ไฟแรง!‘เพื่อไทย’ขู่เปิดซักฟอก‘อนุทิน’ หากแทรกแซง‘คดีเขากระโดง-ฮั้ว สว.’

ไฟแรง!‘เพื่อไทย’ขู่เปิดซักฟอก‘อนุทิน’ หากแทรกแซง‘คดีเขากระโดง-ฮั้ว สว.’

วันอาทิตย์ ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2568, 11.18 น.

ไฟแรง!‘เพื่อไทย’ยันพร้อมทำหน้าที่ฝ่ายค้านตรวจสอบรัฐบาลตั้งแต่วินาทีแรก ลั่นหากเห็นความพยายามแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมทั้ง‘ที่ดินเขากระโดง-ฮั้ว สว.’พร้อมเข้าชื่อซักฟอกแม้ยังไม่ครบกำหนด 4 เดือนตามบันทึกข้อตกลงส้ม-น้ำเงิน ย้อน‘ปชน.’กลับไปทบทวนความหมายฝ่ายค้านที่เข้มแข็ง แนะเติมคำต่อท้ายคำขวัญพรรค‘พรรคใหญ่กว่าคน ประชาชนใหญ่กว่าพรรค อนุรักษ์นิยมใหญ่กว่าใคร’

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 7 กันยายน 2568 ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อ และรองโฆษกพรรค พท. แถลงถึงกรณีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ว่า พรรค พท.ขอแสดงความยินดีกับรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของนายอนุทินชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ที่ได้รับการลงมติจากเสียงส่วนใหญ่ในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งแม้วันนี้พรรค พท.จะไม่ได้เป็นพรรครัฐบาลแล้ว แต่ขอยืนยันว่าเราจะเดินหน้าทำงานต่อในฐานะพรรคฝ่ายค้านภายใต้หลักการของระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา และเราพร้อมเริ่มงานตั้งแต่วินาทีแรกที่รัฐบาลชุดใหม่เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ


น.ส.ขัตติยา กล่าวต่อว่า ขอยืนยันว่าประเด็นสำคัญที่รัฐบาลเพื่อไทยดำเนินการอยู่ตลอดจะไม่สูญเปล่าคือ การดำเนินคดีกับการบุกรุกที่ดินเขากระโดง และการตรวจสอบการฮั้วการเลือกตั้งสว. ซึ่งเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสำคัญและจับตามองว่ามีความเกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองที่ปัจจุบันเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ ซึ่งพรรคพท.จะตรวจสอบและจับตาทุกฝีก้าวว่ารัฐบาลชุดใหม่นี้จะดำเนินการกับสองเรื่องนี้อย่างไร 

น.ส.ขัตติยา กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ หากเราพบว่ามีความพยายามที่จะแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมโดยการเข้าไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือทำให้คดีมีความล่าช้า พรรค พท.จะใช้ทุกช่องทางการตรวจสอบที่มีอยู่เพื่อเป็นการหยุดยั้งการกระทำดังกล่าว เพื่อเป็นการรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติและเพื่อธำรงไว้ซึ่งหลักการประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาและหลักนิติรัฐ ทั้งนี้ หากเมื่อใดก็ตามที่เราเห็นว่ามีความพยายามที่จะเสแสร้งกระบวนการยุติธรรมทั้งในกรณีของการบุกรุกที่ดินเขากระโดง และการฮั้วเลือกตั้ง สว. พรรค พท.พร้อมเข้าชื่อเพื่อเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีโดยทันทีแม้ว่าจะยังไม่ครบกำหนด 4 เดือนตามบันทึกข้อตกลงส้มน้ำเงิน

“ขอบอกว่าความยุติธรรมต้องไม่ถูกซื้อ ความจริงต้องไม่ถูกปกปิดและอำนาจต้องถูกตรวจสอบ แม้รัฐบาลภูมิใจไทยชุดนี้จะมาตามระบบรัฐสภาก็ตามผ่านการตัดสินใจยกมือของพรรคประชาชนแต่ภายใต้เงื่อนไขพิสดารเช่นนี้ ย่อมยากที่จะคาดหวังในการบริหารประเทศภายใต้พรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาชนในฐานะที่เป็นคะแนนเสียงหลัก ของการตั้งรัฐบาลชุดนี้ย่อมไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบทางการเมืองได้” น.ส.ขัตติยา กล่าว

น.ส.ขัตติยา กล่าวด้วยว่า หลายคนอาจตั้งคำถามว่าการตั้งรัฐบาลชุดนี้แตกต่างอย่างไรกับรัฐบาลของพรรค พท.เมื่อปี 2566 ตนขอเรียนว่าการตั้งรัฐบาลทั้งสองครั้งนั้นมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะพรรค พท.ในฐานะพรรคอันดับสอง เราเคยยกมือสนับสนุนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ให้เป็นนายกรัฐมนตรีถึงสองครั้งเต็มๆ และพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ก็ได้ส่งไม้ต่อให้พรรค พท. ในการจัดตั้งรัฐบาลแต่เมื่อเมื่อไปเจรจาเพื่อหาคะแนนเสียงเพิ่มเติมจากพรรคอื่นทุกพรรคกลับปฏิเสธที่จะร่วมรัฐบาลกับพรรค ก.ก. โดยพรรคแรกที่ปฏิเสธคือพรรค ภท. ดังนั้น พรรค พท. เราจึงต้องเดินหน้าต่อในการจัดตั้งรัฐบาลโดยการไม่มีพรรค ก.ก. เข้าร่วม และจัดตั้งรัฐบาลโดยมีนายกรัฐมนตรีที่มาจากพรรค พท. เป็นแกนนำตั้งรัฐบาล โดยแตกต่างอย่างมีนัยยะสำคัญกับสิ่งที่พรรคประชาชน (ปชน.) ได้ทำในวันนี้คือ ยกมือสนับสนุนให้พรรค ภท. เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลอนุรักษ์นิยมที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา ไม่รวมรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร

น.ส.ขัตติยา กล่าวต่อว่า การตั้งรัฐบาลนี้สำเร็จบทบาทของพรรค ปชน. ไม่ได้จบเพียงเท่านี้ ไม่ได้จบเพียงแค่การเลือกนายกรัฐมนตรี แต่ยังต้องทำหน้าที่เป็นองค์ประชุมให้พรรค ภท.ด้วย ซึ่งถือเป็นสิ่งผิดปกติของการทำหน้าที่พรรคฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร แม้ว่านายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรค ปชน. จะประกาศเชิญชวนให้พรค พท.มาทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างเข้มแข็ง แต่ขอยืนยันว่าพรรค พท.ไม่เคยเป็นฝ่ายค้านที่อ่อนแอ

น.ส.ขัตติยา กล่าวอีกว่า นับจากวันนี้ ตนอยากให้พรรค ปชน. ได้ทบทวนความหมายของการเป็นฝ่ายค้านอย่างเข้มแข็งอีกครั้งว่า ฝ่ายค้านที่เข้มแข็งนั้นควรทำหน้าที่เป็นผู้ประคองรัฐบาลหรือ เป็นผู้คานอำนาจของรัฐบาลกันแน่ เพราะฝ่ายค้านที่แท้จริงไม่ใช่ผู้ประคองรัฐบาล แต่เป็นตัวแทนของประชาชนที่จะต้องทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล

“คำขวัญของพรรคประชาชนคือ พรรคใหญ่กว่าคน ประชาชนใหญ่กว่าพรรค ดิฉันเห็นว่าวันนี้ควรจะมีคำต่อท้ายว่า พรรคใหญ่กว่าคน ประชาชนใหญ่กว่าพรรค อนุรักษ์นิยมใหญ่กว่าใคร เราอยากเห็นพรรคประชาชนที่วันนี้ยังไม่มีความชัดเจนเลยว่าจะเป็นฝ่ายค้านเต็มตัวหรือเป็นฝ่ายค้านครึ่งบกครึ่งน้ำ ซึ่งจะได้ร่วมตรวจสอบรัฐบาลอย่างจริงจังเพื่อสร้างมาตรฐานการเมืองที่โปร่งใส” น.ส.ขัตติยา กล่าว

น.ส.ขัตติยา กล่าวต่อว่า สำหรับประเด็นที่นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค ปชน. ให้สัมภาษณ์ว่าพรรค ปชน.โหวตให้นายอนุทิน เป็นนายกรัฐมนตรีเพราะเป็นการฝ่าทางตัน และเพื่อป้องกันไม่ให้มีการเสนอชื่อพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งนั้น ขอยืนยันว่าพรรคปชน.ต้องเลิกจินตนาการ และต้องเริ่มสร้างทางตันเทียมมาเป็นข้ออ้าง เพราะสำหรับพรรค พท.แล้ว การเลือกพล.อ.ประยุทธ์ ที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นองคมนตรีนั้น ไม่เคยมีอยู่ในสมการของพรรค พท. แต่อย่างใด และพรรค พท.ยืนยันมาตลอดว่าเรายังมีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอีกหนึ่งคนคือนายชัยเกษม นิติสิริ ซึ่งนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงต้องมีการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี 3 คน

น.ส.ขัตติยา กล่าวด้วยว่า แม้ตอนแรกเราจะถูกล้อเลียนว่าเป็นนายกฯ กล่องสุ่ม แต่วันนี้เป็นการพิสูจน์อย่างชัดเจนแล้วว่าการมีรายชื่อสำรองไว้ก็เพื่อเป็นการรองรับกลไกของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 และเพื่อป้องกันไม่ให้มีทางตันเกิดขึ้น ขอย้ำว่าขณะนี้พรรค พท.ยังแข็งแรง เราพร้อมทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านอย่างเต็มกำลัง เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและเพื่อพี่น้องประชาชน เราจะไม่ยอมให้กระบวนการประชาธิปไตยถูกบิดเบือน และจะทำทุกวิถีทางเพื่อรักษามาตรฐานการเมืองที่โปร่งใส

“รัฐบาลอาจเปลี่ยนขั้ว แต่พรรคเพื่อไทยไม่เปลี่ยนหัวใจ เพราะหัวใจของเรายืนอยู่ข้างประชาชนเสมอ” น.ส.ขัตติยา กล่าว

-005

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top