DSIลุยคดีฮั้วสว.  พยานรู้เห็นเปิดปากสารภาพ  ยอมรับเงินเป็นโหวตเตอร์

DSIลุยคดีฮั้วสว. พยานรู้เห็นเปิดปากสารภาพ ยอมรับเงินเป็นโหวตเตอร์

วันจันทร์ ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

“ดีเอสไอ” ยันไม่ถือเป็นข้อหนักใจ ถึงแม้การเมืองจะมีการเปลี่ยนแปลง เดินหน้าทำคดีฮั้ว-ฟอกเงิน สว. ตามพยานหลักฐานและกรอบอำนาจหน้าที่ในกรอบกฎหมาย เผยพยานรู้เห็นคดีฮั้ว สว.รับสารภาพ เปิดปากรับเงินเป็นโหวตเตอร์พลีชีพ ขณะที่ “พยานจังหวัดบุรีรัมย์” 24 ราย ยังเงียบกริบยกกลุ่ม ด้านพนักงานสอบสวนดีเอสไอ ระบุภายในเดือนก.ย.กระจาย 45 จังหวัด ไล่สอบปากคำพยาน 1,200 ราย ให้เสร็จ

เมื่อวันที่ 7 กันยายนผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 24/2568 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กรณีตรวจสอบขบวนการอั้งยี่ ฟอกเงิน สว. เปิดเผยความคืบหน้าการสอบสวนคดีว่า หลังอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ มอบหมายพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจาก 10 กองคดี ประกอบด้วย กองคดีทรัพยากรธรรม ชาติและสิ่งแวดล้อม กองคดีการเงินการธนาคารและการฟอกเงิน กองคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ กองคดีความมั่นคง กองคดีภาษีอากร กองคดีคุ้มครองผู้บริโภค กองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ กองคดีทรัพย์สินทางปัญญา กองคดีค้ามนุษย์ และกองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบร่วมกันดำเนินการสอบสวนปากคำพยานทั้ง 1,200 รายนั้น พบว่ามีพยานหลักฐานเชื่อได้ว่ามีขบวนการจัดตั้งขึ้นมาเพื่อให้ไปสมัครวุฒิสภา (สว.) โดยไม่ลงคะแนนให้ตัวเอง แต่เพื่อไปเลือกลงคะแนนให้บุคคลอื่นที่จัดตั้งขึ้นหรือเรียกว่าโหวตเตอร์พลีชีพ


ก่อนหน้านี้ คณะพนักงานสอบสวนได้ออกหมายเรียกพยานไปแล้ว 72 ราย แต่มาเข้าพบพนักงานสอบสวนเพียง 18 ราย อาทิ พยาน 2 รายจาก จ.นครราชสีมาพยาน 5 รายจาก จ.อุบลราชธานี และพยาน 11 รายจาก จ.อำนาจเจริญ

จากการสอบสวนปากคำนั้น ภาพรวมพยานไม่ได้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อสำนวนคดี เช่น ให้การว่าตัวเองไม่เกี่ยวข้อง ไม่ได้รู้เห็นกับขบวนการ ไม่รู้เห็นเรื่องเส้นทางการเงิน อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีพยานบางส่วนจากพื้นที่จังหวัดหนึ่งให้การเป็นประโยชน์อย่างมาก โดยรับสารภาพว่าตนรับเงินจากคณะบุคคลเพื่อมาลงสมัครสมาชิกวุฒิสภา (สว.) แต่กำหนดหน้าที่เพียงแค่ให้ลงสมัครเพื่อเข้าไปโหวตคนอื่นให้เข้ารอบเท่านั้น

ทั้งนี้ คณะพนักงานสอบสวนเผยอีกว่าหากมองเฉพาะในส่วนของพยานในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ ที่มีการออกหมายเรียกไป 24 รายก่อนหน้านี้ ล่าสุดยังไม่มีใครเข้ามาพบพนักงานสอบสวน ซึ่งพนักงานสอบสวนมองว่าพยานอาจติดขัดเรื่องธุระใดๆ เราก็ไม่ไปเร่งรัดกดดัน แต่ต้องลงพื้นที่ไปพบพยานอีกครั้ง รวมถึงพยานในพื้นที่จังหวัดอื่นด้วยที่ยังขอเลื่อนไม่เข้าพบพนักงานสอบสวน ก็ต้องลงพื้นที่ซ้ำอีกครั้ง ซึ่งในกรณีการออกหมายเรียกพยาน หากมีหมายเรียกพยานครั้งที่สอง รวมถึงมีพฤติการณ์ไม่ให้ความร่วมมือ ขัดหมายเรียกพยาน พนักงานสอบสวนจะประมวลรายละเอียดทั้งหมด เนื่องจากพยานแต่ละรายอาจมีข้อจำเป็นที่แตกต่างกัน พยานแต่ละจังหวัดก็ไม่เหมือนกัน เพื่อจะได้พิจารณาแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่ เพื่อให้ตำรวจดำเนินคดีในส่วนการขัดหมายเรียกพยานต่อไป แต่ยืนยันว่าขณะนี้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษยังไม่มีการแจ้งความขัดหมายเรียกกับพยานรายใด ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าภายในเดือนกันยายนนี้ คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะสามารถทยอยสอบสวนปากคำพยาน 1,200 ราย ทั้ง 45 จังหวัดเสร็จสิ้น

คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษเผยตอนท้ายว่า แม้ว่าการเมืองจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร และมีการพุ่งเป้าถึงสำนวนคดีอั้งยี่ ฟอกเงิน สว. ของดีเอสไอว่าจะเป็นอย่างไรนั้น คณะพนักงานสอบสวนไม่ถือเป็นข้อหนักใจ ก็ต้องดำเนินการตามพยานหลักฐาน เพราะเราทำตามกรอบอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดไว้

ส่วนเรื่องคดีฮั้ว สว. ตามกฎหมายการเลือกตั้งที่ก่อนหน้านี้ดำเนินการโดยคณะอนุกรรมการสืบสวนและไต่สวน คณะที่ 26 ได้ส่งไปถึงชั้นที่ 2 (รับผิดชอบโดยรองเลขาธิการ กกต.ที่ได้รับมอบหมาย) ส่วนนี้ก็เป็นพยานหลักฐานคู่ขนานกับคดีอั้งยี่-ฟอกเงิน สว. ของดีเอสไอ ดังนั้น หากส่วนของกกต.มีความชัดเจนในกลุ่มของผู้ทำความผิด ก็เป็นเหมือนน้ำหนักค้ำยันพยานหลักฐานระหว่างสำนวนคดีอาญาได้ด้วย ซึ่งสำนวนคดีอั้งยี่-ฟอกเงินของดีเอสไอ หากพบหลักฐานผู้ทำความผิด ดีเอสไอสามารถทยอยส่งฟ้องแต่ละล็อตไปยังพนักงานอัยการคดีพิเศษก่อนได้ หรืออาจรวมเป็นสำนวนกลุ่มใหญ่ภาพรวมก็ได้ อย่างไรก็ดี เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจและอำนาจของอธิบดีดีเอสไอ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 28 สิงหาคมที่ผ่านมา มีรายงานจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ สรุปยอดหมายเรียกพยานคดีฮั้ว สว. 5 จังหวัดสำคัญในภาคอีสาน เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีหมายเรียกพยานทั้งสิ้น 72 ราย โดยมาเข้าพบพนักงานสอบสวนให้การเพียง 18 ราย แบ่งเป็น จ.บุรีรัมย์ 24 ราย ปรากฏว่าไม่มีพยานรายใดเข้าพบพนักงานสอบสวน ส่วน จ.นครราชสีมา 2 ราย มีมาเข้าพบพนักงานสอบสวนครบ ขณะที่จ.ชัยภูมิออกหมายเรียกไป 4 ราย ทราบว่ามีการขอเลื่อน ส่วนจ.อุบลราชธานีออกหมายเรียกไป 10 ราย มาเข้าพบพนักงานสอบสวนเพียง 5 ราย ส่วนจ.อำนาจเจริญออกหมายเรียก 32 ราย มาให้ปากคำเพียง 11 ราย

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top