‘สภาสูง’เสียงเอกฉันท์ ไฟเขียวหลักการ‘ร่างกม.ตั๋วร่วม’

‘สภาสูง’เสียงเอกฉันท์ ไฟเขียวหลักการ‘ร่างกม.ตั๋วร่วม’

วันจันทร์ ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2568, 14.27 น.

"สภาสูง"เสียงเอกฉันท์ ไฟเขียวหลักการ"ร่างกม.ตั๋วร่วม" ด้าน"กมธ.คมนาคม"แนะ 5 ประเด็นต้องแก้ไขในเนื้อหา ขณะที่"หมอเปรม"ชี้ 20 บาทตลอดสาย ใช้ไม่ทัน พ.ย.นี้

เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2568 ที่รัฐสภา มีการประชุมวุฒิสภา ที่มี นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. .... ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นชอบแล้ว โดยก่อนเริ่มพิจารณา นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) คมนาคม นำเสนอรายงานผลการศึกษาตอนหนึ่งว่า หลักการสำคัญของร่าง พ.ร.บ.มี 5 ประการ คือ 1.จัดทำมาตรฐานทางเทคโนโลยีของระบบตั๋วร่วมเพื่อให้ผู้ประกอบกิจการทุกหน่วยนำไปใช้ให้ประชาชนใช้บริการได้ด้วยบัตรเดินทางใบเดียว 2.ให้อำนาจ รมว.คมนาคม เพื่อออกกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าโดยสารร่วม 3.จัดตั้งกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม 4.การกำหนดสิทธิของผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตขอรับการสนับสนุนจากกองทุน และ 5.ในกรณีจำเป็นเพื่อรักษาการให้บริการ หรือประโยชน์ระบบตั๋วร่วม หรือป้องกันความเสียหายต่อสาธารณชน ให้ตราพระราชกฤษฎีกาโดยต้องเจรจาและทำความตกลงร่วมกับผู้ประกอบกิจการขนส่งสาธารณะที่จะถูกบังคับรวมถึงรับฟังความเห็นของประชาชนตามความเหมาะสม


"แนวทางการบังคับใช้กฎหมาย คือภาคสมัครใจกับผู้ประกอบการปัจจุบัน หากต้องการเข้าสู่ระบบตั๋วร่วมและต้องการได้รับสนับสนุนจากองทุนต้องขอรับใบอนุญาต แต่หากไม่ประสงค์เข้าสู่ระบบตั๋วร่วม สามารถดำเนินการได้ตามเดิม แต่ไม่มีสิทธิรับสนับสนุนจากกองทุน ทั้งนี้ เมื่อกฎหมายบังคับใช้ หน่วยงานรัฐต้องทำมาตรฐานเทคโนโลยีของระบบตั๋วร่วมเป็นเงื่อนไขสัญญาสัมปทาน สำหรับผู้ประกอบการรายใหม่ทุกราย แต่กรณีที่พิจารณาแล้วเห็นว่ามีความจำเป็นให้ระบบขนส่งสาธารณะต้องใช้ระบบตั๋วร่วม และต้องได้รับใบอนุญาตให้สามารถออกพระราชกฤษฎีกา" นายวุฒิชาติ อภิปราย

ประธาน กมธ.คมนาคม อภิปรายต่อว่า กมธ.มีข้อเสนอแนะที่ควรแก้ไขเพิ่มเติมร่างกฎหมาย คือ 1.เพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยให้ประธานสภาองค์กรรของผู้บริโภคเป็นกรรมการนโยบายระบบตั๋วร่วม อีก 1 ตำแหน่ง และเพิ่มจำนวนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจาก 3 คน เป็น 5 คน 2.แก้คุณสมบัติเรื่องอายุขั้นต่ำของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ให้สอดคล้องกับกฎหมายอื่นๆ รวมถึงรัฐธรรมนูญที่กำหนดอายุขั้นต่ำของนายกฯ ไว้ที่ 35 ปี เพื่อเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถด้านเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น 3.ต้องตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ขอรับใบอนุญาตอย่างละเอียดรอบคอบ โดยเฉพาะด้านสถานะทางการเงินและความมั่นคงในการประกอบธุรกิจ เพื่อป้องกันมิให้เกิดผลกระทบหรือความเสียหายต่อภาครัฐ 4.การส่งเสริมการแข่งขัน และการป้องกันการผูกขาด และการพัฒนาระบบเทคโนโลยีเพื่อรองรับการชำระเงินทางอิเล็กกรอนิกส์ (E-PAYMENT) ทั้งนี้ การกำหนดอัตราทุนจดทะเบียนในมูลค่าสูง และต้องชำระเต็มจำนวน อาจเป็นข้อจำกัดต่อการปฏิบัติและข้อต่อวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมการแข่งขันทางธุรกิจ และ 5.การกำหนดวาระของกรรมการที่กำหนดให้ เมื่อพ้นวาระไป 1 ปี สามารถกลับมาดำรงตำแหน่งได้อีก ทั้งนี้ ควรแก้ไขให้มีระยะเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี เพื่อความโปร่งใสและป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการอภิปรายของ สว.มีทิศทางสนับสนุนการออกกฎหมายดังกล่าว พร้อมเสนอแนะให้นำการดำเนินการพัฒนาระบบตั๋วร่วมจากต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จมาพิจารณากำหนดเป็นกฎหมาย เพื่อให้การปฏิบัติเกิดประโยชน์กับประชาชนและมีประสิทธิภาพต่อการบริการ และยังเสนอแนะให้เพิ่มความสะดวกให้ประชาชนในการใช้บริการ เช่น การจ่ายเงินผ่านระบบคิวอาร์โค้ด เป็นต้น

ขณะที่ นพ.เปรมศักดิ์ เพียรยุระ สว.อภิปรายสนับสนุนและเสนอแนะว่า นโยบาย 20 บาทตลอดสาย ที่รัฐบาลชุดที่แล้วประกาศจะทำให้ได้ภายในเดือน พ.ย.นี้ ซึ่งการกำหนดเวลาดังกล่าวเพื่อคะแนนนิยมทางการเมือง แต่เมื่อพิจารณาแล้วอาจทำไม่ทัน และภายใน 4 เดือนของนายกฯ คนใหม่ ตนกังวลว่าจะทำทันหรือไม่ หากทำไม่ทันต้องยืดเป็นกาารเลือกตั้งสมัยหน้า อย่างไรก็ดี เพื่อความรวดเร็วในการพิจารณาประสิทธิภาพของการทำกฎหมาย รวมถึงไม่ทำให้กฎหมายที่ต้องใช้ร่วมกันกับระบบตั๋วร่วม 3 ฉบับ ควรเป็น กมธ.ชุดเดียวกัน เพื่อให้ไม่มีปัญหาต่อการปฏิบัติ และทำนโยบาย 20 บางตลอดสาย ทำได้จริง

ขณะที่ นายอลงกต วรกี สว.อภิปรายว่า สำหรับการตั้งกองทุนสำหรับตั๋วร่วม ควรพิจารณาการจัดสรรงบเพื่อให้ดึงเป็นรายได้ของประชาชนในระบบ

หลังจากที่ประชุมได้อภิปรายแล้วเสร็จ ได้ลงมติรับหลักการเสียงเอกฉันท์ 155 เสียง และตั้ง กมธ.วิสามัญพิจารณาขึ้นมาพิจารณา ทั้งนี้ ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวเป็นร่างกฎหมายเกี่ยวกับการเงิน วุฒิสภาต้องพิจารณาให้เสร็จภายใน 30 วันนับแต่ที่รับร่าง พ.ร.บ.มาถึงวุฒิสภา ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 30 ก.ย.นี้

ขณะที่การประชุมวุฒิสภา โดย พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง เป็นประธานการประชุม ได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (ฉบับที่..) พ.ศ. .... (พ.ร.บ.รฟม.) ซึ่งมติของที่ประชุมรับหลักการ 161 เสียง ไม่รับหลักการ 1 งดออกเสียง 4 หลังจากที่ประชุมได้อภิปรายเนื้อหาสาระ และได้ตั้งกรรมาธิการวิสามัญขึ้นพิจารณาในกรอบเวลา ทั้งนี้ ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวเป็นร่างกฎหมายเกี่ยวกับการเงิน วุฒิสภาต้องพิจารณาให้เสร็จภายใน 30 วันนับแต่ที่รับร่าง พ.ร.บ.มาถึงวุฒิสภา ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 30 ก.ย.นี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านั้น นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร สว.ฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การคมนาคม วุฒิสภา ได้นำเสนอรายงานโดยให้ข้อสังเกตต่อประเด็นที่น่ากังวลในร่างกฎหมาย ได้แก่ 1.สถานะการเงินของ รฟม.เมื่อร่างแก้ไขกำหนดให้นำเงินรายได้ตามมาตรา 65 อุดหนุนนโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด 20 บาทตลอดสาย ที่ในอดีตมีตัวอย่างจากหลายประเทศที่ดำเนินนโยบายลดค่าบริการขนส่งมวลชน แต่ผลประกอบการไม่สอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริง ทำให้ส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินของผู้ให้บริการอย่างมีนัยสำคัญ

"กรณีการรถไฟแห่งประเทศไทยขาดทุนสะสมเนื่องจากนโยบายลดค่าโดยสารที่ไม่สอดคล้องต้นทุนที่แท้จริง ดังนั้น รฟม.ต้องประเมินผลกระทบและภาระการเงินอย่างรอบด้าน เพื่อให้มั่นใจว่าฐานะการเงินขององค์กรยังคงมั่นคงไม่เกิดผลกระทบต่อเสถียรภาพขององค์กร กมธ.เห็นว่าตัวเลขประมาณการค่าชดเชยที่ รฟม.จะชดเชยให้ผู้รับสัมปทานตามนโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด 20 บาทตลอดสาย ที่ 8,000 ล้านบาทต่อปี อาจต่ำกว่าความเป็นจริง" นายวุฒิชาติ อภิปราย

นายวุฒิชาติ อภิปรายต่อด้วยว่ากรณีที่ร่างก้ไขมาตรา 4 กำหนดให้ รฟม.มีอำนาจออกพันธบัตรหรือตราสาอื่นเพื่อใช้ลงทุน เพื่อประโยชน์แก่กิจการ ที่ชั้นสภาฯ แก้ไขให้เป็นไปโดยความเห็นชอบของ ครม.นั้น กมธ.เห็นด้วย ขณะที่การให้ รฟม.ออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดนั้นอาจเป็นการเพิ่มภาระหนี้ให้กับ รฟม.ได้ ดังนั้น มีข้อแนะนำให้เลือกใช้เครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสมสอดคล้องกับโครงการ และคำนึงถึงวินัยการเงินการคลังเคร่งครัด

"กมธ.เห็นว่า รฟม.ต้องพัฒนารูปแบบการหารายได้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการหารายได้ให้เพียงพอต่อการดำเนินการ โดยเฉพาะการหารายไดไ้เชิงพาณิชย์ รวมถึงต้องพัฒนามาตรการตรจสอบและกำกับดูแลที่รัดกุมเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปตามกรอบกฎหมายและหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี" นายวุฒิชาติ อภิปราย

ประธาน กมธ.คมนาคม อภิปรายต่อว่า กมธ.กังวลต่อความเพียงพอของเงินกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วมตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารจัดการตั๋วร่วม เพราะเงินดังกล่าวจะถูกนำไปชดเชยรายได้ให้แก่ผู้รับสัมปทานที่มีรายได้ลดลง เพราะนโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด 20 บาทตลอดสาย และนโยบายระบบตั๋วร่วม

- 006

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top