ศบ.ทก.ไฟเขียว
สร้างรั้วชายแดนสระแก้ว16กม.
‘หนองจาน-หนองหญ้าแก้ว’
แจ้งจับเขมรบุกรุกพื้นที่ป่า
บัวแก้วลุยประจานกัมพูชา
ซุกระเบิด-ปั่นข่าวบิดเบือน
ศบ.ทก.ไฟเขียวในหลักการแผนสร้างรั้ว “หนองจาน-หนองหญ้าแก้ว” ระยะทาง 16 กิโล แจง”ไอโอซี”ลงพื้นที่สังเกตการณ์ จ.ตราด แค่เก็บข้อมูลและรายงาน ไม่มีหน้าที่ตัดสินใครถูก-ผิด กต.เผยคืบหน้าไทยหอบหลักฐาน ข้อมูลเขมรละเมิดข้อตกลงหยุดยิง-อนุสัญญาออตตาวาฟ้องโลก จี้เขมรเลิกสร้างข่าวบิดเบือน
เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษก ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) แถลงผลประชุม ศบ.ทก.ว่า สถานการณ์โดยทั่วไปทั้ง 2 ฝ่ายยังอยู่ในภาวะสงบไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากช่วงเวลาที่ผ่านมา นอกจากนี้ จากการลงพื้นที่ของคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (IOT) เดินทางไปสังเกตการณ์ในพื้นที่กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด อ.คลองใหญ่ จ.ตราด เมื่อวันที่ 2 กันยายนที่ผ่านมา ได้เน้นย้ำว่า ไม่ได้มีหน้าที่ตัดสินว่าฝ่ายใดถูกหรือผิด แต่จะทำหน้าที่สังเกตการณ์เก็บข้อมูลและรายงานอย่างเป็นธรรม
พล.ร.ต.สุรสันต์กล่าวต่อว่า แผนงานจัดประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) สมัยวิสามัญครั้งที่ 2/2568 มีกำหนดการจัดระหว่างวันที่ 7 -10 กันยายน ในพื้นที่ จ.เกาะกง ประเทศกัมพูชา โดยรูปแบบการประชุมเหมือนครั้งที่ 1 แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนที่ 1 คือการประชุมฝ่ายเลขานุการร่วม ช่วงวันที่ 7 - 9 กันยายน จากนั้นวันที่ 10 กันยายน เป็นการประชุมจีบีซีหลัก และจะมีการแถลงข่าวหลังประชุมที่จ.ตราด
ทั้งนี้ ในส่วนความมั่นคง เป็นเรื่องของการติดตามการดำเนินการบริหารจัดการบริเวณชายแดนพื้นที่บ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว ซึ่งวันเดียวกันนี้ ที่ประชุม ศบ.ทก.จังหวัดสระแก้ว โดยผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ชี้แจงและนำเสนอแนวทางการดำเนินการเสริมสร้างความมั่นคง ปลอดภัยให้ประชาชนในพื้นที่บ้านหนองจาน และพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว โดยมีแผนจัดสร้างรั้วระยะทาง 16 กิโลเมตร บริเวณหลักเขตแดนที่ 50-51 ซึ่งถือว่าเป็นหลักเขตแดนที่มีการสำรวจและได้ข้อยุติเรียบร้อยแล้ว
พร้อมกันนี้ จะสำรวจสิทธิการครอบครองที่ดินในพื้นที่อย่างละเอียด ตลอดจนมีมาตรการดำเนินการตามกฏหมายของไทยประกาศใช้กฎหมายกับชาวกัมพูชาที่บุกรุกพื้นที่ และแจ้งความดำเนินการกับราษฎรกัมพูชาที่บุกรุกพื้นที่ป่าไม้ ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 54 และมาตรา 72 ซึ่งที่ประชุม ศบ.ทก.ในวันนี้เห็นชอบในหลักการที่จ.สระแก้ว เสนอมา และจะนำข้อมูลเสนอต่อที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ลำดับถัดไปเพื่อขออนุมัติ
ที่โดมอเนกประสงค์ โรงเรียนปทุมวิไล อ.เมือง จ.ปทุมธานี พลโท บุญสิน พาดกลาง หรือ บิ๊กกุ้ง แม่ทัพภาคที่ 2 กองบัญชาการกองทัพบก กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่องรักชาติ แผ่นดินไทย จิตวิญญาณ และหน้าที่พลเมือง ให้คณะผู้บริหารสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี ผู้อำนวยการโรงเรียนต่างๆ คณะครู บุคลากรทางการศึกษา นักเรียนโรงเรียนปทุมวิไลและโรงเรียนข้างเคียงเข้าร่วมรับฟังกว่า 4,000 คน โดยกล่าวตอบคำถามนักเรียนตอนหนึ่งถึงการสร้างกำแพงชายแดนไทย-กัมพูชาว่า กองทัพมีแผนที่ทำจริง เป็นข้อเสนอของผู้ใหญ่หลายคน โดยเห็นพร้องต้องกันของทั้งสองประเทศที่ตกลงกันแล้วก็จะทยอยสร้าง เป็นเรื่องดีเพื่อเป็นการแสดงอาณาเขตให้ชัดเจน และลดปัญหาขัดแย้งและรุกล้ำอธิปไตของแต่ละฝ่ายในอนาคต ซึ่งมีแนวทางเป็นไปได้ แต่ต้องอยู่ที่คณะรัฐมนตรี แต่แนวคิดของตนนั้น ก็เห็นด้วยกับการสร้างกำแพงระหว่างสองประเทศ
ด้านนางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศและรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงความคืบหน้าการดำเนินการระหว่างประเทศในประเด็นชายแดนไทย-เขมรว่า เรื่องแรกการดำเนินการเชิงรุกของไทยในเวทีระหว่างประเทศ ระหว่างวันที่ 26-28 สิงหาคมที่ผ่านมา นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.การต่างประเทศ ไปนครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ เพื่อนำข้อมูลหลักฐานสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยเฉพาะกรณีวางทุ่นระเบิดในเขตแดนไทยไปชี้แจงกลุ่มบุคคลที่มีอิทธิพลต่อการส่งเสริมให้ปฏิบัติตามอนุสัญญาออตตาวา การเยือนครั้งนี้นอกจากชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว ไทยยังยืนยันความมุ่งมั่นจะปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญา และเป็นโอกาสให้เขาได้สอบถามเพื่อปรับความเข้าใจให้เข้าใจถูกต้อง
นอกจากนี้ รมว.การต่างประเทศ ยังประกาศว่าไทยจะเข้าร่วมโครงการรณรงค์ระดับโลกของเลขาธิการสหประชาชาติ เรื่องการลดอาวุธเพื่อมนุษยธรรมและดำเนินการด้านทุ่นระเบิด เวลาเดียวกันเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยที่นิวยอร์ก ได้เข้าพบเลขาธิการสหประชาชาติอีกครั้ง เพื่อนำส่งข้อมูลหลักฐานเชิงประจักษ์เพิ่มเติมอีกครั้ง กรณีการวางทุ่นระเบิดของกัมพูชาที่ทำให้ทหารไทยบาดเจ็บถึง 6 ครั้ง และเลขาฯยูเอ็นยังติดตามการขอรับคำชี้แจงจากฝ่ายเขมรกรณีดังกล่าวผ่านเลขาฯยูเอ็นด้วย
ทั้งนี้เพื่อนำกัมพูชากลับเข้าสู่การปฏิบัติตามพันธกรณีโดยสมบูรณ์และยุติใช้ทุ่นระเบิดโดยทันที ไทยต้องการเก็บกู้ทุ่นระเบิดร่วมกับเขมรภายใต้กลไกทวิภาคีและตามข้อตกลงหยุดยิง เพื่อคุ้มครองชีวิตและความปลอดภัยของประชาชนทั้งสองประเทศ
นางมาระตีกล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารตามที่ปรากฏรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ขแมร์ ไทม์ส อ้างกรณีชาวกัมพูชาไม่สามารถเดินทางกลับภูมิลำเนาได้ว่าเป็นผลจากอาวุธที่ตกค้างของฝ่ายไทยจากการปะทะกันที่ชายแดนช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาบิดเบือนข้อเท็จจริง และการกระทำในพื้นที่สวนทางกับข้อกล่าวหาดังกล่าว โดยเขมรเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลงหยุดยิงมาโดยตลอด
ทั้งด้วยการลอบวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคล การใช้โดรน การปลุกระดมประชาชน และล่าสุดยังพบการใช้ระเบิดแสวงเครื่องในฝั่งไทย และเร็วๆนี้มีรายงานจากนิตยสาร JANES นิตยสารด้านความมั่นคง นำเสนอว่าจากหลักฐานภาพถ่ายดาวเทียมพบการก่อตั้งฐานปฏิบัติการทางทหารฝั่งกัมพูชาบริเวณชายแดนเป็นหลายเดือนก่อนเกิดเหตุปะทะระหว่างกัน ซึ่งสอดคล้องกับท่าทีไทยที่ชี้แจงมาโดยตลอดว่าเขมรเริ่มโจมตีครั้งนี้
“ไทยเป็นห่วงการเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือน และการโฆษณาชวนเชื่อของเขมรที่ทำเป็นระบบ ซึ่งสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ได้นำมาหารือกับ รมว.การต่างประเทศ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาด้วย โดย OHCHR มองเป็นปัญหาระดับโลกเรื่องการโฆษณาชวนเชื่อ เพราะไม่เพียงบั่นทอนความไว้เนื้อเชื่อใจ ความไว้วางใจระหว่างกัน ยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการหาทางออกโดยสันติ ไทยจึงเรียกร้องให้เขมรยุติการกระทำ ที่ไม่สร้างสรรค์ลักษณะนี้ อีกทั้ง ไทยยังหวังให้เขมรร่วมมือกับไทยในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด และการปราบปรามการหลอกลวงทางออนไลน์”นางมาระตี กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี