ไม่มีเวลาฮันนีมูน!‘ซูเปอร์โพล’ชงข้อเสนอเชิงปฏิบัติการ 100 วัน จากเอกชนถึงรัฐบาลใหม่
7 กันยายน 2568 ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผู้ก่อตั้งสำนักวิจัยซูเปอร์โพล มูลนิธิสถาบันวิจัยความสุขชุมชน เปิดเผยว่า การสำรวจนี้มุ่งทำความเข้าใจ “ประสบการณ์จริง” ของผู้ประกอบการขนาดเล็ก รายย่อย ไม่เป็นทางการ และกิจการครัวเรือน ต่อภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน นโยบายที่ต้องการเร่งด่วน ความคิดเรื่องการเมือง และความหวังต่อพรรคการเมืองหลากหลายขนาด ภายใต้บริบทที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล เข้ารับบทบาทนายกรัฐมนตรี ผลสำรวจจัดทำโดยสำนักวิจัยซูเปอร์โพล เก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 6–7 กันยายน 2568 จากตัวอย่าง 485 รายทั่วประเทศ โดยรายงานฉบับนี้สังเคราะห์เชิงวิชาการ พร้อมวิเคราะห์และนำเสนอข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อการตัดสินใจของผู้กำหนดนโยบายและสาธารณะอย่างสร้างสรรค์และตรวจสอบได้ ที่ไม่มีเวลาฮันนีมูนของรัฐบาลใหม่
#ภูมิทัศน์ปัญหาของผู้ประกอบการฐานราก
ผู้ก่อตั้งซูเปอร์โพล กล่าวต่อว่า จากการสำรวจ พบว่าปัญหาเชิงโครงสร้างที่ถาโถมผู้ประกอบการมีลำดับความถี่ชัดเจน เริ่มจาก “สภาพขาดเงินทุนหมุนเวียน” สูงสุดที่ร้อยละ 69.2 ตามด้วย “หนี้สะสมสูง” ร้อยละ 63.5 และ “ยอดขายลด ลูกค้าเงียบเหงา” ร้อยละ 58.8 ปัญหาต้นทุนสูงหลายรายการค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ และค่าน้ำมันปรากฏมากถึงร้อยละ 56.9 ขณะที่ข้อจำกัดเชิงระบบราชการยังเป็นอุปสรรคสำคัญ (ร้อยละ 48.1) การเข้าถึงแหล่งทุนโครงการรัฐทำได้ยาก (ร้อยละ 43.7) และความเสี่ยงบนโลกดิจิทัล เช่น มิจฉาชีพและอาชญากรรมไซเบอร์ ยังคงกดทับโอกาสทางการค้าของรายย่อย (ร้อยละ 29.7) ตัวเลขทั้งชุดสะท้อน “สามประตูคอขวด” ของฐานราก นั่นคือ สภาพคล่อง–ต้นทุน–อุปสรรคเชิงระบบ ซึ่งสัมพันธ์โดยตรงกับความมั่นคงทางรายได้ของครัวเรือนผู้ประกอบการ
#ทัศนะต่อผู้นำรัฐบาลใหม่ ความไว้วางใจเชิงประสิทธิผล
เมื่อพิจารณาว่าภายใต้สภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน ผู้ตอบ “สนับสนุน” นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรีเพียงใด พบว่า สัดส่วน “สนับสนุนค่อนข้างมากถึงมากที่สุด” อยู่ที่ร้อยละ 65.8 สะท้อนความคาดหวังเชิงประสิทธิผลต่อการจัดการปัญหาปากท้องและบริหารสถานการณ์ กระแส “ปานกลาง” อยู่ที่ร้อยละ 15.3 และ “สนับสนุนน้อยถึงไม่สนับสนุนเลย” ที่ร้อยละ 18.9 แสดงความสอดคล้องของการแจกแจงและความเที่ยงตรงของมาตรวัด การตีความเชิงเนื้อหาบ่งชี้ว่า ฐานผู้ประกอบการเห็นความเป็นไปได้ของ “นโยบายสำคัญเดินหน้าเร็ว” และประสบการณ์เชิงผู้นำ–บริหารเป็นเงื่อนไขสำคัญของความไว้วางใจ
#นโยบายที่ต้องการอย่างเร่งด่วน ทิศทาง “เงินลงชุมชนเร็ว–ต้นทุนลดไว–ตลาดขยายทันที”
ผู้ก่อตั้ง ซูเปอร์โพล กล่าวต่อด้วยว่า เสียงของผู้ตอบสะท้อนทิศทางนโยบายที่คมชัด เริ่มจาก “กระตุ้นกำลังซื้อด้วยโครงการคนละครึ่ง เน้นร้านค้าย่อย–ร้านชุมชน” ได้สัดส่วนเห็นด้วยสูงสุด ร้อยละ 79.3 ตามด้วย “กองทุนเครดิตย่อยเพื่อชุมชน วงเงินหลักหมื่น–หลักแสน ดอกเบี้ยต่ำ” ร้อยละ 74.2 และ “กระตุ้นแหล่งท่องเที่ยวชุมชน–ยกระดับโฮมสเตย์–หนุนวิสาหกิจชุมชน” ร้อยละ 70.6 ด้านมาตรการช่วยบริหารหนี้ เช่น “พักชำระเงินต้นหนี้ธุรกิจรายย่อย” ได้รับการตอบรับร้อยละ 68.4 ขณะที่ “ลดค่าสาธารณูปโภค (น้ำ–ไฟ–โทรฯ–เชื้อเพลิง)” อยู่ที่ร้อยละ 62.1 และ “การพัฒนาทักษะการตลาดออนไลน์” ซึ่งเป็นตัวเร่งฝั่งอุปสงค์เชิงดิจิทัล อยู่ที่ร้อยละ 39.8 ชุดนโยบายดังกล่าวมีแก่นเดียวกันคือ “ลดความฝืดของเงินสดและต้นทุน พร้อมเพิ่มช่องทางขาย” ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ผู้ประกอบการเชื่อว่า “ทำได้จริงและเห็นผลในระยะสั้น”
#ความคิดเรื่องการเมือง ความต้องการ “ตัวแทนที่เข้าถึงได้–ทำงานเร็ว–แก้ปัญหาเชิงระบบ”
“ในมิติความคิดทางการเมือง ผู้ตอบจำนวนมาก “ไม่เชื่อมั่นในพรรคการเมืองใหญ่ที่เคยเลือก” คิดเป็นร้อยละ 60.2 พร้อมกับ “ไม่มีผู้แทนทางการเมืองของกลุ่มธุรกิจที่คอยช่วยเหลือได้รวดเร็วฉับไว” ร้อยละ 57.8 และ “รู้สึกว่าเสียงของตนไม่มีความสำคัญต่อรัฐบาล” ร้อยละ 56.1 ความกังวลว่าจะถูกทอดทิ้งและความไม่มั่นคงทางธุรกิจยังคงสูง (ร้อยละ 54.9) จึงตามมาด้วยความต้องการ “พรรคการเมืองที่เข้าถึงได้ง่าย” ถึงร้อยละ 49.6 ภาพรวมนี้บ่งชี้ “ช่องว่างตัวแทน” ที่พรรคการเมืองใดสามารถเข้าไปทำงานเชิงพื้นที่เชิงชุมชนได้จริง ย่อมมีโอกาสได้รับความไว้วางใจเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ” ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผู้ก่อตั้งซูเปอร์โพล กล่าว
#ความหวังต่อพรรคการเมือง อันดับแรกนำโดยภูมิใจไทย และ “พรรคเล็ก” ในฐานะทางเลือกสำรองที่เติบโตได้
ผู้ก่อตั้ง ซูเปอร์โพล ระบุด้วยว่า เมื่อจัดอันดับ “พรรคการเมืองที่มีกำลังแก้เศรษฐกิจ” โดยจำแนกระหว่าง “พรรคขนาดใหญ่” กับ “พรรคขนาดเล็ก/ใหม่” (ตอบได้มากกว่า 1 พรรค) พบว่า ฝั่งพรรคใหญ่ พรรคภูมิใจไทย (นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค) นำโด่งที่ร้อยละ 38.9 สะท้อนความเชื่อมั่นเชิงนโยบายเร่งด่วน ตามด้วย “พรรคประชาชน (นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรค)” ร้อยละ 28.1 และ “พรรคเพื่อไทย (นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรค)” ร้อยละ 19.3 ขณะเดียวกัน ฝั่งพรรคเล็ก/ใหม่ ปรากฏ “พรรคปวงชนไทย (นายเอกสิทธิ์ คุณานันทกุล หัวหน้าพรรค)” ในฐานะ “ความหวังรอง” ที่ร้อยละ 4.1 ตามด้วย “พรรคไทยสร้างไทย (คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์)” ร้อยละ 3.6 และ “พรรคไทยก้าวใหม่ (ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หัวหน้าพรรค)” ร้อยละ 3.1 โครงสร้างผลลัพธ์นี้ชี้ว่าประชาชนให้ “ความหวังอันดับ 1” กับพรรคแกนหลักที่คาดว่าจะขับเคลื่อนนโยบายได้รวดเร็ว แต่ในเวลาเดียวกันก็ “เปิดรับ” พรรคเล็กที่เข้าถึงผู้ประกอบการจริง โดยเฉพาะเมื่อมีแพ็กเกจนโยบายและกลไกลงสู่ชุมชนที่จับต้องได้ใน 30–100 วัน
#ความหมายเชิงนโยบายและนัยต่อการบริหาร
รายงานของซูเปอร์โพล ระบุว่า ภาพรวมตัวเลขทั้งสี่มิติปัญหาเชิงโครงสร้าง, การสนับสนุนผู้นำ, นโยบาย ที่ต้องการ, และความหวังต่อพรรคสอดประสานกันอย่างมีเหตุผล นัยสำคัญคือฐานราก “ต้องการของจริง” ที่อธิบายได้ด้วยตรรกะทางเศรษฐกิจรายย่อย ลดต้นทุนคงที่และผันแปร, เติมสภาพคล่องต้นน้ำ, และขยายช่องทางขายปลายน้ำผ่านตลาดชุมชนและดิจิทัล ผลที่พบว่ากลุ่มตัวอย่าง “สนับสนุนนายอนุทิน” ในระดับสูง (65.8%) เข้ากันได้กับการจัดอันดับ “ภูมิใจไทย” ในฐานะพรรคที่ประชาชนหวังพึ่งแก้เศรษฐกิจ (38.9%) ขณะเดียวกัน ระดับ “ไม่เชื่อมั่นพรรคใหญ่ที่เคยเลือก” (60.2%) และ “ต้องการพรรคที่เข้าถึงง่าย” (49.6%) เปิดพื้นที่ให้ “พรรคเล็ก/ใหม่” โดยเฉพาะพรรคที่แสดงบทบาทจับต้องได้กับผู้ค้ารายย่อยเติบโตเป็น “ตัวเลือกสำรอง” ที่ทรงศักยภาพในรอบปีข้างหน้า ในเชิงการสื่อสารนโยบาย ผลสำรวจยืนยันกรอบ “เงินลงชุมชนเร็ว-ต้นทุนลดไว-ตลาดเพิ่มทันที” ผ่าน 3 คันโยก ได้แก่ (1) คนละครึ่ง เวอร์ชันร้านเล็กและตลาดชุมชน (เห็นด้วย 79.3%), (2) เครดิตย่อยดอกเบี้ยต่ำ และ/หรือ “พักเงินต้นแบบคัดกรอง” (74.2%/68.4%), และ (3) ท่องเที่ยวชุมชน ยกระดับโฮมสเตย์ (70.6%) โดยมี ไฟฟ้า น้ำ โทรฯ เชื้อเพลิง เป็นเสาหลักของการลดต้นทุน (62.1%) หากรัฐบาลใหม่เร่งกลไกเหล่านี้ “ถึงมือ” ผู้ประกอบการอย่างรวดเร็ว ความไว้วางใจย่อมยกระดับต่อเนื่องด้วยหลักฐานจากหน้างาน
#ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและการบริหาร (เชิงปฏิบัติการ 100 วัน) ต่อฝ่ายการเมือง ไม่มีเวลาฮันนีมูน
ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผู้ก่อตั้ง ซูเปอร์โพล ระบุว่า เมื่อกรอบเวลาของรัฐบาลใหม่ที่นำโดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล มีกรอบเวลาที่จำกัด จึงได้จัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและการบริหารเชิงปฏิบัติการ 100 วัน ต่อฝ่ายการเมือง ดังนี้
1.ตั้งกลไก “One-Stop MSME ฐานราก” ระดับอำเภอ คุม 3 เรื่องหลักเข้าถึงเครดิตย่อย, บริหารหนี้ด้วยเงื่อนไขยืดหยุ่น, และสิทธิลดต้นทุนสาธารณูปโภคให้จบในจุดเดียว เพื่อตอบโจทย์ “ติดขัดกฎระเบียบ” และ “เข้าถึงแหล่งทุนรัฐยาก” ที่พบสูงถึง 48.1% และ 43.7% ตามลำดับ
2.ขับเคลื่อน “คนละครึ่ง-ตลาดชุมชน” ควบคู่ “คอนเทนต์การตลาดออนไลน์ฉบับมือใหม่” บูรณาการฝั่งดีมานด์-ซัพพลาย โดยใช้ชุดเนื้อหาและโค้ชอาสาจังหวัด เพื่อลดช่องว่างทักษะดิจิทัล (39.8%)
3.เปิด “เส้นทางท่องเที่ยวชุมชน 365” ให้ชุมชนมีเมนูรายได้ตลอดปี ยึดผลสำรวจที่หนุนถึง 70.6% และเชื่อมกับการยกระดับมาตรฐานโฮมสเตย์และสินค้าท้องถิ่น
4.จัดการต้นทุนพลังงานรายย่อยแบบมีเป้า ผ่านเพดานอัตรา/คูปองประหยัดพลังงานและมาตรการร่วมภาคเอกชน ณ จุดใช้ไฟของกิจการเล็ก ลดแรงกดดันคงที่ซึ่งผู้ตอบสะท้อนถึง 56.9%
5.สร้าง “พื้นที่พิสูจน์ผลงาน” สำหรับพรรคเล็ก/ใหม่ โดยเฉพาะพรรคที่มีบทบาทเชื่อมฐานรากจริง เช่น การเข้าร่วมโครงการระดับอำเภอและตั้งเป้าผลลัพธ์ที่วัดได้ใน 30-100 วัน จะช่วยแปลง “ความหวังรอง” ให้เป็น “ความไว้วางใจถาวร” ตามแนวโน้มที่ปรากฏ
กล่าวโดยสรุป ผลสำรวจของซูเปอร์โพลชุดนี้มิได้บอกเล่าเพียง “ความเห็น” ของผู้ประกอบการฐานราก แต่ถอด “พิมพ์เขียวการแก้ปัญหา” อย่างเป็นระบบ ตั้งแต่คอขวดสภาพคล่อง ต้นทุน ระเบียบ ไปจนถึงคันโยกเชิงนโยบายที่ประชาชนต้องการและเชื่อว่าทำได้จริง เมื่อนำมาพิจารณาร่วมกับระดับการสนับสนุนนายกรัฐมนตรีและอันดับความหวังต่อพรรคการเมือง จะเห็นเส้นทางเดินงานที่ชัดและตรวจสอบได้ หากรัฐบาลและกลไกการเมืองทุกระดับเร่ง “ทำ โชว์ วัดผล” ตามโจทย์ที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเสนอไว้ในผลสำรวจนี้ ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจฐานรากย่อมมีแนวโน้มฟื้นตัว และความไว้วางใจทางการเมืองจะติดตามมาโดยธรรมชาติ
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี