู่ใน ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำชั้นที่ 1 และต้องจัดทำรายงานรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) เป็นต้น

                                (4) สภาพภูมิประเทศเป็นอุปสรรคต่อการดำเนิน โครงการขยายเขตไฟฟ้าและประปาแบบปกติ เช่น พื้นที่มีความลาดชัน พื้นที่ห่างไกล เป็นต้น

                                (5) มีประชาชนที่อยู่อาศัยในเขตพระราชกฤษฎีกา กำหนดเขตหวงห้ามที่ดินในท้องที่อำเภอเมืองกาญจนบุรี อำเภอวังขนาย อำเภอบ้านทวน และอำเภอวังกะ จังหวัดกาญจนบุรี
พ.ศ. 2481 (ที่ราชพัสดุ) จำนวนประมาณ 1,086 ราย (จะต้องดำเนินการพิสูจน์สิทธิครอบครองต่อไป)

                        2.4 การดำเนินงานที่ต้องเร่งรัดและการขอรับการสนับสนุน

                                (1) การนำไฟฟ้าเข้าสู่พื้นที่มีความจำเป็นต้องเร่งรัด การอนุญาตใช้ที่ดิน และการอนุญาตใช้พื้นที่ป่าในงานก่อสร้างสถานีเพิ่มแรงดันและแนววาง ท่อจ่ายน้ำประปาในพื้นที่นำร่อง

                                (2) งบประมาณแบ่งเป็น (1) จังหวัดกาญจนบุรี ต้องขอรับการสนับสนุนงบประมาณ 218.65 ล้านบาท สำหรับสร้างระบบไฟฟ้าในรูปแบบ ปักเสาพาดสาย และระบบโซลาร์โฮม (Solar Home) (2) จังหวัดแม่ฮ่องสอนต้องขอรับสนับสนุนงบประมาณ 349.84 ล้านบาท จาก กฟภ. และงบพัฒนาจังหวัด (สำหรับหมู่บ้านจำนวน 8,697 ครัวเรือน ที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้และที่ไม่มีแผนการขอรับงบประมาณจำนวน 1,752 ครัวเรือน) รวมถึงโครงการที่อยู่ระหว่าง อปท. ยื่นขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน๗ โครงการ วงเงินงบประมาณ 423.29 ล้านบาท ทั้งนี้ มีความต้องการให้ช่วยผลักดันและสนับสนุนงบงบประมาณ รวมถึงการอนุญาตใช้พื้นที่ป่าในการดำเนินโครงการ และงบประมาณในงานก่อสร้างสถานีเพิ่มแรงดันและแนววางท่อจ่ายน้ำประปาในพื้นที่นำร่อง วงเงินงบประมาณ 31.22 ล้านบาท

                3. (การดำเนินการในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีและจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นการดำเนินการในพื้นที่นำร่อง อย่างไรก็ตาม คทช. ในคราวประชุมครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2568 ได้มีมติให้ถอดบทเรียนและพิจารณาขยายผลไปยังพื้นที่อื่น ๆ ต่อไป โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 สคทช. ได้จัดทำโครงการ ซึ่งจะขยายไปยังพื้นที่เป้าหมาย ที่มีความเหมาะสมอื่น ๆ ต่อไป

                4. สศช. พิจารณาแล้วเห็นชอบ โดยมีความเห็นเพิ่มเติมว่า การดำเนินการดังกล่าวต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ การลงทุนเกี่ยวกับสาธารณูปโภคไฟฟ้าและประปา ต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าและศักยภาพของพื้นที่ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ

 

11. เรื่อง ขออนุมัติการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่าย งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นในการจ่ายเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในการจ่ายเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จำนวน 209,030,000 บาท เพื่อเป็นเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ที่จะได้รับเงินต่อเนื่องในเดือนกันยายน 2568 ตามที่นายกรัฐมนตรีเห็นชอบให้กรมกิจการเด็กและเยาวชนใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 แล้ว ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอ

                สาระสำคัญของเรื่อง

              โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด เป็นนโยบายสำคัญระดับชาติ มุ่งเน้นให้
เด็กแรกเกิดได้รับการเลี้ยงดูที่มีคุณภาพ และมีพัฒนาการที่เหมาะสมตามวัย เพื่อเติบโตเป็นประชากร
ที่มีคุณภาพในอนาคต การได้รับเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลให้เด็กที่อยู่ในครอบครัวที่มีรายได้น้อย ได้รับการเลี้ยงดูที่เหมาะสม และมีพัฒนาการที่เหมาะสมตามวัย ถือเป็นสวัสดิการขั้นพื้นฐานที่รัฐบาลส่งผ่านพ่อ แม่ หรือผู้ปกครองไปยังเด็กแรกเกิด โดยให้เงินอุดหนุนเพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายเป็นรายเดือนโดยหากไม่ได้รับเงินอุดหนุนอย่างต่อเนื่องจะส่งผลให้ครอบครัวของเด็กแรกเกิดได้รับความเดือดร้อน ส่งผลให้เด็กไม่ได้รับการเลี้ยงดูที่มีคุณภาพและเหมาะสมตามวัย

12. เรื่อง การขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าเงินเดือนและสวัสดิการของบุคลากรที่บรรจุใหม่ในสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 – 2568

       คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 573,758,569 บาท จัดสรรให้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เพื่อเป็นเงินเดือนและสวัสดิการของบุคลากรที่บรรจุใหม่ของสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 – 2568 จำนวน 55 จังหวัด ตามที่ กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ

              สาระสำคัญของเรื่อง

              สำนักงบประมาณ (สงป.) แจ้งว่านายกรัฐมนตรีเห็นชอบให้ อบจ. ในฐานะหน่วยรับ งบประมาณใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 573,758,569 บาท เพื่อจ่ายเป็นเงินเดือนและสวัสดิการของบุคลากรสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินีและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จำนวน 55จังหวัด โดยเบิกจ่ายในงบเงินอุดหนุน เงินอุดหนุนทั่วไป และเมื่อได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ให้ อบจ. ในฐานะหน่วยรับงบประมาณ ที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่าย จัดทำรายละเอียดพร้อมทั้งแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อขอทำความตกลงกับ สงป. ตามขั้นตอนต่อไป

13. เรื่อง ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการ
เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือเยียวยาแก่นักเรียนและฟื้นฟูสถานศึกษา/หน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย วาตภัยและดินโคลนถล่ม

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวนทั้งสิ้น 192,005,915 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูสถานศึกษา/หน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย วาตภัยและดินโคลนถล่ม จำนวน 958 รายการ ในพื้นที่ 51 จังหวัด โดยเบิกจ่ายในงบลงทุนค่าครุภัณฑ์และสิ่งก่อสร้าง 954 รายการ จำนวน 188,976,900 บาท  และงบเงินอุดหนุน ประเภทเงินอุดหนุนทั่วไป รายการค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษา ขั้นพื้นฐาน (ค่าเครื่องแบบนักเรียนและค่าอุปกรณ์การเรียน) จำนวน 3,029,015 บาท ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอ

                สาระสำคัญ

              สำนักงบประมาณแจ้งผลการพิจารณาการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลางฯ ดังกล่าว ว่านายกรัฐมนตรีเห็นชอบให้กระทรวงศึกษาธิการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวนทั้งสิ้น 192,005,915 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูสถานศึกษา/หน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย วาตภัยและดินโคลนถล่ม จำนวน 958 รายการ ในพื้นที่ 51 จังหวัด โดยเบิกจ่ายในงบลงทุน ค่าครุภัณฑ์และสิ่งก่อสร้าง 954 รายการ จำนวน 188,976,900 บาท และงบเงินอุดหนุน ประเภทเงินอุดหนุนทั่วไปรายการค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน (ค่าเครื่องแบบนักเรียนและค่าอุปกรณ์การเรียน) จำนวน 3,029,015 บาท และเมื่อได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ขอให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป

                ประโยชน์และผลกระทบ

                1) นักเรียนทุกกลุ่มได้รับความช่วยเหลือและสนับสนุนค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเรียน
มีศักยภาพและความพร้อมสำหรับการเรียนรู้

                2) ครู และบุคลากรทางการศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ สามารถดำเนินการจัดการเรียนการสอนและปฏิบัติงานในการขับเคลื่อนการจัดการศึกษาได้ตามปกติ ซึ่งส่งผลให้นักเรียน นักศึกษาได้รับการเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

                3) ผู้ปกครองของนักเรียนสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา ซึ่งเป็นการบรรเทาความเดือดร้อน

                4) หน่วยงานและสถานศึกษาได้รับการสนับสนุน เพื่อให้สามารถจัดการเรียนรู้ เพื่อลดช่องว่างการเรียนรู้ และผลกระทบด้านความรู้ของนักเรียน

14. เรื่อง การจ้างงานคนพิการในหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2556

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอ ดังนี้

                1. รับทราบรายงานผลการปฏิบัติตามกฎหมายจ้างงานคนพิการในหน่วยงานของรัฐ ประจำปี 2566 - 2567

                2. ให้หน่วยงานของรัฐซึ่งมีผู้ปฏิบัติงานตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป เร่งรัดดำเนินการจ้างงานคนพิการตามที่กฎหมายกำหนดให้ครบถ้วนภายในปี 2568 และจัดทำรายงานการจ้างงานคนพิการประจำปีต่อกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พม.

                3. มอบหมายให้กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พม. รวบรวมรายงานผลการจ้างงานคนพิการของหน่วยงานรัฐทุกหน่วยงาน ภายในวันที่ 31 ธันวาคมของทุกปีและจัดทำประกาศหน่วยงานที่ปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 33 และมาตรา 35 ต่อสาธารณะอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 39 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2556 (พระราชบัญญัติฯ)

                สาระสำคัญของเรื่อง

               พม. โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ รายงานว่า

              1. พระราชบัญญัติฯ มาตรา 33 บัญญัติให้เพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการและหน่วยงานของรัฐรับคนพิการเข้าทำงานตามลักษณะของงานในอัตราส่วนที่เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติงานในสถานประกอบการหรือหน่วยงานของรัฐ ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานออกกฎกระทรวงกำหนดจำนวนที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการ และหน่วยงานของรัฐจะต้องรับคนพิการเข้าทำงาน และมาตรา 35 บัญญัติให้ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐไม่ประสงค์จะรับคนพิการเข้าทำงานตามมาตรา 33 หรือนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการไม่รับคนพิการเข้าทำงานตามมาตรา 33 และไม่ประสงค์จะส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการตามมาตรา 34 หน่วยงานของรัฐ นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการนั้นอาจให้สัมปทาน จัดสถานที่จำหน่ายสินค้าหรือบริการ จัดจ้างเหมาช่วงงานหรือจ้างเหมาบริการโดยวิธีกรณีพิเศษ ฝึกงาน หรือจัดให้มีอุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวก ล่ามภาษามือหรือให้ความช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการก็ได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ กพช. กำหนดในระเบียบคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการให้สัมปทาน จัดสถานที่จำหน่ายสินค้าหรือบริการ จัดจ้างเหมาช่วงงานหรือจ้างเหมาบริการโดยวิธีกรณีพิเศษ ฝึกงาน หรือจัดให้มีอุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวก ล่ามภาษามือ หรือให้ความช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการ พ.ศ. 2558

                2. รายงานผลการจ้างงานคนพิการในหน่วยงานของรัฐประจำปี 2566 – 2567 พบว่า มีหน่วยงานของรัฐที่มีการจ้างงานคนพิการตามมาตรา 33 และการดำเนินการส่งเสริมอาชีพตามมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติฯ ครบตามอัตราส่วนที่กฎหมายกำหนด [อัตราส่วน 100:1 (อัตราส่วนผู้ปฏิบัติงานที่ไม่ใช่คนพิการทุกหนึ่งร้อยคนต่อคนพิการหนึ่งคน)] จำนวน 3 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงคมนาคม (คค.) พม. และกระทรวงแรงงาน (รง.)

                สรุปผลการจ้างงานคนพิการในหน่วยงานของรัฐในภาพรวม ประจำปี 2566 – 2567

ประจำปี

จำนวนผู้ปฏิบัติงาน

(คน)

จำนวนคนพิการ

ที่ต้องรับเข้าทำงาน

ตามกฎหมาย

 (อัตรา 100:1 คน)

ผลการจ้างงานคนพิการ

มาตรา 33

(คน)

มาตรา 35

(คน)

รวมการจ้างงานคนพิการ

(คน)

คิดเป็นร้อยละ

2566

1,899,351

18,996

2,933

891

3,824

20.13

2567

1,862,174

18,621

2,938

1,754

4,692

25.20

                หมายเหตุ : ข้อมูล ณ วันที่ 27 ธันวาคม 2567 และรายงานดังกล่าวไม่รวม กห. ทั้งนี้ พม. แจ้งว่า เนื่องจากเป็นภารกิจด้านความมั่นคงจึงไม่สามารถแจ้งยอดเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในสังกัดต่าง ๆ ทั้งหมดได้

                ทั้งนี้ กพช. ในการประชุมครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568 มีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติตามกฎหมายการจ้างงานคนพิการดังกล่าวและมอบหมายให้ พม. โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการรายงานผลการดำเนินงานจ้างงานคนพิการ ในหน่วยงานของรัฐ ประจำปี 2566 - 2567 เสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบต่อไป

                3. แผนการขับเคลื่อนการจ้างงานคนพิการในหน่วยงานของรัฐ ประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2568

                        (1) ประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานของรัฐ ซึ่งมีผู้ปฏิบัติงานตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป ดำเนินการจ้างงานคนพิการให้ครบตามอัตราส่วนที่กฎหมายกำหนด

                        (2) ประชุมชี้แจงแนวทางการปฏิบัติตามกฎหมายการจ้างงานคนพิการในหน่วยงานของรัฐในเดือนมีนาคมของทุกปี เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอน รูปแบบ และวิธีการในการดำเนินการตามมาตรา 33 และมาตรา 35 ให้กับเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบ อันจะนำไปสู่การส่งเสริมให้หน่วยงานของรัฐสามารถจ้างงานคนพิการครบตามอัตราส่วนที่กฎหมายกำหนด

                        (3) มีหนังสือแจ้งหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หน่วยงานอิสระ สถาบันการศึกษา และกระทรวงต่าง ๆ เพื่อขอความร่วมมือปฏิบัติตามกฎหมายและรายงานผลการจ้างงานคนพิการมายังกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ

                        (4) เข้าพบผู้บริหารหน่วยงานของรัฐเพื่อหารือการจ้างงานคนพิการในหน่วยงานของรัฐให้ปฏิบัติได้ครบตามอัตราส่วนที่กฎหมายกำหนด

                        (5) ดำเนินการประกาศโฆษณาตามมาตรา 39 แห่งพระราชบัญญัติฯ

                        (6) รวบรวมข้อมูลรายงานผลการจ้างงานคนพิการประจำปีของหน่วยงานของรัฐทุกหน่วยงานในวันที่ 31 ธันวาคมของทุกปี เพื่อนำเสนอ กพช. และคณะรัฐมนตรีต่อไป

                4. ประโยชน์ของการดำเนินการ

                        (1) เพื่อแสดงศักยภาพทางด้านทักษะและความสามารถของคนพิการ

                        (2) เพื่อส่งเสริมให้คนพิการมีอาชีพ มีรายได้ สามารถเลี้ยงดูครอบครัวและใช้ชีวิตประจำวันได้เหมือนบุคคลทั่วไป

                        (3) เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและเสริมสร้างความมั่นใจในการเห็นคุณค่าของคนพิการ

15. เรื่อง ขอความเห็นชอบยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับจ่ายเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568

               คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเยียวยาประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา กรณีประชาชนเสียชีวิตหรือทุพพลภาพ จำนวน 17 ราย เป็นเงิน 136,000,000 บาท และกรณีประชาชนบาดเจ็บสาหัส จำนวน 37 ราย เป็นเงิน 29,600,000 บาท รวมทั้งสิ้น 165,600,000 บาท และเห็นชอบให้กระทรวงการคลัง เป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินช่วยเหลือเยียวยาดังกล่าว ตามที่กระทรวงมหาดไทย  (มท.) โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเสนอ

                สาระสำคัญ

              รัฐบาลได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเสนอเห็นชอบให้ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดน
ไทย - กัมพูชา กรณีประชาชนเสียชีวิตหรือทุพพลภาพ จำนวน 17 ราย เป็นเงิน 136,000,000 บาท และกรณีประชาชนบาดเจ็บสาหัส จำนวน 37 ราย เป็นเงิน 29,600,000 บาท รวมทั้งสิ้น 165,600,000 บาท และเห็นชอบให้กระทรวงการคลัง เป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินช่วยเหลือเยียวยาดังกล่าว
ทั้งนี้ เพื่อให้การช่วยเหลือเยียวยาและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล

 

16. เรื่อง การขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับสนับสนุนค่าชดเชยปฏิบัติการฉุกเฉิน

                คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับสนับสนุนค่าชดเชยปฏิบัติการฉุกเฉินวงเงินรวมทั้งสิ้น205.72 ล้านบาท ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ) เสนอ

                สาระสำคัญ

                เนื่องจากในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติได้รับงบประมาณเพื่อสนับสนุนค่าชดเชยการปฏิบัติการฉุกเฉินไม่เพียงพอ จึงมีความจำเป็นต้องขอรับสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติม เพื่อจ่ายคืนเป็นค่าใช้จ่ายให้กับหน่วยปฏิบัติการฉุกเฉิน (เช่น รถพยาบาลของสถานพยาบาล หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) ที่ได้ออกปฏิบัติการไปแล้วในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ทั้งนี้ สำนักงบประมาณ (สงป.) ได้นำเรื่องดังกล่าวกราบเรียนนายกรัฐมนตรีพิจารณาแล้ว ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นชอบให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับสนับสนุนค่าชดเชยปฏิบัติการฉุกเฉิน จำนวน 205.72 ล้านบาท ด้วยแล้ว โดย สงป. ขอให้สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติจัดทำแผนการปฏิบัติการและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อขอทำความตกลงกับ สงป. ตามขั้นตอนต่อไป

17. เรื่อง กรอบแนวทางการดำเนินการสร้างความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ให้กับหน่วยงานของรัฐ สำหรับการป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลไม่ให้เกิดการรั่วไหล

              คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกรอบแนวทางการดำเนินการสร้างความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ให้กับหน่วยงานของรัฐ สำหรับการป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลไม่ให้เกิดการรั่วไหล (กรอบแนวทางฯ) และอนุมัติให้                       ทุกหน่วยงานนำไปดำเนินการเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ให้กับระบบงานของหน่วยงานต่อไป ตามที่คณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (กมช.) เสนอ

                สาระสำคัญของเรื่อง

              1. เรื่องนี้เป็นการเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบกรอบแนวทางการดำเนินการสร้างความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ให้แก่หน่วยงานของรัฐ สำหรับการป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลไม่ให้เกิดการรั่วไหล (กรอบแนวทางฯ) เนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ตรวจพบการเข้าถึง ชื่อผู้ใช้งาน รหัสผ่าน และข้อมูลส่วนบุคคลของหน่วยงานราชการและภาคเอกชน จำนวน 166 ฐานข้อมูล จากบริษัทเอกชนรายหนึ่งที่รับพัฒนาระบบให้กับหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งการรั่วไหลของข้อมูลมีสาเหตุ เช่น (1) การจ้างเอกชนดำเนินการพัฒนาระบบสารสนเทศของหน่วยงานไม่มีการกำหนดขอบเขตของงานให้ครอบคลุมประเด็นการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล (2) การใช้ฐานข้อมูลจริงในการพัฒนาระบบ โดยไม่ได้ลบข้อมูลดังกล่าวหลังจากพัฒนาและทดสอบแล้วเสร็จ และ (3) บริษัทเอกชนที่ไม่ได้เป็นหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศไม่ได้ปฏิบัติให้เป็นมาตรฐานตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2562 ดังนั้น เพื่อเป็นการเสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัยให้แก่หน่วยงานของรัฐ  สกมช. จึงได้เสนอแนวทางขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาเชิงระบบ สำหรับหน่วยงานของรัฐ หน่วยงานควบคุมหรือกำกับดูแล และหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ เพื่อเป็นกรอบแนวทางฯ โดยมีรายละเอียด ดังนี้

แนวทาง

สาระสำคัญ

ขอบเขตการพัฒนาระบบงาน

(1) หน่วยงานของรัฐควรมีการใช้แนวทางมาตรฐาน ISO/IEC 27001 หรือ NIST Cybersecurity Framework ในการออกแบบ พัฒนาและบำรุงรักษาระบบ

(2) งดใช้ข้อมูลจริงในขั้นตอนการพัฒนาระบบ หรือกำหนดให้ใช้ข้อมูล    เพื่อทดสอบให้แล้วเสร็จและลบออกภายในระยะเวลา 3 วัน

(3) กำหนดเกณฑ์การเลือกบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ที่มีประสบการณ์และมาตรฐานที่ผ่านการรับรองทางความปลอดภัย

(4) กำหนดให้มีการกำกับดูแลติดตาม รวมทั้งการทดสอบความปลอดภัยระบบเป็นประจำ ทั้งในช่วงการพัฒนาและก่อนการใช้งานจริงเพื่อค้นหาช่องโหว่และแก้ไขทันที

การพัฒนาบุคลากร

(1) จัดอบรมสำหรับผู้พัฒนาและบุคลากรที่เกี่ยวข้องในเรื่องการออกแบบและพัฒนาระบบให้ปลอดภัย

(2) สร้างการรับรู้ในเรื่องภัยคุกคามไซเบอร์ที่อาจเกิดขึ้น

การติดตามและประเมินผล

(1) จัดให้มีการตรวจสอบและประเมินผลการทำงานของระบบอย่างสม่ำเสมอ

(2) ตรวจสอบความสอดคล้องกับมาตรฐานความปลอดภัยที่กำหนด

การดำเนินการในสัญญาจ้าง

กำหนดให้มีการระบุเงื่อนไขด้านความปลอดภัยในสัญญาว่าจ้างผู้พัฒนา โดยเน้นความรับผิดชอบต่อปัญหาด้านความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้นจากการพัฒนา

มาตรการด้านความปลอดภัย

(1) จัดให้มีกลไกการเฝ้าระวังเพื่อแจ้งเตือนและตอบสนองต่อการโจมตีหรือช่องโหว่ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

(2) มีแผนรับมือเมื่อเกิดเหตุการณ์ความปลอดภัยไซเบอร์

(3) สนับสนุนการปรับปรุงระบบให้ทันสมัยอยู่เสมอ โดยอัปเดตซอฟต์แวร์และแพตช์ด้านความปลอดภัยเมื่อมีช่องโหว่ถูกค้นพบ

(4) ปิดระบบที่ไม่ได้ใช้งาน เพื่อป้องกันการเข้าถึงข้อมูล

(5) ให้หน่วยงานของรัฐปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ เรื่อง มาตรฐานด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ระบบคลาวด์ พ.ศ. 2567 ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย Cloud First Policy เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัยทางดิจิทัล

                2. กมช. ในคราวประชุม ครั้งที่ 3/2567 เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2567 [โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) เป็นประธาน] ได้มีมติเห็นชอบแนวทางดังกล่าวแล้ว และมอบหมายให้ สกมช. เสนอกรอบแนวทางฯ ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาประกาศให้ทุกหน่วยงานถือปฏิบัติต่อไป

                3. กมช. แจ้งว่า การดำเนินการตามกรอบแนวทางฯ จะช่วยยกระดับมาตรการป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลและลดความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ในภาครัฐอย่างเป็นระบบ ส่งผลให้ระบบดิจิทัลของรัฐมีความมั่นคงปลอดภัยมากยิ่งขึ้น เพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน ภาคธุรกิจ และนักลงทุน อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนนโยบายดิจิทัลของประเทศ ทำให้ประเทศไทยมีมาตรฐานด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ที่ทัดเทียมกับระดับสากล อย่างไรก็ตาม มาตรการนี้จะเพิ่มภาระบางส่วนต่อประชาชนและหน่วยงานของรัฐแต่จะช่วยลดความเสี่ยงด้านไซเบอร์ในระยะยาว ทำให้บริการของภาครัฐปลอดภัยและน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น

 

18. เรื่อง การเสนอความเห็นของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนในการขอจัดตั้งกองทุนภูมิอากาศตามร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. ....

              คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบผลการพิจารณาการขอจัดตั้งกองทุนภูมิอากาศ (กองทุนฯ) ตามพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. .... และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) รับข้อสังเกตของคณะกรรมการฯ ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน (คณะกรรมการฯ) เสนอ

                สาระสำคัญของเรื่อง

              กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมได้เสนอขอจัดตั้งกองทุนภูมิอากาศ (กองทุนฯ) ตามร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. .... ต่อคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน (คณะกรรมการฯ) เพื่อพิจารณาเสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรี ซึ่งคณะกรรมการฯ ในคราวประชุมครั้งที่ 3/2568 เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2568 มีมติเห็นควรให้มีการจัดตั้งกองทุนฯ โดยให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่พระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. .... มีผลใช้บังคับ เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับใช้จ่ายในการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ มุ่งสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน เสมอภาค และเป็นธรรม สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย ต่อการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและศักยภาพให้กับประเทศไทยในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

                กองทุนฯ ตามร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. .... (ที่ปรับปรุงแล้วตามผลการหารือร่วมกับกรมบัญชีกลาง) มีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้

หัวข้อ

รายละเอียด

1. วัตถุประสงค์

เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับใช้จ่ายในการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ มุ่งสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน เสมอภาคและเป็นธรรมสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและศักยภาพให้กับประเทศไทยในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

2. เงินและทรัพย์สิน

(1) เงินรายได้ที่เกิดขึ้นจากระบบการซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Trading Scheme: ETS)

(2) เงินรายได้ที่เกิดขึ้นจากกลไกการปรับราคาคาร์บอนข้ามพรมแดน

(3) เงินค่าธรรมเนียมจากการอนุญาตการใช้คาร์บอนเครดิตเพื่อวัตถุประสงค์ระหว่างประเทศ

(4) เงินรายได้ที่เกิดขึ้นจากมาตรการ หรือกลไกต่าง ๆ ภายใต้พระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. ....

(5) เงินอุดหนุนที่ได้รับจากรัฐบาลหรือเงินที่ได้รับจากการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี

(6) เงินหรือทรัพย์สินอื่นที่ได้รับจากภาคเอกชนทั้งภายในและภายนอกประเทศ รัฐบาลต่างประเทศ หรือองค์การระหว่างประเทศ

(7) เงินค่าปรับเป็นพินัยตามหมวด 14 บทกำหนดโทษแห่งพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. ....

(8) เงินรายได้หรือทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคหรือมอบให้

(9) ดอกผลและผลประโยชน์ใด ๆ ที่เกิดจากกองทุนฯ

(10) เงินหรือทรัพย์สินอื่นใดที่กองทุนฯ ได้รับ

ทั้งนี้ เงินและทรัพย์สินของกองทุนฯ ไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ กฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง และกฎหมายว่าด้วยการปรับเป็นพินัย

3. การใช้จ่ายเงินกองทุนฯ

เงินกองทุนฯ ให้ใช้จ่ายเพื่อกิจการดังต่อไปนี้

(1) จัดสรรเป็นเงินกู้ยืมหรือเงินให้เปล่า ให้แก่หน่วยงานของรัฐ นิติบุคคลตามกฎหมายเอกชน องค์กรเอกชนด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติที่ได้ขึ้นทะเบียน สถาบันการศึกษา หรือชุมชน ไปใช้เป็นเครื่องมือทางการเงินสำหรับการลงทุนหรือการดำเนินการ ดังนี้

        (1.1) การได้มาซึ่งข้อมูลภูมิอากาศ ข้อมูลก๊าซเรือนกระจก ข้อมูลกิจกรรมหรือข้อมูลอื่นที่จำเป็นต่อการคำนวณข้อมูลปริมาณก๊าซเรือนกระจก และข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงและผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

        (1.2) การลดและใช้ประโยชน์จากก๊าซเรือนกระจก

        (1.3) การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

        (1.4) การวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ เทคโนโลยี และสร้างเสริมศักยภาพการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

(2) เป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนฯ

(3) กิจการอื่นใดตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ประกาศกำหนดโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ

4. อำนาจการกระทำกิจการของกองทุนฯ

กองทุนฯ มีอำนาจกระทำกิจการดังต่อไปนี้

(1) ถือกรรมสิทธิ์ มีสิทธิครอบครอง และมีทรัพยสิทธิต่าง ๆ

(2) ก่อตั้งสิทธิ หรือกระทำนิติกรรมใด ๆ ทั้งในและนอกราชอาณาจักร

(3) หาประโยชน์จากทรัพย์สินของกองทุนฯ

(4) เผยแพร่ข้อมูลและประชาสัมพันธ์การดำเนินการของกองทุนฯ

(5) กระทำการอื่นใดเพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ

5. องค์ประกอบของคณะกรรมการกองทุนฯ

คณะกรรมการกองทุนฯ ประกอบด้วย

(1) ผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติแต่งตั้งเป็นประธานกรรมการ

(2) กรรมการโดยตำแหน่ง ได้แก่ ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) ผู้แทน ทส. ผู้แทนกระทรวงพลังงาน (พน.) ผู้แทนกระทรวงมหาดไทย (มท.) ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้แทนกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผู้แทนกรมบัญชีกลาง ผู้แทนสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ผู้แทนสำนักงบประมาณ (สงป.)

(3) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากภาควิชาการ เอกชนและประชาสังคมซึ่งคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติแต่งตั้งจำนวนไม่เกิน 5 คน ซึ่งอย่างน้อยต้องมีผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย 1 คน

(4) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชนซึ่งคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติแต่งตั้งจากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย หน่วยงานละ 1 คน

(5) ให้ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนฯ เป็นกรรมการและเลขานุการ

6. หน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการกองทุนฯ

(1) กำหนดนโยบาย และออกระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ และคำสั่งในการบริหารกิจการของกองทุนฯ

(2) เสนอหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินของกองทุนฯ ต่อคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติเพื่อให้ความเห็นชอบ

(3) พิจารณาจัดสรรเงินกองทุนฯ เพื่อใช้ตามที่กำหนดไว้ในใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญที่กำหนด

(4) กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข ขอรับการจัดสรรเงินตามการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ

(5) วางระเบียบการรับเงิน เก็บรักษาและเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ

(6) พิจารณามอบหมายให้สถาบันการเงินหรือนิติบุคคลอื่นจัดการเงินกองทุนฯ ตามระเบียบและวิธีการที่กำหนด

(7) พิจารณาให้ความเห็นชอบรายงานประจำปีซึ่งมีรายละเอียดผลปฏิบัติงานและงบการเงินของกองทุนฯ

(8) ออกระเบียบ คำสั่ง และข้อบังคับเกี่ยวกับการพนักงาน ระบบพนักงานสัมพันธ์ การบรรจุแต่งตั้ง ถอดถอน และวินัยพนักงานและลูกจ้างของกองทุนฯ การกำหนดเงินเดือน และเงินอื่น ๆ รวมตลอดถึงการสงเคราะห์และสวัสดิการต่าง ๆ

(9) ปฏิบัติอื่นใดเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ ตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. ....

 

 

ต่างประเทศ

19. เรื่อง ร่างปฏิญญาบาหลีว่าด้วยข้อริเริ่มทางวัฒนธรรม พ.ศ. 2568 (Bali Initiative Culture Declaration 2025)

              คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างปฏิญญาบาหลีว่าด้วยข้อริเริ่มทางวัฒนธรรม พ.ศ. 2568
(Bali Initiative Culture Declaration 2025) ตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เสนอ

                สาระสำคัญ

              ร่างปฏิญญาบาหลีฯ มีสาระสำคัญ เช่น (1) ส่งเสริมโครงการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม
ที่ให้เยาวชน ศิลปิน นักวิชาการ และบุคลากรทางวัฒนธรรมมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ เพื่อส่งเสริมความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในระดับโลก (2) ส่งเสริมการใช้ปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างมีความรับผิดชอบ
เพื่อสงวนรักษาและส่งเสริมมรดกทางวัฒนธรรม โดยยึดมั่นในสิทธิมนุษยชนและมาตรฐานทางจริยธรรม
(3) ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเยาวชนในการดำเนินการทูตวัฒนธรรม ในฐานะทูตสันติภาพ เพื่อสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างกันและความร่วมมือระหว่างประเทศ (4) สนับสนุนการลงทุนในภาคส่วนวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์เพื่อสนับสนุนนวัตกรรมและความยั่งยืน โดยจะมีการรับรองร่างปฏิญญาบาหลีฯ ในห้วงการประชุมสุดยอดด้านวัฒนธรรม มรดก ศิลปะ เรื่องเล่า การทูต และนวัตกรรม ประจำปี พ.ศ. 2568 ในวันที่ 3 – 5 กันยายน 2568 ณ อินโดนีเซีย ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศ (กรมเอเชียตะวันออก) และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นสอดคล้องกันว่า ร่างปฏิญญาบาหลีฯ ไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

 

20.  เรื่อง ร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สำหรับการประชุมรัฐภาคี กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 30 (ASEAN Joint Statement on Climate Change to UNFCCC COP 30)

คณะรัฐมนตรี เห็นชอบ ร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สำหรับการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 30 (ร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนฯ) รวมทั้งมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หารือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย ให้ความเห็นชอบ (Endorsement) ร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนฯ และมอบหมายให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรอง (Adoption) ร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนฯ ในการประชุมสุดยอดอาเซียนต่อไป โดยหากมีความจำเป็นต้องแก้ไข ร่างเอกสารในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้ ทส. ดำเนินการได้ โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ

              สาระสำคัญ

        1.ประเทศมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียนร่วมกับประเทศสมาชิกอาเซียน ได้จัดทำ
ร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนฯ สำหรับการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 30 (อนุสัญญาฯ) เพื่อแสดงจุดยืนและความมุ่งมั่น ในการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและประเด็นที่ประสงค์จะผลักดันร่วมกัน โดยร่างแถลงการณ์ดังกล่าวจะต้องผ่านการพิจารณาให้ความเห็นชอบจากรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อม (Endorsement) ซึ่งมีกำหนดจัดการประชุมรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อม                ครั้งที่ 14 ระหว่างวันที่ 3-5 กันยายน 2568 ณ เมืองลังกาวี ประเทศมาเลเซีย ก่อนเสนอต่อที่ประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 เพื่อพิจารณาให้การรับรอง (Adoption) ต่อไป

        ร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สำหรับการประชุม
รัฐภาคีกรอบอนุสัญญา สหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 30 (กรอบอนุสัญญาฯ) เป็นการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียนเกี่ยวกับการปฏิบัติ ตามพันธกรณีภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change - UNFCCC) โดยมีรายละเอียด เช่น (1) รายงานความก้าวหน้าในการดำเนินงานในเรื่องต่าง ๆ ตามกรอบอนุสัญญาฯ ของสมาชิกอาเซียน (2) การแสดงจุดยืนในการส่งเสริมการสนับสนุนทางการเงินแก่ประเทศกำลังพัฒนา และ (3) ส่งเสริมการพัฒนาตลาดคาร์บอน โดยที่ กต. (กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย) และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่า ร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนฯ ไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย

 

21. เรื่อง การประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 31 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และผลการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 16 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย  (MT-GT)

คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอดังนี้

       1. เห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 31 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย (Indonesia Malaysia Thailand Growth Triangle; IMT - GT) (แผนงาน IMT - GT (ร่างแถลงการณ์ร่วมฯ) ที่จะมีการรับรองในการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 31 แผนงาน IMT - GT และเห็นชอบให้ สศช. สามารถปรับปรุงถ้อยคำในเอกสารดังกล่าวได้ในกรณี ที่มิใช่การเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบอีก

       2. เห็นชอบให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์) หรือผู้แทนที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์) มอบหมาย ปฏิบัติหน้าที่เป็นรัฐมนตรีประจําแผนงาน IMT - GT และร่วมกับรัฐมนตรีประจําแผนงาน IMT - GT ให้การรับรองแถลงการณ์ร่วมฯ ในวันที่ 4 กันยายน 2568

       3. รับทราบผลการประชุมระดับผู้นำครั้งที่ 16 แผนงาน IMT - GT (จะมีการรับรองแถลงการณ์ร่วมฯ ในวันที่ 4 กันยายน 2568 ณ จังหวัดตรัง ประเทศไทย)

       สาระสำคัญ

        ร่างแถลงการณ์ร่วมฯ เป็นการเน้นย้ำถึงความสำคัญ ของการดำเนินการ การพัฒนา และความร่วมมือต่าง ๆ ในอนุภูมิภาค IMT - GT เช่น ยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการสร้างอนุภูมิภาคที่มีการบูรณาการ มีนวัตกรรม ครอบคลุมและยั่งยืน ตามวิสัยทัศน์ IMT- GT พ.ศ. 2579 เน้นย้ำการพัฒนาภาคเกษตรกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงต่อสภาพภูมิอากาศอย่างยั่งยืนและครอบคลุม รวมทั้งให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงด้านการขนส่ง และการพัฒนาทักษะแรงงาน ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศ (กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ) และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา พิจารณาแล้วมีความเห็นสอดคล้องกันว่า ร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ไม่เข้าลักษณะเป็นหนังสือสัญญา ตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

 

22. เรื่อง การแต่งตั้งคณะผู้แทนไทยในการประชุมใหญ่สหภาพสากลไปรษณีย์ สมัยที่ 28

                คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) เสนอ ดังนี้

                1. เห็นชอบเอกสารกรอบท่าทีประเทศไทยในการเข้าร่วมการประชุมใหญ่สหภาพสากลไปรษณีย์ (Universal Postal Union: UPU) สมัยที่ 28 (เอกสารกรอบท่าทีฯ) รวมถึงร่างคำประกาศต่อกรรมสาร
(ร่างคำประกาศฯ) และมอบหมายให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทยหรือผู้แทนไทยที่ได้รับมอบมอบหมายใช้ดุลพินิจ
ตามสถานการณ์ หรือตามความเหมาะสมในเรื่องที่จะเป็นประโยชน์ต่อไป และรับทราบองค์ประกอบคณะผู้แทนไทย

                2. มอบอำนาจให้แก่หัวหน้าคณะและรองหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการอภิปรายลงมติ และ
ลงนามในกรรมสารของการประชุมใหญ่ UPU สมัยที่ 28

                3. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ออกหนังสือแต่งตั้งผู้แทนโดยมอบอำนาจตามข้อ 2 ให้แก่หัวหน้าคณะและรองหัวหน้าคณะผู้แทนไทย

                สาระสำคัญของเรื่อง

                การประชุมดังกล่าวจะมีการพิจารณาข้อเสนอของประเทศสมาชิก UPU ซึ่งขอแก้ไข/เพิ่มเติมเอกสารสำคัญในประเด็นต่าง ๆ ซึ่งประเทศไทยมีท่าทีต่อประเด็นดังกล่าว ดังนี้ (1) ด้านการเงินของ UPU (2) ด้านอนุสัญญา (3) ด้านยุทธศาสตร์และแผนงาน และ (4) ข้อเสนอการแก้ไขธรรมนูญ/อนุสัญญา ทั้งนี้ ดศ. เห็นควรให้จัดทำร่างคำประกาศฯ เพื่อขอสงวนสิทธิ์ในการปกป้องผลประโยชน์ของไทย หากมีประเทศสมาชิกใดไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดในธรรมนูญและอนุสัญญาสหภาพสากลไปรษณีย์ หรือหากข้อสงวนของประเทศสมาชิกอื่นใดเป็นอันตรายต่ออำนาจอธิปไตยของไทยต่อการปฏิบัติงานบริการไปรษณีย์และพันธะทางการเงินที่เพิ่มสูงขึ้น และในกรณีที่มีความจำเป็น สามารถยื่นข้อสงวนต่อกรรมสารที่ประชุมใหญ่ฯ ให้การรับรองเพิ่มเติมได้ในภายหลัง

                รวมทั้ง ดศ. เห็นควรให้มอบหมายให้ กต. ออกหนังสือแต่งตั้งผู้แทนโดยมีปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นหัวหน้าคณะ และมีเอกอัครราชทูตประจำกรุงอาบูดาบีเป็นรองหัวหน้าคณะ                        คนที่ 1 ในการอภิปราย ลงมติ และลงนามในกรรมสารของการประชุมใหญ่ UPU สมัยที่ 28

                ทั้งนี้ กต. (กรมองค์การระหว่างประเทศ) เห็นว่า เอกสารกรอบท่าทีฯ พร้อมข้อสงวนและร่างหนังสือแต่งตั้งผู้แทน ไม่ใช่การจัดทำหนังสือสัญญาจึงไม่มีประเด็นที่จะต้องพิจารณาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญ
แห่งราชอาณาจักรไทย ส่วนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า กรอบท่าทีไทยไม่มีประเด็นที่จะต้องพิจารณา
ตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

แต่งตั้ง

23. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ  (กระทรวงสาธารณสุข)

                คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ แต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน 2 ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนี้

                1. นายปณิธี ธัมมวิจยะ นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเวชกรรมป้องกัน)
กรมควบคุมโรค ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเวชกรรมป้องกัน) กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน 2567

                2. นายสุชาติ เจนเกรียงไกร นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรม)โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา สำนักงานปลัดกระทรวง
ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรม) โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม 2568

                ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป

 

24. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ

(สำนักนายกรัฐมนตรี)

                คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงบประมาณ (สงป.) เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน 4 ราย ดังนี้

                1. นายวิศนุเวศ เศวตนันทน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ให้ดำรงตำแหน่ง
ที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) สงป.

                2. นายน้อง เจริญนาค ผู้อำนวยการสำนักงาน (ผู้อำนวยการสูง) สำนักงานผู้อำนวยการ สงป. ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) สงป.

                3. นางสาวประนิอร เตียวตรานนท์ ผู้อำนวยการกอง (ผู้อำนวยการสูง) กองจัดทำงบประมาณด้านเศรษฐกิจ 1 สงป. ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) สงป.

                4. นางสาวพัชราภรณ์ สิทธิพงษ์ ผู้อำนวยการกอง (ผู้อำนวยการสูง) กองยุทธศาสตร์การงบประมาณ สงป. ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) สงป.

                ตั้งแต่วันที่ 27 พฤษภาคม 2568 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์

                ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป

 

25. เรื่อง การมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ตามลำดับ ดังนี้

                1. ในกรณีที่รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี
ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทน ตามลำดับ ดังนี้

                        (1) นายสุริยะ             จึงรุ่งเรืองกิจ

                        (2) นายพีระพันธุ์                สาลีรัฐวิภาค

                        (3) นายพิชัย              ชุณหวชิร

                        (4) นายประเสริฐ        จันทรรวงทอง

                2. ในระหว่างการรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ผู้รักษาราชการแทนข้างต้น จะสั่งการใดเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลและการอนุมัติเงินงบประมาณอันอยู่ในอำนาจของนายกรัฐมนตรี ต้องได้รับความเห็นชอบจากรองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีก่อน

 

 26. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เสนอแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง จำนวน 10 ราย ดังนี้

        1. นายธิติวัฐ              อดิศรพันธ์กุล     ตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง
                                                (รองนายกรัฐมนตรี นายภูมิธรรม เวชยชัย)

        2. นายศึกษิษฏ์           ศรีจอมขวัญ       ตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง
                                                (รองนายกรัฐมนตรี นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ)

        3. นายชื่นชอบ           คงอุดม              ตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง

                                                (รองนายกรัฐมนตรี นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค)

        4. นายพงศ์ศรัณย์       อัศวชัยโสภณ     ตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง

                                                (รองนายกรัฐมนตรี นายพิชัย ชุณหวชิร)

        5. นายฉัตริน             จันทร์หอม ตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง
                                                (รองนายกรัฐมนตรี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง)

        6. นายกฤช               เอื้อวงศ์              ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี                                            (นางสาวจิราพร สินธุไพร)

        7. นางสาวศศิกานต์     วัฒนะจันทร์       ตำแหน่งรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

        8. นายธเนศ               กิตติธเนศวร       ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี                                            (นายชูศักดิ์ ศิรินิล)

        9. นางสาวเพ็ญพิสุทธิ์ จินตโสภณ ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

                                                (นางสาวจิราพร สินธุไพร)

        10. นายรวีภัทร์          จิรศักดิ์วัฒนา     ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี                                            (นายสุชาติ ตันเจริญ)

        ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน  2568 เป็นต้นไป

 

27. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง

                คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เสนอแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมืองจำนวน 5 ราย ดังนี้

        1. นายจักรพงษ์         แสงมณี             ตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี

        2. นายสมคิด              เชื้อคง               ตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง

        3. นางสาวธีราภา        ไพโรหกุล  ตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง

        4. นายณณัฏฐ์            หงษ์ชูเวช  ตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง

        5. นายจิรายุ               ห่วงทรัพย์  ตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

        ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน  2568 เป็นต้นไป

 

28. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (กระทรวงกลาโหม)

                คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงกลาโหม (กห.) เสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรวงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายเทคโนโลยีป้องกันประเทศ จำนวน 6 คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรวงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปี ดังนี้

                1. พลเอก ภูมิพัฒน์ จันทร์สว่าง          ด้านการทหาร

                2. พลเรือเอก สุพพัต ยุทธวงศ์           ด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ                   3. ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุรชัย สนิทใจ         ด้านการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม                          4. นางพงษ์สวาท นีละโยธิน              ด้านกฎหมาย

                5. นายธัชพล กาญจนกูล           ด้านการเงิน การคลัง การบัญชี หรือ                                                                     การงบประมาณ

                6. นางจุฬามณี ชาติสุวรรณ              ด้านการลงทุน การพาณิชย์ หรือการค้า
                                                        ระหว่างประเทศ

                ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน 2568 เป็นต้นไป

 

29. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงคมนาคม)

               คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคม เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงคมนาคม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่จะว่างลง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ดังนี้

                1) นายพิชิต หุ่นศิริ รองอธิบดี (นักบริหารระดับต้น) กรมทางหลวงชนบท ไปดำรงตำแหน่ง

อธิบดี (นักบริหารระดับสูง) กรมทางหลวงชนบท

                2) นายจิรโรจน์ ศุกลรัตน์ รองผู้อำนวยการ (นักบริหารระดับต้น) สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร

                ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป

 

30. เรื่อง การโอนข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงแรงงาน)

                คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เสนอโอน พันตำรวจโท วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (นักบริหารระดับสูง) ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงแรงงาน (นักบริหารระดับสูง) กระทรวงแรงงาน ทดแทนตำแหน่งที่ว่างลง ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง ทั้งนี้ ทั้งสองหน่วยงานได้ยินยอมให้โอนข้าราชการพลเรือนสามัญรายดังกล่าวแล้ว

 

31. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กระทรวงคมนาคม)

                คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอแต่งตั้ง นายคุณดร งามธุระ กรรมการในคณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย ตามมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2494 และที่แก้ไขเพิ่มเติมแทนนายชยธรรม์ พรหมศร ประธานกรรมการที่ขอลาออก ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน 2568 เป็นต้นไป

 

32. เรื่อง  คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 277/2568 เรื่อง  มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี และมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ในกรณีที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้หรือไม่มีผู้ดำรงตำแหน่ง

                คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 277/2568 เรื่อง  มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีและมอบหมาย และมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ในกรณีที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้หรือไม่มีผู้ดำรงตำแหน่ง

                                               

                ตามที่ได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 206/2568 เรื่อง มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีและมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ในกรณีที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้หรือไม่มีผู้ดำรงตำแหน่ง ลงวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2568  นั้น

 

                โดยที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามมาตรา 170 (4) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 ประกอบกับคณะรัฐมนตรีในคราวประชุมเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2568 ได้มีมติมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม  เวชยชัย) เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี

 

                   อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 10 และมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 มาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม
โดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2550 มาตรา 11 มาตรา 12 มาตรา 41 มาตรา 42 มาตรา 48 และมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ประกอบกับมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2568 รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม  เวชยชัย) ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี จึงเห็นควรยกเลิกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 206/2568 ลงวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 และมีคำสั่งมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีและมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ในกรณีที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้หรือไม่มีผู้ดำรงตำแหน่ง ดังต่อไปนี้

                                                ส่วนที่ 1 คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี

                1. ในกรณีที่ รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม  เวชยชัย) ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี
ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทน ตามลำดับ ดังนี้

                   (1) นายสุริยะ    จึงรุ่งเรืองกิจ

                   (2) นายพีระพันธุ์      สาลีรัฐวิภาค

                   (3) นายพิชัย     ชุณหวชิร

                   (4) นายประเสริฐ      จันทรรวงทอง

                2. ในระหว่างการรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ผู้รักษาราชการแทนข้างต้น จะสั่งการใดเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลและการอนุมัติเงินงบประมาณอันอยู่ในอำนาจของนายกรัฐมนตรี ต้องได้รับ
ความเห็นชอบจากรองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม  เวชยชัย) ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีก่อน

                ส่วนที่ 2 การมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี

                   ในกรณีที่รองนายกรัฐมนตรีท่านใดท่านหนึ่งไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้ให้
รองนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ตามลำดับ ดังนี้

ลำดับที่

รองนายกรัฐมนตรี

รองนายกรัฐมนตรีที่ปฏิบัติราชการแทนกันตามลำดับ

1

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ

1. นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค

2. นายพิชัย  ชุณหวชิร

2

นายพีระพันธุ์     สาลีรัฐวิภาค

1. นายพิชัย  ชุณหวชิร

2. นายประเสริฐ  จันทรรวงทอง

3

นายพิชัย  ชุณหวชิร

1. นายประเสริฐ  จันทรรวงทอง

2. นายภูมิธรรม  เวชยชัย

4

นายประเสริฐ               จันทรรวงทอง

1. นายภูมิธรรม  เวชยชัย

2. นายสุริยะ  จึงรุ่งเรืองกิจ

              ส่วนที่ 3 การมอบหมายและมอบอำนาจให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี

                ในกรณีที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีท่านใดท่านหนึ่งไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้
ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ตามลำดับ ดังนี้

 

ลำดับที่

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

ที่ปฏิบัติราชการแทนกันตามลำดับ

1

นายชูศักดิ์  ศิรินิล

1. นางสาวจิราพร       สินธุไพร

2. นายสุชาติ ตันเจริญ

2

นางสาวจิราพร   สินธุไพร

1. นายสุชาติ ตันเจริญ

2. นายชูศักดิ์ ศิรินิล

3

นายสุชาติ  ตันเจริญ

1. นายชูศักดิ์ ศิรินิล

2. นางสาวจิราพร       สินธุไพร

 

              ทั้งนี้  ตั้งแต่วันที่   2  กันยายน  พ.ศ. 2568  เป็นต้นไป

 

33. เรื่อง คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 278/2568 เรื่อง  มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 278/2568 เรื่อง มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี

                ตามที่ได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 207/2568 เรื่อง มอบหมายและมอบอำนาจให้
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ลงวันที่
4 กรกฎาคม พ.ศ. 2568  นั้น

 

                โดยที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามมาตรา 170 (4) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบกับคณะรัฐมนตรีในคราวประชุม
เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2568 ได้มีมติเห็นชอบมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย)
เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี

 

                อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 10 และมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 มาตรา 11 (2) และมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2550 มาตรา 90 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ
พลเรือน พ.ศ. 2551 และพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการมอบอำนาจ พ.ศ. 2550 จึงให้ยกเลิกคำสั่ง
สำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 207/2568 ลงวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 และมีคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีกำกับการบริหารราชการแทนนายกรัฐมนตรี และให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี และกำกับดูแลแทนนายกรัฐมนตรี สำหรับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และหน่วยงานของรัฐ ตามลำดับ ดังต่อไปนี้

 

ส่วนที่ 1 นิยาม

              ในคำสั่งนี้

              “กำกับการบริหารราชการ” หมายความว่า กำกับโดยทั่วไปซึ่งการบริหารราชการแผ่นดินของส่วนราชการเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายและนโยบายของคณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี มีอำนาจสั่งให้ส่วนราชการชี้แจงแสดงความคิดเห็นหรือรายงานเกี่ยวกับการปฏิบัติราชการหรือการปฏิบัติงาน สั่งสอบสวนข้อเท็จจริง ตลอดจนอนุมัติให้นำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี และอนุมัติตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 7 กันยายน 2567
เกี่ยวกับการมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีที่ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีอนุญาตหรืออนุมัติเรื่องต่าง ๆ ของส่วนราชการในกำกับการบริหารราชการไปก่อนได้ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีทราบ รวมถึงอนุมัติให้นำเรื่องเสนอต่อคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี

                “สั่งและปฏิบัติราชการ” หมายความว่า สั่ง อนุญาต หรืออนุมัติให้ส่วนราชการ หรือข้าราชการหรือผู้ปฏิบัติงานในส่วนราชการ ปฏิบัติราชการหรือดำเนินการใด ๆ ได้ตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ ประกาศ คำสั่ง หรือมติคณะรัฐมนตรี ในฐานะผู้บังคับบัญชา รัฐมนตรีเจ้าสังกัดหรือรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง

                “กำกับดูแล” หมายความว่า กำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หรือหน่วยงานของรัฐให้เป็นไปตามกฎหมาย และให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งรัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชนหรือหน่วยงานของรัฐ นโยบายของรัฐบาล และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการสั่งให้รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชนหรือหน่วยงานของรัฐชี้แจง แสดงความคิดเห็น ทำรายงาน หรือยับยั้งการกระทำของรัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชนหรือหน่วยงานของรัฐที่ขัดต่อวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งรัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หรือหน่วยงานของรัฐ นโยบายของรัฐบาลหรือมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และสั่งสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินการ

 

ส่วนที่ 2

              1. รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม  เวชยชัย)

                     1.1 การมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้

                       1.1.1     กระทรวงกลาโหม

                           1.1.2     กระทรวงการต่างประเทศ

                       1.1.3     กระทรวงมหาดไทย

                       1.1.4     กระทรวงยุติธรรม

                  1.2 การมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการและสั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้

                       1.2.1     สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

                       1.2.2     สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ

                       1.2.3     สำนักข่าวกรองแห่งชาติ

                       1.2.4     สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน

                       1.2.5     สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ

                       1.2.6     ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้

                     1.3  ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการและลงนามในประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี
ที่เกี่ยวข้องกับการมีพระบรมราชโองการในเรื่องตามข้อ 1.1 ถึงข้อ 1.2 ยกเว้น

                           1.3.1     เรื่องที่เกี่ยวกับกฎหมาย

                           1.3.2     การสถาปนาพระอิสริยยศ อิสริยศักดิ์ สมณศักดิ์

                           1.3.3 การแต่งตั้ง ในกรณีการแต่งตั้งประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด                                ข้าราชการตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงและกรม
                                                         เอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศ กงสุล และกรรมการที่มีตำแหน่งหน้าที่
                                                         สำคัญ

                           1.3.4     การพระราชทานยศทหาร ตำรวจ ชั้นนายพล

                           1.3.5     การพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์แก่พระบรมวงศานุวงศ์ และ
                                   การพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ประจำปี

                           1.3.6     การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตหรือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
                                   และการประกาศใช้ความตกลงระหว่างประเทศ

                           1.3.7 เรื่องสำคัญที่เคยมีประเพณีปฏิบัติให้เสนอนายกรัฐมนตรีลงนาม

 

ส่วนที่ 3

              2. รองนายกรัฐมนตรี (นายสุริยะ  จึงรุ่งเรืองกิจ)

                     2.1 การมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้

                           2.1.1     กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

                           2.1.2     กระทรวงคมนาคม

                           2.1.3     กระทรวงแรงงาน

                           2.1.4     กระทรวงวัฒนธรรม

                           2.1.5     กระทรวงสาธารณสุข

                     2.2 การมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการและสั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้

                           2.2.1     สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน

                           2.2.2     สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ

                     2.3 การมอบหมายให้กำกับดูแลองค์การมหาชนและหน่วยงานของรัฐ ดังนี้

                           2.3.1     สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน)

                           2.3.2     สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน)

                           2.3.3 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ

                     2.4 ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการและลงนามในประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี
ที่เกี่ยวข้องกับการมีพระบรมราชโองการในเรื่องตามข้อ 2.1 ถึงข้อ 2.3 ยกเว้น การดำเนินการตามกรณี
ในข้อ
1.3.1 ถึงข้อ 1.3.7

ส่วนที่ 4

              3. รองนายกรัฐมนตรี (นายพีระพันธุ์  สาลีรัฐวิภาค)

                   3.1 การมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้

                        3.1.1     กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

                           3.1.2     กระทรวงพลังงาน

                           3.1.3     กระทรวงอุตสาหกรรม

                           3.1.4     สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

                           3.1.5     สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี

                           3.1.6     สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

                           3.1.7     สำนักงานราชบัณฑิตยสภา (รวมทั้งราชการของราชบัณฑิตยสภา)

                     3.2 การมอบหมายให้กำกับดูแลองค์การมหาชนและหน่วยงานของรัฐ ดังนี้

                           3.2.1     สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม

                     3.3 การดำเนินคดีปกครอง รวมทั้งลงนามมอบอำนาจให้พนักงานอัยการดำเนินคดีปกครองกรณีที่มีการฟ้องนายกรัฐมนตรี

                     3.4 ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการและลงนามในประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี
ที่เกี่ยวข้องกับการมีพระบรมราชโองการในเรื่องตามข้อ 3.1 ถึงข้อ 3.2 ยกเว้นการดำเนินการตามกรณี
ในข้อ
1.3.1 ถึงข้อ 1.3.7

 

ส่วนที่ 5

              4. รองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัย  ชุณหวชิร)

                     4.1 การมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้

                                4.1.1     กระทรวงการคลัง

                                4.1.2     กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

                                4.1.3     กระทรวงพาณิชย์

                                4.1.4     สำนักงบประมาณ (ยกเว้นที่เกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของนายกรัฐมนตรี
                                   ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ)

                         4.2 การมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการและสั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้

                                4.2.1    สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

                                4.2.2     สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน

                         4.3 การมอบหมายให้กำกับดูแลองค์การมหาชนและหน่วยงานของรัฐ ดังนี้

                       4.3.1     สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก

                         4.4 ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการและลงนามในประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี
ที่เกี่ยวข้องกับการมีพระบรมราชโองการในเรื่องตามข้อ 4.1 ถึงข้อ 4.3 ยกเว้น การดำเนินการตามกรณี
ในข้อ
1.3.1 ถึงข้อ 1.3.7

ส่วนที่ 6

              5. รองนายกรัฐมนตรี (นายประเสริฐ  จันทรรวงทอง)

                  5.1 การมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้

                       5.1.1     กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

                       5.1.2     กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

                       5.1.3     กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

                       5.1.4     กระทรวงศึกษาธิการ

                       5.1.5     กรมประชาสัมพันธ์

                       5.1.6     สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค

                       5.1.7     สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ

                                   และการสร้างความสามัคคีปรองดอง

                  5.2 การมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการและสั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้

                       5.2.1     สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ

                       5.2.2     สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ

                  5.3 การมอบหมายให้กำกับดูแลองค์การมหาชนและหน่วยงานของรัฐ ดังนี้

                       5.3.1     สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ

                       5.3.2     สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน)

                       5.3.3 สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม

                       5.3.4 สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน)

                       5.3.5 สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน)

                  5.4 ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการและลงนามในประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี
ที่
เกี่ยวข้องกับการมีพระบรมราชโองการในเรื่องตามข้อ 5.1 ถึงข้อ 5.3 ยกเว้นการดำเนินการตามกรณี
ในข้อ
1.3.1 ถึงข้อ 1.3.7

 

ส่วนที่ 7

              6. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายชูศักดิ์  ศิรินิล)

                  6.1 การมอบหมายและมอบอำนาจให้สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้

                       6.1.1     สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

                       6.1.2     สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี

                       6.1.3     สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

                       6.1.4     สำนักงบประมาณ

 

ส่วนที่ 8

              7. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวจิราพร  สินธุไพร)

                     7.1 การมอบหมายและมอบอำนาจให้สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้

                       7.1.1     กรมประชาสัมพันธ์

                       7.1.2     สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค

                       7.1.3      สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ

                                   และการสร้างความสามัคคีปรองดอง

                     7.2 การมอบหมายให้กำกับดูแลองค์การมหาชนและหน่วยงานของรัฐ ดังนี้

                       7.2.1     สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน)

                       7.2.2    สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน)

                       7.2.3     สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ

 

 

ส่วนที่ 9

              8. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุชาติ  ตันเจริญ)

                     8.1 การมอบหมายและมอบอำนาจให้สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้

                       8.1.1     สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี

                       8.1.2     สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

                       8.1.3     สำนักงานราชบัณฑิตยสภา (รวมทั้งราชการของราชบัณฑิตยสภา)

                  8.2 การมอบหมายให้กำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ ดังนี้

                       8.2.1     บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)

 

ส่วนที่ 10

                9.  รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับการบริหารราชการส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หรือหน่วยงานของรัฐแทนนายกรัฐมนตรี ให้มีอำนาจให้ความเห็นชอบและลงนามในประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี หรือประกาศเกี่ยวกับเรื่องของหน่วยงานนั้น ๆ ดังนี้

                  9.1 การแต่งตั้งบุคคลหรือกรรมการในหน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจนั้น

                  9.2 การขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์แก่ชาวต่างประเทศ ยกเว้น เป็นเรื่องระดับผู้นำรัฐบาลหรือประมุขของรัฐต่างประเทศ

                  9.3 การให้ความเห็นชอบในการรับเครื่องราชอิสริยาภรณ์หรือเหรียญตราจากต่างประเทศ

                  9.4 การประกาศภาพเครื่องหมายราชการ

 

                10.      รองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ให้มีอำนาจปฏิบัติแทนนายกรัฐมนตรีในการดำเนินการทางวินัยของข้าราชการในหน่วยงานที่สั่งและปฏิบัติราชการ

                11.      ให้รองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีในส่วนราชการใด เป็นประธาน อ.ก.พ. ทำหน้าที่ อ.ก.พ. กระทรวงของส่วนราชการนั้นด้วย

                12.      ราชการที่รองนายกรัฐมนตรีได้รับมอบหมายและมอบอำนาจตามคำสั่งนี้ หากรองนายกรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ และอาจมีผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนเป็นส่วนรวม หรือ
ต้องสั่งการแก่หลายส่วนราชการหรือหลายรัฐวิสาหกิจแต่บางส่วนมิได้อยู่ในอำนาจหน้าที่กำกับการบริหารราชการของรองนายกรัฐมนตรีผู้หนึ่งผู้ใดโดยตรง ให้นำเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อวินิจฉัยสั่งการ

                13.      เมื่อรองนายกรัฐมนตรีได้ดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายและมอบอำนาจแล้ว
ให้รายงานนายกรัฐมนตรีทราบเป็นระยะตามความเหมาะสม

                14.      ในการปฏิบัติหน้าที่รองนายกรัฐมนตรีตามที่ได้รับมอบหมายและมอบอำนาจตามคำสั่งนี้ ให้รองนายกรัฐมนตรีบริหารราชการโดยมุ่งมั่นจะสร้างความสามัคคี ปรองดอง ให้เกิดขึ้นในสังคมไทย ซึ่งจะนำไปสู่ความร่วมมือกันในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองการปกครองของประเทศให้ก้าวหน้าเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน

              ทั้งนี้  ตั้งแต่วันที่ 2  กันยายน  พ.ศ. 2568 เป็นต้นไป

 

34. เรื่อง คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 279/2568 เรื่อง  มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ และมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี

                        คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 279/2568 เรื่อง มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ และมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี

                ตามที่ได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 208/2568 เรื่อง มอบหมายและมอบอำนาจให้
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ และมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2568  นั้น

 

                โดยที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามมาตรา 170 (4) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบกับคณะรัฐมนตรีในคราวประชุม
เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2568 ได้มีมติเห็นชอบมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม  เวชยชัย)
เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี

 

                อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 10 และมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 มาตรา 11 และมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2550 และพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการมอบอำนาจ พ.ศ. 2550 จึงให้ยกเลิกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 208/2568 ลงวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 และมีคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ และมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้

 

ส่วนที่ 1

              1. รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม  เวชยชัย)

                  1.1 การมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการแทนนายกรัฐมนตรีในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้

                       1.1.1 สภาความมั่นคงแห่งชาติ

                       1.1.2 คณะกรรมการคดีพิเศษ

                       1.1.3 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด

                       1.1.4 คณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้

                  1.2 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้

                       1.2.1 คณะกรรมการกำลังพลสำรอง

                       1.2.2 คณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ

                       1.2.3 คณะกรรมการนโยบายการผังเมืองแห่งชาติ

                       1.2.4 คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ

                       1.2.5 คณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน

                       1.2.6 คณะกรรมการพิจารณาการเสนอขอพระราชทาน

                                    เครื่องราชอิสริยาภรณ์

                       1.2.7 คณะกรรมการอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร

                       1.2.8 คณะกรรมการนโยบายการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล

                       1.2.9 คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

                  1.3 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้

                       1.3.1 คณะกรรมการด้านการคุ้มครองการลงทุนระหว่างประเทศ

                       1.3.2 คณะกรรมการป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ

                       1.3.3 คณะกรรมการนโยบายการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนแห่งชาติ

                       1.3.4 คณะกรรมการกำหนดนโยบายและกำกับดูแลกิจการประปาแห่งชาติ

                       1.3.5 คณะกรรมการบริหารระบบการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ

                       1.3.6 คณะกรรมการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีแห่งชาติ

                       1.3.7 คณะกรรมการพัฒนาพื้นที่โดยรอบท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

                       1.3.8 คณะกรรมการพัฒนาระบบการติดตามคนหาย และการพิสูจน์คนนิรนาม                               และศพนิรนาม

                       1.3.9 คณะกรรมการนโยบายและอำนวยการพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงของชาติ

                       1.3.10   คณะกรรมการนโยบายรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ

                           1.3.11   คณะกรรมการพิจารณาการเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ประจำปี

                       1.3.12   คณะกรรมการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค

                       1.3.13   คณะกรรมการอำนวยการ หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ แห่งชาติ

                  1.4 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้

                       1.4.1 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ

                           1.4.2 รองประธานกรรมการ คนที่ 3 ในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ

                       1.4.3 กรรมการในคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ

 

ส่วนที่ 2

              2. รองนายกรัฐมนตรี (นายสุริยะ  จึงรุ่งเรืองกิจ)

                  2.1 การมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการแทนนายกรัฐมนตรีในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้

                       2.1.1 คณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ

                       2.1.2 คณะกรรมการส่งเสริมการพาณิชยนาวี

                       2.1.3 คณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ

                       2.1.4 คณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์

                       2.1.5 คณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น

                       2.1.6 คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ

                  2.2 การมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการแทนนายกรัฐมนตรีในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้

                       2.2.1 คณะกรรมการจัดการมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมันและเคมีภัณฑ์

                       2.2.2 คณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ

                       2.2.3 คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์

                  2.3 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้

                       2.3.1 คณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย

                       2.3.2 คณะกรรมการนโยบายการกีฬาแห่งชาติ

                       2.3.3 คณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ

                       2.3.4 คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ

                       2.3.5 คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ

                       2.3.6 คณะกรรมการบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด

                       2.3.7 คณะกรรมการสุขภาพจิตแห่งชาติ

                       2.3.8 คณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติ

                       2.3.9 คณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ

                       2.3.10   คณะกรรมการอาหารแห่งชาติ

                       2.3.11   คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน

                       2.3.12   คณะกรรมการมาตรฐานทางจริยธรรม

                       2.3.13   คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดการเทียบตำแหน่ง

                       2.3.14   คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ

                       2.3.15   คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน

                  2.4 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้

                       2.4.1 คณะกรรมการบริหารแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง

                       2.4.2 คณะกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ

                       2.4.3 คณะกรรมการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์แห่งชาติ

                       2.4.4 คณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ

                       2.4.5 คณะกรรมการบริหารพนักงานราชการ

                  2.5 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้

                       2.5.1 รองประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ

                       2.5.2 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนา

                                    จังหวัดชายแดนภาคใต้

                       2.5.3 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

                       2.5.4 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการนโยบายเพิ่มขีดความสามารถ

                                    ในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย

                           2.5.5 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ

                       2.5.6 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก

                       2.5.7 อุปนายกสภาลูกเสือไทย

                       2.5.8 กรรมการในคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ

                  2.6 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้

                       2.6.1 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ

                       2.6.2 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ

                           2.6.3 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการ

                                    ขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ

                       2.6.4 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ

                       2.6.5 รองประธานกรรมการ คนที่ 1 ในคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

                           2.6.6 รองประธานกรรมการ คนที่ 1 ในคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สิน

                               ทางปัญญาแห่งชาติ

                       2.6.7 รองประธานกรรมการคนที่ 1 ในคณะกรรมการพัฒนาการค้าระหว่างประเทศ

                       2.6.8 กรรมการในคณะกรรมการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษถนนราชดำเนิน

                       2.6.9 กรรมการในคณะกรรมการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค

 

ส่วนที่ 3

              3. รองนายกรัฐมนตรี (นายพีระพันธุ์  สาลีรัฐวิภาค)

                  3.1 การมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการแทนนายกรัฐมนตรีในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้

                       3.1.1 คณะกรรมการกฤษฎีกา

                       3.1.2 คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ

                       3.1.3 คณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ

                       3.1.4 คณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ

                       3.1.5 คณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ

                       3.1.6 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์

                     3.2 การมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการแทนนายกรัฐมนตรีในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้

                       3.2.1 คณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติ

                  3.3 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้

                       3.3.1 คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน

                       3.3.2 คณะกรรมการการมาตรฐานแห่งชาติ

                       3.3.3 คณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ

                       3.3.4 คณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาและคุ้มครองสถาบันครอบครัว

                       3.3.5 คณะกรรมการประสานและกำกับการดำเนินงานป้องกันและปราบปราม                      การค้ามนุษย์

                       3.3.6 คณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม

                  3.4 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ
ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้

                       3.4.1 คณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาสถานภาพสตรีแห่งชาติ

                       3.4.2 คณะกรรมการนโยบายที่อยู่อาศัยแห่งชาติ

                       3.4.3 คณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์ครอบครัวแห่งชาติ

                       3.4.4 คณะกรรมการป้องกันเจ้าหน้าที่ของรัฐมิให้เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์

                        3.4.5 คณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม

                       3.4.6 คณะกรรมการเร่งรัดการปฏิบัติราชการ

                       3.4.7 คณะกรรมการการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์

                       3.4.8 คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ

                       3.4.9 คณะกรรมการประสานงานเพื่อจัดให้มีโฉนดชุมชน

                       3.4.10   คณะกรรมการกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย

                                    สำนักนายกรัฐมนตรี

                  3.5 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้

                       3.5.1 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ

                       3.5.2 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง

                               และขนาดย่อม

                       3.5.3 รองประธานกรรมการ คนที่ 1 ในคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ

                       3.5.4 กรรมการในคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ

                  3.6 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้

                       3.6.1 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ

                       3.6.2 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการจัดการมลพิษทางน้ำเนื่องจาก                       น้ำมันและเคมีภัณฑ์

                       3.6.3 กรรมการในคณะกรรมการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค

 

ส่วนที่ 4

              4. รองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัย  ชุณหวชิร)

                  4.1 การมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการแทนนายกรัฐมนตรีในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้

                       4.1.1 คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ

                       4.1.2 คณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน

                       4.1.3 คณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจ

                       4.1.4 คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ

                       4.1.5 คณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ

                       4.1.6 คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน

                       4.1.7 คณะกรรมการนโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ                         สำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย

                           4.1.8 คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก

                     4.2 การมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการแทนนายกรัฐมนตรีในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้

                           4.2.1 คณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ

                           4.2.2 คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ

                           4.2.3 คณะกรรมการพัฒนาการค้าระหว่างประเทศ

                           4.2.4 คณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

                           4.2.5 คณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ

                           4.2.6 คณะกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

                           4.2.7 คณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการ                           ของประเทศ

                     4.3 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้

                           4.3.1 คณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร

                           4.3.2 คณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน

                     4.4 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้

                           4.4.1 คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร

                           4.4.2 คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ

                           4.4.3 คณะกรรมการบริหารสินเชื่อเกษตรแห่งชาติ

                           4.4.4 คณะกรรมการช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ยากจน

                           4.4.5 คณะกรรมการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการ

                           4.4.6 คณะกรรมการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษถนนราชดำเนิน

                           4.4.7 คณะกรรมการประสานการบริการด้านการลงทุน

                           4.4.8 คณะกรรมการสนับสนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน

                                    โดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย

                     4.5 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้

                           4.5.1 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ

                           4.5.2 กรรมการในคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ

                     4.6 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้

                           4.6.1 กรรมการในคณะกรรมการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค

 

ส่วนที่ 5

              5. รองนายกรัฐมนตรี (นายประเสริฐ  จันทรรวงทอง)

                     5.1 การมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการแทนนายกรัฐมนตรีในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้

                           5.1.1 คณะกรรมการพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ

                           5.1.2 คณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ

                           5.1.3 คณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

                           5.1.4 คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ

                           5.1.5 สภานายกสภาลูกเสือไทย

                           5.1.6 คณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม

                           5.1.7 คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ

                           5.1.8 คณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ

                           5.1.9 คณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล

                     5.2 การมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการแทนนายกรัฐมนตรีในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้

                           5.2.1 คณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ

                           5.2.2 คณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ

                     5.3 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้

                           5.3.1 คณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ

                           5.3.2 คณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเล

                                    และชายฝั่งแห่งชาติ

                           5.3.3 คณะกรรมการนโยบายป่าชุมชน

                           5.3.4 คณะกรรมการนโยบายพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา

                           5.3.5 คณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัย

                           5.3.6 คณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ

                     5.4 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้

                           5.4.1 คณะกรรมการภูมิสารสนเทศแห่งชาติ

                           5.4.2 คณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ

                           5.4.3 คณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ

                           5.4.4 คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก

                           5.4.5 คณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า

                           5.4.6 คณะกรรมการพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ

                           5.4.7 คณะกรรมการนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์

                     5.5 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้

                           5.5.1 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษ

                                    ภาคตะวันออก

                           5.5.2 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ

                           5.5.3 รองประธานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์

                                    วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ

                           5.5.4 กรรมการในคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ

                     5.6 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้

                           5.6.1 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติ

                           5.6.2 รองประธานกรรมการ คนที่ 2 ในคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สิน

                                    ทางปัญญาแห่งชาติ

                           5.6.3 กรรมการในคณะกรรมการพิจารณาการเสนอขอพระราชทาน

                                    เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ประจำปี

                           5.6.4 กรรมการในคณะกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

                           5.6.5 กรรมการในคณะกรรมการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค

 

ส่วนที่ 6

              6. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายชูศักดิ์  ศิรินิล)

                     6.1 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้

                           6.1.1 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ

                           6.1.2 กรรมการในคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ

                           6.1.3 กรรมการในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้

                           6.1.4 กรรมการในคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก

                     6.2 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้

                           6.2.1 รองประธานกรรมการ คนที่ 2 ในคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

                           6.2.2 รองประธานกรรมการ คนที่ 2 ในคณะกรรมการบริหารสินเชื่อเกษตรแห่งชาติ

                           6.2.3 กรรมการในคณะกรรมการประสานการบริการด้านการลงทุน

                           6.2.4 กรรมการในคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้า
                                    และบริการของประเทศ

 

ส่วนที่ 7

              7. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวจิราพร  สินธุไพร)

                     7.1 การมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการแทนนายกรัฐมนตรีในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้

                           7.1.1 คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค

                     7.2 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้

                           7.2.1 กรรมการในคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน

                     7.3 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้

                           7.3.1 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ

                           7.3.2 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์

                           7.3.3 รองประธานกรรมการ คนที่ 1 ในคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาองค์กร

                                    ภาคประชาสังคม

                           7.3.4 รองประธานกรรมการ คนที่ 3 ในคณะกรรมการกองทุนพัฒนาบทบาท

                                    สตรีแห่งชาติ

 

ส่วนที่ 8

              8. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุชาติ  ตันเจริญ)

                     8.1 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้

                           8.1.1 คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ

                     8.2 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้

                           8.2.1 คณะกรรมการควบคุมการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐ

                     8.3 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้

                           8.3.1 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการการศึกษาพระปริยัติธรรม

                     8.4 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้

                           8.4.1 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์

                           8.4.2 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ

                           8.4.3 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการประสานงานเพื่อจัดให้มีโฉนดชุมชน

 

ส่วนที่ 9

              9. เมื่อรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้ดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายและมอบอำนาจแล้ว ให้รายงานนายกรัฐมนตรีทราบทุกสามสิบวัน

                10.     ให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ได้รับมอบหมายและ
มอบอำนาจให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการในคณะกรรมการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีในคำสั่งนี้ พิจารณาความจำเป็นและความเหมาะสมในการยุบเลิกคณะกรรมการดังกล่าว หากเห็นว่าหมดความจำเป็นหรือซ้ำซ้อนกับภารกิจของหน่วยงานอื่น หรืออาจยุบรวมคณะกรรมการชุดต่าง ๆ เข้าด้วยกัน หรือปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการดังกล่าว โดยการยกเลิกหรือแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
ที่เกี่ยวข้อง หรือจัดทำระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีขึ้นใหม่ โดยยึดหลักการมีผู้รับผิดชอบภารกิจอย่างชัดแจ้ง การไม่ปฏิบัติงานซ้ำซ้อนกัน และการบูรณาการภารกิจให้เกิดการประสานและสอดคล้องรองรับกัน แล้วเสนอผล
การพิจารณา และข้อเสนอแนะ ตลอดจนร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีที่ขอแก้ไขเพิ่มเติมหรือจัดทำขึ้นใหม่
ต่อคณะรัฐมนตรี ในกรณีที่เห็นควรให้คงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีนั้น ๆ ไว้ตามเดิมให้รายงานเหตุผลและความจำเป็นด้วยเช่นกัน

                11.     ในส่วนการแต่งตั้งให้รัฐมนตรีคนใดดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการ ในคณะกรรมการตามกฎหมายหรือระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ให้เป็นไปตามกฎหมายหรือระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการนั้น

 

              ทั้งนี้  ตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2568  เป็นต้นไป

 

                               

35. เรื่อง คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 280/2568 เรื่อง  มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค

                คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 280/2568 เรื่อง มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค

                   ตามที่ได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 209/2568 เรื่อง มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค ลงวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 นั้น

 

                โดยที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามมาตรา 170 (4) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบกับคณะรัฐมนตรีในคราวประชุม
เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2568 ได้มีมติเห็นชอบมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม  เวชยชัย)
เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี

 

                   อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 มาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 และมาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2550 ประกอบกับพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. 2565 ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค พ.ศ. 2547 ประกาศคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ เรื่อง การจัดตั้งภาค กลุ่มจังหวัด และกำหนดจังหวัดที่เป็นศูนย์ปฏิบัติการของกลุ่มจังหวัด ลงวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 และคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 221/2561 เรื่อง กำหนดพื้นที่การตรวจราชการของผู้ตรวจราชการ ลงวันที่ 10 กันยายน 2561 จึงให้ยกเลิกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 209/2568 ลงวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 และมีคำสั่งมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค ดังต่อไปนี้

 

                1.    พื้นที่

                   1.1       รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม  เวชยชัย) กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการ ดังนี้

                        1) เขตตรวจราชการที่ 7 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคใต้ชายแดน ประกอบด้วย จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี และจังหวัดยะลา

                        2) เขตตรวจราชการที่ 10 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก เฉียงเหนือตอนบน 1 ประกอบด้วย จังหวัดบึงกาฬ จังหวัดเลย จังหวัดหนองคาย จังหวัดหนองบัวลำภู
และจังหวัดอุดรธานี

                        3) เขตตรวจราชการที่ 15 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 ประกอบด้วย จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดลำปาง และจังหวัดลำพูน

                        4) เขตตรวจราชการที่ 16 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ประกอบด้วย จังหวัดเชียงราย จังหวัดน่าน จังหวัดพะเยา และจังหวัดแพร่

                   1.2       รองนายกรัฐมนตรี (นายสุริยะ  จึงรุ่งเรืองกิจ) กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการ ดังนี้

                        1) เขตตรวจราชการที่ 6 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน ประกอบด้วย จังหวัดกระบี่ จังหวัดตรัง จังหวัดพังงา จังหวัดภูเก็ต จังหวัดระนอง และจังหวัดสตูล

                        2) เขตตรวจราชการที่ 11 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก
เฉียงเหนือตอนบน 2 ประกอบด้วย จังหวัดนครพนม จังหวัดมุกดาหาร และจังหวัดสกลนคร

                        3) เขตตรวจราชการที่ 17 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1 ประกอบด้วย จังหวัดตาก จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดสุโขทัย และจังหวัดอุตรดิตถ์

                        4) เขตตรวจราชการที่ 18 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 2 ประกอบด้วย จังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดพิจิตร และจังหวัดอุทัยธานี

                   1.3       รองนายกรัฐมนตรี (นายพีระพันธุ์  สาลีรัฐวิภาค) กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการ ดังนี้

                        1) เขตตรวจราชการที่ 3 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 1 ประกอบด้วย จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดราชบุรี และจังหวัดสุพรรณบุรี

                        2) เขตตรวจราชการที่ 5 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคใต้
ฝั่งอ่าวไทย ประกอบด้วย จังหวัดชุมพร จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดพัทลุง จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดสงขลา

                        3) เขตตรวจราชการที่ 8 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 1 ประกอบด้วย จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดชลบุรี และจังหวัดระยอง

                   1.4        รองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัย  ชุณหวชิร) กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการ ดังนี้

                        1) เขตตรวจราชการที่ 1 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ประกอบด้วย จังหวัดชัยนาท จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดลพบุรี จังหวัดสระบุรี จังหวัดสิงห์บุรี และจังหวัดอ่างทอง

                        2) เขตตรวจราชการที่ 2 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคกลางปริมณฑล ประกอบด้วย จังหวัดนนทบุรี จังหวัดปทุมธานี จังหวัดนครปฐม และจังหวัดสมุทรปราการ

                        3) เขตตรวจราชการที่ 9 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 2 ประกอบด้วย จังหวัดจันทบุรี จังหวัดตราด จังหวัดนครนายก จังหวัดปราจีนบุรี และจังหวัดสระแก้ว

                   1.5        รองนายกรัฐมนตรี (นายประเสริฐ  จันทรรวงทอง) กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการ ดังนี้

                        1) เขตตรวจราชการที่ 4 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 2 ประกอบด้วย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดสมุทรสงคราม และจังหวัดสมุทรสาคร

                        2) เขตตรวจราชการที่ 12 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก
เฉียงเหนือตอนกลาง ประกอบด้วย จังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดขอนแก่น จังหวัดมหาสารคาม และจังหวัดร้อยเอ็ด

                        3) เขตตรวจราชการที่ 13 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก
เฉียงเหนือตอนล่าง 1 ประกอบด้วย จังหวัดชัยภูมิ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดสุรินทร์

                        4) เขตตรวจราชการที่ 14 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก
เฉียงเหนือตอนล่าง 2 ประกอบด้วย จังหวัดยโสธร จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดอำนาจเจริญ และจังหวัดอุบลราชธานี

                2.    การกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคตามคำสั่งนี้ หมายถึง การตรวจราชการ การขอให้เจ้าหน้าที่ของรัฐรายงานเหตุการณ์และผลการปฏิบัติงานตามนโยบายของรัฐบาล และนายกรัฐมนตรี ยุทธศาสตร์ชาติ ยุทธศาสตร์กลุ่มจังหวัด และยุทธศาสตร์จังหวัด การประสานราชการเพื่อให้เกิดการบูรณาการยุทธศาสตร์กลุ่มจังหวัด และยุทธศาสตร์จังหวัด ไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม การเร่งรัด การติดตามผล การให้คำแนะนำช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ของรัฐในพื้นที่ และการประเมินผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมถึงการตรวจสอบความถูกต้องในการดำเนินโครงการและการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐ โดยให้คณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดมีส่วนร่วมในการตรวจสอบด้วย

                3.    ให้รองนายกรัฐมนตรีรายงานปัญหาอุปสรรค แนวทางการแก้ไข ตลอดจนข้อเสนอแนะต่าง ๆ อันเนื่องจากการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในเขตตรวจราชการหรือพื้นที่ในความรับผิดชอบ
ต่อนายกรัฐมนตรี

                4.    ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจัดให้ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีประจำ
เขตตรวจราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นฝ่ายเลขานุการของรองนายกรัฐมนตรี ในกรณีที่รองนายกรัฐมนตรี
ติดภารกิจจำเป็นเร่งด่วน สามารถมอบหมายให้ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีประจำเขตตรวจราชการปฏิบัติหน้าที่แทนแล้วรายงานผลการปฏิบัติงานให้ทราบต่อไป

                5.    ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ตรวจราชการกระทรวง และหัวหน้าส่วนราชการในจังหวัดที่เกี่ยวข้องเสนอข้อมูล อำนวยความสะดวก และให้ความร่วมมือในการปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งนี้ด้วย

                6.     ให้เบิกค่าใช้จ่ายในการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคของรองนายกรัฐมนตรี จากงบประมาณของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี หมวดเงินอุดหนุนทั่วไป โครงการเพิ่มขีดสมรรถนะ
ในการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคของรองนายกรัฐมนตรี

              ทั้งนี้  ตั้งแต่วันที่  2 กันยายน พ.ศ. 2568  เป็นต้นไป

 

36. เรื่อง รายงานผลการสรรหาผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม

                คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานผลการสรรหาผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม (สวส.) ซึ่งได้ดำเนินการแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2568 ตามที่คณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม (คณะกรรมการฯ) เสนอ

                สาระสำคัญ

                คณะกรรมการฯ ในคราวประชุมครั้งที่ 3/2568 เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2568 ได้มีมติเห็นชอบแต่งตั้งนายอัครพล ลีลาจินดามัย ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการ สวส. ทั้งนี้ ให้ดำรงตำแหน่งคราวละ 4 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2568 เป็นต้นไป

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top