ชำแหละ‘รัฐบาลอนุทิน’ในมุม‘ณัฐวุฒิ’ ร่ายยาวแก้ต่างแทน‘พท.’ ทุบเปรี้ยง 4 เดือนไม่‘ยุบสภา’

ชำแหละ‘รัฐบาลอนุทิน’ในมุม‘ณัฐวุฒิ’ ร่ายยาวแก้ต่างแทน‘พท.’ ทุบเปรี้ยง 4 เดือนไม่‘ยุบสภา’

วันอาทิตย์ ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2568, 08.33 น.

ชำแหละ‘รัฐบาลอนุทิน’ในมุม‘ณัฐวุฒิ’ ร่ายยาวแก้ต่างแทน‘พท.’ ทุบเปรี้ยง 4 เดือนไม่‘ยุบสภา’

7 กันยายน 2568 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊ก ระบุว่า…


รัฐบาลพรรคภูมิใจไทยชุดนี้ตั้งขึ้นตามระบบรัฐสภา การตั้งเงื่อนไขและตัดสินใจเลือกของพรรคประชาชน เป็นสิทธิ์ที่ทุกคนต้องเคารพและยอมรับ

แต่ผลที่เกิดขึ้นจากรัฐบาลที่ตั้งโดยเงื่อนไขพิสดารเช่นนี้ คาดหวังความสำเร็จยากมาก และพรรคประชาชนในฐานะคะแนนเสียงหลักของการตั้งรัฐบาล จะปฏิเสธความรับผิดชอบทางการเมืองไม่ได้

พรรคเพื่อไทยเองก็ถูกตั้งคำถามว่า เมื่อครั้งตั้งรัฐบาลข้ามขั้วก็ไปจับกับภูมิใจไทย จับกับพรรคลุงทั้งหลาย ดังนั้นคราวนี้ก็ไม่มีอะไรต่างกัน

ผมว่าดูดีๆ ต่างกันชัดเลย

ตอนนั้นเพื่อไทยตั้งรัฐบาล ถูกคนวิจารณ์ต่อว่าก็ต้องรับฟัง แต่เป็นการตั้งรัฐบาลหลังจากโหวตให้คุณพิธาแล้ว 2 รอบไม่สำเร็จ

เพื่อไทยจึงตั้งรัฐบาลเอาคนของตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ได้ยกมือให้ลุงที่ไหนมีอำนาจเข้าไปทำหน้าที่ ซึ่งไม่เหมือนกับรัฐบาลปัจจุบันที่พรรคประชาชนยกมือให้พรรคภูมิใจไทยเป็นรัฐบาล

จัดตั้งรัฐบาลอนุรักษ์นิยมขึ้นมาใหม่ โดยที่ตัวเองไปทำหน้าที่ฝ่ายค้าน

บทบาทของพรรคประชาชนจึงไม่ใช่แค่แบกคุณอนุทินเป็นนายกฯ แต่ต้องหามองค์ประชุมสภาให้พรรคภูมิใจไทยด้วย เพราะตัวเลขคะแนนที่ภูมิใจไทยและพรรคร่วมรัฐบาลมีตอนนี้ไม่พอเป็นองค์ประชุม

นี่จึงเป็นเรื่องพิลึกพิลั่นในสภาชุดนี้ เพราะพรรคแกนนําฝ่ายค้านต้องเป็นองค์ประชุมและคอยสนับสนุนรัฐบาล

การประกาศในสภาของหัวหน้าพรรคประชาชน ชวนพรรคเพื่อไทยจับมือกันทําหน้าที่ฝ่ายค้านให้เข้มแข็ง ผมว่าไม่ใช่ เรื่องนี้พรรคเพื่อไทยไม่เกี่ยว เป็นเรื่องระหว่างพรรคประชาชนกับพรรคภูมิใจไทยไปว่ากันเอา

การทําหน้าที่พรรคฝ่ายค้านของเพื่อไทยก็ต้องทําอย่างจริงจัง เข้มแข็ง ชัดเจน แต่ไม่ได้รวมอยู่ในข้อตกลงระหว่าง 2 พรรคการเมืองนี้

เพื่อไทยจะนับองค์ประชุมเมื่อไหร่ก็ได้ เพื่อไทยจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีในประเด็นฮั้ว สว. ในประเด็นเขากระโดงตอนไหนก็ได้ โดยไม่จําเป็นต้องรอสัญญาณจากพรรคประชาชน

การบอกว่าในประวัติศาสตร์การเมืองไทยไม่เคยมีฝ่ายค้านครั้งใดเข้มแข็งที่สุดเท่าครั้งนี้ เป็นความจริง เพราะถ้ามีฝ่ายค้านเข้มแข็งขนาดนี้ เขาจะเปลี่ยนรัฐบาล ไม่ใช่ประคองรัฐบาล

นี่จึงเป็นการตั้งรัฐบาลที่พรรคประชาชนใช้คะแนนเสียงของตัวเองส่งคุณอนุทินเป็นนายกฯ  แต่ไม่สามารถจะล้มหรือควบคุมรัฐบาลชุดนี้เพียงลําพังตัวเองได้

ดีลตั้งรัฐบาลนี้ ภูมิใจไทยได้อย่างเดียว ได้เพียวเพียว ได้ล้วนล้วน ที่เหลือมาเสี่ยงมาลุ้นเอา ทั้งพรรคสีส้มและประชาชนทั้งประเทศ

การให้เหตุผลว่าต้องตั้งรัฐบาลพรรคภูมิใจไทยเพราะพรรคเพื่อไทยขาดความชัดเจน ผมว่าต้องดูดีๆ

แม้ว่าในช่วงของการตกลงเงื่อนไขอาจจะมีไม่ตรงกันอยู่บ้าง แต่ในที่สุดเพื่อไทยประกาศความชัดเจนโดยการยื่นยุบสภาไปแล้ว นั่นหมายความว่าเพื่อไทยโชว์ของ รัฐบาลโดยคุณภูมิธรรมดําเนินการยุบสภาไปตามขั้นตอนแล้วแต่ไปไม่ถึงดวงดาว ถูกตีกลับมา

มีคำถามอีกว่า แล้วทำไมไม่ยืนยันไปอย่างถึงที่สุด?

ผมว่าคนถามก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันไปไม่ได้ ยื่นไปยังไงก็ไปไม่ถึง พรรคเพื่อไทยเลยประกาศโดยอาจารย์ชัยเกษมว่าพร้อมยุบสภาทันที

หมายความว่ากลับมาขอเครื่องมือจากพรรคประชาชน โดยการโหวตชัยเกษมเป็นนายกฯ เพื่อยุบสภาตามที่ประกาศไว้ แต่พรรคประชาชนบอกว่า พี่มาช้าไป

สำหรับผมการตัดสินใจเพื่อประชาชนทั้งประเทศ ไม่มีคำว่าสาย และต้องพิจารณาทางเลือกได้จนนาทีสุดท้าย

อย่างที่ผมบอกว่าสถานการณ์หลังจากนี้จะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน สังคมไทยและพัฒนาการของระบอบประชาธิปไตยจะอยู่ในช่วงเสี่ยงดวงวัดใจ ว่าภูมิใจไทยจะทำตามเงื่อนไขหรือไม่? และหากไม่ทำตามเงื่อนไข สถานการณ์มันจะไปในทิศทางไหน?

ดังนั้น เพื่อให้ความชัดเจน ให้หลักประกันกับประชาชน ผมจึงขอเรียกร้องหัวหน้าเท้ง ในฐานะผู้นำพรรคฝ่ายดีล ยกมือเสนอคุณอนุทินในวันแถลงนโยบายต่อที่ประชุมรัฐสภาให้ประกาศวันยุบสภาทันที

รัฐบาลชุดนี้ตามเงื่อนไขที่เขาตกลงกันไว้ สามารถกำหนดวันยุบสภาล่วงหน้าได้นับตั้งแต่วันแถลงนโยบาย เช่น ถ้าคุณอนุทินแถลงนโยบายในวันที่ 15 กันยายน 2568 การยุบสภาจะเกิดขึ้นไม่เกินวันที่ 15 มกราคม 2569 

ดังนั้น ทันทีที่คุณอนุทินแถลงนโยบายเสร็จ คุณณัฐพงศ์ หัวหน้าพรรคประชาชน จึงควรยกมือขึ้นและเรียกร้องคุณอนุทินประกาศต่อที่ประชุมรัฐสภา ประกาศต่อประชาชน ว่าจะยุบสภาไม่เกิน 15 มกราคม

เร็วกว่านั้นไม่เป็นไร ช้ากว่านั้นก็ต้องถามพรรคประชาชน ว่าจะเอายังไง?

คะแนนโหวตคุณอนุทินเป็นนายกออกมาทั้งหมด 311 คะแนน หักเป็นของพรรคสีส้ม 143 คะแนน ที่เหลือเป็นคะแนนของพรรคภูมิใจไทยและชาวคณะ

นั่นหมายความว่า มีคะแนนเพิ่มขึ้นจากเดิมที่สื่อมวลชนรายงานว่า 146 บวกมาอีก 22 คะแนน

คำถามจึงอยู่ที่เงื่อนไขข้อ 4 ที่เซ็นกันไว้

พรรคประชาชนไม่ยินยอมให้พรรคภูมิใจไทยสะสมกำลัง เอาเสียงมาเพิ่มจนส่อว่าจะเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก 

22 คะแนนที่งอกขึ้นมาถือว่าผิดเงื่อนไขข้อ 4 แล้วหรือยัง?

และถ้ายัง ตัวเลขที่บอกว่าเป็นการผิดเงื่อนไขคือตัวเลขเท่าไหร่ที่จะเพิ่มขึ้นมายกมือให้กับภูมิใจไทย เช่น การผ่านร่างกฎหมายต่างๆ นับจากนี้

รัฐบาลชุดนี้คือการพลิกฟื้นขึ้นมายืนเหนือของพลังฝ่ายอนุรักษ์นิยม ระหว่างทางของการตกลงกันมีเรื่องน่าสังเกตมากมาย เช่น การแต่งตั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่หนังสือของวุฒิสภากับราชกิจจานุเบกษาลงวันที่แต่งตั้งไม่ตรงกัน การยื่นยุบสภาที่ถูกตีย้อนกลับ การปรากฏขึ้นของบุคคลพิเศษ พลังพิเศษ ผ่านการรายงานของสื่อมวลชนหลายๆ รายการ

การที่คนแบบร้อยเอกธรรมนัสตอบคำถามถึงเหตุผลที่ต้องย้ายข้างว่าพูดไม่ได้ สิ่งเหล่านี้อยู่ในความสนใจขบคิดของผู้คน

แต่ดูเหมือนว่าไม่ได้อยู่ในความสนใจของพรรคประชาชนหรืออย่างไร?

สำหรับผมเชื่อว่า พลังอำนาจพิเศษเหล่านั้น คือ ตัวจริงในการจัดตั้งรัฐบาลนี้ โดยคะแนนเสียงของพรรคประชาชนถูกดึงเข้าไปในสมการ สีส้มไม่ใช่คนเดินหมาก แต่เป็นหมากที่เขาเดิน

อย่างไรก็ตามต้องเคารพและยอมรับการตัดสินใจของพรรคประชาชน ผลการลงคะแนนครบทุกคนทั้ง 143 เสียง

พรรคใหญ่กว่าคน ประชาชนใหญ่กว่าพรรค

พลังอนุรักษ์ใหญ่กว่าใครแล้วครับตอนนี้

นี่คือภาพหลายแง่มุมของการจัดตั้งรัฐบาลชุดนี้ที่ผมมองเห็น และเชื่อว่าเรื่องนี้จะเป็นข้อถกเถียงอภิปราย วิพากษ์วิจารณ์กันไปอีกยาวนาน

4 เดือนหลังจากนี้ รัฐบาลจะยุบสภาตามที่ประกาศไว้หรือไม่ หลายๆ คนก็เชื่อ

แต่ผมไม่เชื่อ

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top