วันที่ 9 กันยายน 2568 เวลา 10.00 น. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การขยายระยะเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ
สาระสำคัญ
ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การขยายระยะเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม) ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการขายสินค้า การให้บริการ หรือการนำเข้าทุกกรณีตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 646) พ.ศ. 2560 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย
พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 790) พ.ศ. 2567
ซึ่งจะสิ้นสุดลงในวันที่ 30 กันยายน 2568 โดยยังคงจัดเก็บในอัตราร้อยละ 6.3 (ไม่รวมภาษีท้องถิ่น) หรือ
ร้อยละ 7 (รวมภาษีท้องถิ่น) ต่อไปอีก เป็นระยะเวลา 1 ปี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ถึงวันที่
30 กันยายน 2569 เนื่องจากการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ยังมีข้อจำกัดและปัจจัยเสี่ยงจากภาระหนี้สินของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับอัตราการว่างงานและอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำและการปรับตัวลดลงของอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ตลอดจนยังมีความผันผวนของระบบเศรษฐกิจการค้าโลก ดังนั้น การขยายระยะเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าวจะเป็นการลดผลกระทบจากค่าครองชีพ ช่วยกระตุ้นการบริโภคของประชาชน ซึ่งจะส่งผลให้ภาคธุรกิจมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยและการลงทุนภาคเอกชนภายในประเทศขยายตัวได้ตามเป้าหมาย และสร้างความเชื่อมั่นในการประกอบธุรกิจให้แก่ภาคเอกชน
เศรษฐกิจ-สังคม
2. เรื่อง แนวทางแก้ไขปัญหานมกล่องค้างสต๊อกเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมและผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นม
คณะรัฐมนตรีรับทราบแนวทางแก้ไขปัญหานมกล่องค้างสต๊อก ของสภาเกษตรกรแห่งชาติ (สภช.) และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) รับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการต่อไป โดยให้รับความเห็นของหน่วยงานต่าง ๆ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
1. สภาเกษตรกรแห่งชาติ (สภช.) ขอเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแนวทางแก้ไขปัญหานมกล่องค้างสต๊อกและมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ เนื่องจากชุมนุมสหกรณ์โคนมแห่งประเทศไทย จำกัด มีปัญหาน้ำนมดิบล้นและไม่สามารถระบายผลผลิตน้ำนมดิบส่วนเกินออกได้ทั้งหมด จึงจำเป็นต้องดำเนินการแปรรูปน้ำนมดิบดังกล่าวเป็นนมกล่องยูเอชที ซึ่งทำให้มีสต๊อกนมกล่องคงค้าง จำนวน 113,870,387 กล่อง คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 800 ล้านบาท สภช. จึงมีข้อเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ (1) ขอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นในวงเงิน 800 ล้านบาท ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) (จำนวน 500 ล้านบาท) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) (จำนวน 300 ล้านบาท) เพื่อจัดซื้อนมกล่องค้างสต๊อกตามปริมาณจำนวนนักเรียนที่แต่ละหน่วยมีนักเรียนได้ดื่มนมในโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน เพิ่มเติม และ (2) ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) และคณะกรรมการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชน (คณะกรรมการอาหารนมฯ) ประสาน ติดตาม ประเมินผลการดำเนินการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
2. ประโยชน์ : (1) เป็นการบรรเทาความเดือดร้อน แก้ไขปัญหาเร่งด่วนเพื่อลดความเสียหายจากการทิ้งน้ำนมดิบ และผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นมไม่ให้เกิดภาวะนมกล่องค้างสต๊อกให้สามารถดำเนินการทั้งระบบต่อไปได้โดยไม่ขาดสภาพคล่อง (2) เป็นการรักษาผลประโยชน์ด้านการแปรรูป การผลิต ผลิตภัณฑ์นมของเกษตรกร องค์กรเกษตร เกษตรผู้เลี้ยงโคนมและผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นมไม่ให้ผลิตภัณฑ์นมกล่องค้าง สต๊อกเกิดความเสียหายและสูญเปล่าประโยชน์ และ (3) เด็กนักเรียนจะได้รับการบริโภคนมโรงเรียนเพิ่มขึ้นมากกว่า 260 วัน ซึ่งเป็นอาหารเสริมที่มีคุณค่าทางโภชนาการต่อเด็กนักเรียนในวัยเรียนอย่างยิ่ง
3. เรื่อง ผลสำรวจความพึงพอใจของประชาชนต่อการให้บริการของหน่วยงานของรัฐ ปี 2567
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลสำรวจความพึงพอใจของประชาชนต่อการให้บริการของหน่วยงานของรัฐ ปี 2567 และข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาประสิทธิภาพการให้บริการของหน่วยงานของรัฐ ตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
ก.พ.ร. รายงานว่า
1. นับตั้งแต่พระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 บังคับใช้ (วันที่ 21 กรกฎาคม 2558) สำนักงาน ก.พ.ร. ได้ดำเนินการสำรวจความพึงพอใจของประชาชนต่อการให้บริการของหน่วยงานของรัฐมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อศึกษาประสบการณ์ของประชาชนต่อการติดต่อขอรับบริการจากหน่วยงานของรัฐ รวมถึงการเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการสะท้อนความคิดเห็นต่อการให้บริการของหน่วยงานของรัฐ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาประสิทธิภาพการให้บริการให้ตอบสนองความต้องการของประชาชน โดยความพึงพอใจของประชาชนต่อการให้บริการของหน่วยงานของรัฐเป็นเป้าหมายสำคัญประการหนึ่งของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 - 2570) ที่ต้องการผลักดันให้การบริการภาครัฐมีคุณภาพ ทันสมัย ตอบโจทย์ประชาชน ซึ่ง ก.พ.ร. ในการประชุมครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2568 มีมติรับทราบผลสำรวจความพึงพอใจของประชาชนต่อการให้บริการของหน่วยงานของรัฐ ปี 2567 และมอบหมายให้สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป
2. สรุปผลสำรวจความพึงพอใจของประชาชนต่อการให้บริการของหน่วยงานของรัฐ ปี 2567 และความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐ สำนักงาน ก.พ.ร. ได้ดำเนินการสำรวจฯ ประชาชนผู้ใช้บริการจากหน่วยงานของรัฐทั่วประเทศผ่านช่องทางออนไลน์และการลงพื้นที่สำรวจ ณ จุดบริการของหน่วยงานของรัฐ จำนวน 9,815 ตัวอย่าง (จำนวนผู้ใช้บริการจากหน่วยงานของรัฐ ที่ตอบแบบสำรวจ) สรุปได้ ดังนี้
2.1 ผลความพึงพอใจในภาพรวมมีค่าเฉลี่ยร้อยละ 83.03 โดยประชาชนมีความพึงพอใจสูงสุดด้านบริการผ่านช่องทางออนไลน์ ร้อยละ 84.31 ด้านเจ้าหน้าที่ ที่ให้บริการ ร้อยละ 82.85 ด้านสถานที่และการอำนวยความสะดวก ร้อยละ 82.46 และด้านขั้นตอนและระยะเวลาการให้บริการ ร้อยละ 81.02
ตารางแสดงความพึงพอใจของประชาชนต่อการให้บริการหน่วยงานของรัฐ ปี 2567
ขั้นตอนและระยะเวลา |
81.02 |
ผลความพึงพอใจปี 2567 ในภาพรวม มีค่าเฉลี่ยร้อยละ 83.03 ลดลงเล็กน้อย จากปีที่ผ่านมา (ร้อยละ 83.24) |
สถานที่และการอำนวยความสะดวก |
82.65 |
|
เจ้าหน้าที่ที่ให้บริการ |
82.85 |
|
บริการผ่านช่องทางออนไลน์ |
84.31 |
ซึ่งงานบริการของหน่วยงานของรัฐที่ประชาชนมีความพึงพอใจสูงสุด 3 อันดับแรก คือ ด้านแรงงาน (เช่น การขึ้นทะเบียนประกันสังคม) ร้อยละ 86.10 ด้านการท่องเที่ยว (เช่น การขอหนังสือเดินทาง) ร้อยละ 85.45 ด้านการประกอบธุรกิจ (เช่น การจดทะเบียน นิติบุคคล) ร้อยละ 85.11 โดยพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของประชาชน คือ การให้บริการผ่านช่องทางออนไลน์ (e-Service) การเปิดช่องทางพิเศษเร่งด่วน (Fast track) การจัดให้มีช่องทางขอรับบริการที่หลากหลายหรือสามารถดำเนินการได้ ณ จุดเดียวและเมื่อพิจารณาภาพรวมความพึงพอใจของประชาชนต่อการให้บริการของหน่วยงานของรัฐในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาพบว่า ประชาชนมีความพึงพอใจต่อการให้บริการของหน่วยงานของรัฐ สูงกว่าร้อยละ 80 มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะด้านบริการผ่านช่องทางออนไลน์ โดยพบว่า นับตั้งแต่ที่ได้มีการผลักดันให้หน่วยงานของรัฐพัฒนาการบริการผ่านช่องทางออนไลน์ (e-Service) ประชาชนมีการใช้บริการผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มสูงขึ้น จากปี 2564 ร้อยละ 39.82 เป็นร้อยละ 57.26 ในปี 2567
2.2 ผลความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งดำเนินการสำรวจเป็นปีแรก ภาพรวมมีค่าเฉลี่ยร้อยละ 80.63 โดยประชาชน มีความเชื่อมั่นสูงสุดด้านการให้บริการที่มีประสิทธิภาพ ร้อยละ 81.81 ด้านการให้บริการ ที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ น่าเชื่อถือ ร้อยละ 81.21 ด้านการให้บริการอย่างเท่าเทียม ร้อยละ 80.27 ด้านการให้ความสำคัญต่อข้อคิดเห็นของประชาชนและนำมาพัฒนางานบริการ ร้อยละ 79.99 และด้านการเปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมในการออกแบบงานบริการหรือดำเนินการร่วมกับภาครัฐ ร้อยละ 79.89
นอกจากนี้ ข้อเสนอแนะของประชาชนต่องานบริการของหน่วยงานของรัฐที่ต้องการให้มีการพัฒนาบริการให้ดีขึ้น 3 อันดับแรก คือ งานบริการด้านสุขภาพ ร้อยละ 48.90 งานบริการทะเบียนราษฎรร้อยละ 15.17 และงานทะเบียนที่ดิน ร้อยละ 14.58 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานบริการที่ประชาชนใช้บริการ
ณ จุดบริการ และมีจำนวนผู้ใช้บริการจำนวนมาก ส่งผลต่อการอำนวยความสะดวกด้านสถานที่และใช้ระยะเวลาในการรอคอยการดำเนินการ
3. ข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาประสิทธิภาพการให้บริการของหน่วยงานของรัฐ จากผลสำรวจความพึงพอใจของประชาชน (ตามข้อ 2) เป็นโอกาสให้หน่วยงานของรัฐพัฒนาประสิทธิภาพการให้บริการเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้ ดังนี้
3.1 เร่งขยายการให้บริการผ่านช่องทางออนไลน์ (e-Service) ให้ครอบคลุมงานบริการหลักของหน่วยงาน ยกระดับระบบ e-Service ให้เป็นระบบบริการเชิงรุก ที่ประชาชนเข้าถึงง่าย สะดวก และสามารถให้บริการแบบออนไลน์ได้เต็มรูปแบบ (fully digital) เชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงาน ลดภาระด้านเอกสาร และเพิ่มความสะดวกในการติดต่อขอรับบริการจากภาครัฐ รวมถึงจัดให้มีระบบการติดตามสถานะการให้บริการ (tracking system) เพื่อความโปร่งใสในการให้บริการ
3.2 พัฒนาช่องทางการให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One Stop Service) เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนให้สามารถขอรับบริการต่าง ๆ จากหน่วยงานได้ ณ จุดเดียว ตลอดจนการจัดให้มีบริการช่องทางพิเศษแบบเร่งด่วน (Fast track) เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการให้บริการโดยยังคงไว้ซึ่งมาตรฐานการบริการที่ดีในช่องทางปกติ รวมถึงการจัดบริการช่องทางพิเศษ ณ จุดบริการสำหรับกลุ่มเปราะบาง'เพื่อความเสมอภาคในการรับบริการภาครัฐอย่างเท่าเทียม
3.3 ยกระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการออกแบบบริการ โดยจัดให้มีช่องทางให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นหรือประเมินการให้บริการแต่ละจุดบริการของหน่วยงาน หรือจัดกิจกรรมรับฟังความคิดเห็นที่เปิดให้ประชาชนหรือภาคส่วนอื่นเข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบบริการเพื่อปรับปรุงบริการให้ตรงตามความต้องการของประชาชน
3.4 สื่อสารประชาสัมพันธ์การพัฒนางานบริการภาครัฐโดยสร้างการรับรู้แก่ประชาชนอย่างชัดเจน ทั่วถึง ทันต่อสถานการณ์ และมีความต่อเนื่องเพื่อสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐให้ดียิ่งขึ้น
4. ประโยชน์ของการดำเนินการ
การสำรวจความพึงพอใจของประชาชนต่อการให้บริการของภาครัฐ เป็นผลลัพธ์สำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพการให้บริการของหน่วยงานของรัฐตลอดจนเป็นข้อมูลที่หน่วยงานของรัฐสามารถนำไปใช้ในการปรับปรุงและออกแบบบริการต่าง ๆ ให้ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้ทรัพยากรภาครัฐ
4. เรื่อง รายงานผลการดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ครั้งที่ 6/2568
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ครั้งที่ 6/2568 ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้จัดประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) เป็นประธานฯ ครั้งที่ 5/2568 เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงาน
ตำรวจแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) สมาคมธนาคารไทย สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(สำนักงาน ก.ล.ต.) และสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ (สมาคมโทรคมนาคมฯ)
เพื่อบูรณาการการทำงานและขับเคลื่อนการแก้ปัญหาภัยออนไลน์
ทั้งนี้ ตั้งแต่มีการประกาศใช้พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม
ทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 และพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (ฉบับที่ 2)
พ.ศ. 2568 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้มีการกำหนดมาตรการ
ที่สำคัญหลายประการ เพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ ซึ่งส่งผลให้การดำเนินการภายหลังจาก
ที่มีการบังคับใช้มาตรการภายใต้พระราชกำหนดฯ ฉบับนี้ ทำให้การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์
มีประสิทธิภาพมากขึ้น สำหรับผลการดำเนินงานที่สำคัญในระยะ 60 วัน มีรายละเอียด ดังนี้
1. การปราบปรามจับกุมอาชญากรรมออนไลน์ ในเดือนพฤษภาคม - เดือนมิถุนายน 2568
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ดำเนินการปราบปรามจับกุมอาชญากรรมออนไลน์
และมีคดีที่สำคัญ รวมทั้งเร่งรัดจับกุมผู้กระทำความผิดที่เกี่ยวข้อง ในเดือนพฤษภาคม - เดือนมิถุนายน 2568 ดังนี้
1) การจับกุมคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี รวมทุกประเภท ในเดือนพฤษภาคม 2568 มี
จำนวน 3,012 ราย และในเดือนมิถุนายน 2568 มีจำนวน 3,550 ราย
2) การจับกุมคดีพนันออนไลน์ ในเดือนพฤษภาคม 2568 มีจำนวน 1,095 ราย
และในเดือนมิถุนายน 2568 มีจำนวน 1,097 ราย
3) การจับกุมคดีบัญชีม้า ซิมม้า และความผิดตามพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ในเดือนพฤษภาคม 2568
มีจำนวน 359 ราย และในเดือนมิถุนายน 2568 มีจำนวน 710 ราย
2. การปิดกั้นโซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ผิดกฎหมาย และเว็บไซต์พนันออนไลน์
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ดำเนินการปิดกั้นโซเชียลมีเดียและเว็บไซต์
ผิดกฎหมายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ระยะเวลา 9 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 ถึงวันที่
30 มิถุนายน 2568 มีผลการดำเนินงาน ดังนี้
1) ดำเนินการประสานการปิดกั้นเว็บไซต์ผิดกฎหมายประเภทพนันออนไลน์ จำนวน 62,805 รายการ ประเภทหลอกลวงออนไลน์ จำนวน 1,242 รายการ และอื่น ๆ จำนวน 51,860 รายการ รวมทั้งสิ้น จำนวน 115,907 รายการ
2) ดำเนินการประสานการปิดกั้นแพลตฟอร์ม (Facebook/YouTube/X/TikTok) เกี่ยวกับเนื้อหาที่ผิดกฎหมายและหลอกลวงออนไลน์ แบบมีคำสั่งศาลจำนวนแจ้งขอการปิดกั้น 12,646 รายการ และไม่มีคำสั่งศาล จำนวนแจ้งขอการปิดกั้น 37,919 รายการ
3. มาตรการแก้ไขปัญหาบัญชีม้า เร่งอายัด และตัดตอนการโอนเงิน
ผลการดำเนินงานที่สำคัญ มีดังนี้
1) มีการระงับบัญชีม้า โดย AOC ระงับบัญชีชั่วคราว ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2566 - เดือนมิถุนายน 2568 จำนวน 440,347 บัญชี (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568)
2) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ทำการอายัดบัญชีไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2566 - วันที่ 21 กรกฎาคม 2568 จำนวน 833,725 บัญชี (ข้อมูล ณ วันที่ 21 กรกฎาคม 2568)
3) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.)
มีมาตรการจัดการบัญชีสินทรัพย์ดิจิทัล ในเดือนมิถุนายน - เดือนกรกฎาคม 2568 โดยผู้ประกอบการสินทรัพย์ดิจิทัล ได้ระงับบัญชีม้าแล้วประมาณ 29,000 บัญชี รวมมูลค่า 186,000,000 บาท
4. มาตรการแก้ไขปัญหาซิมม้า
ที่ประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ได้มีมติเห็นชอบมาตรการเพื่อป้องกันอาชญากรรม
ทางเทคโนโลยี ตามมาตรา 4/1 วรรคหนึ่ง เพื่อให้ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องร่วมรับผิดชอบต่อความเสียหาย
ที่เกิดขึ้น ตามมาตรา 8/10 แห่งพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามที่คณะอนุกรรมการบูรณาการบังคับใช้กฎหมายความผิดทางเทคโนโลยีฯ เสนอ โดยมีรายละเอียดสรุปดังนี้
1) ผู้ให้บริการมีหน้าที่ต้องตรวจสอบคัดกรองผู้ใช้บริการที่มีลักษณะที่ผิดปกติ
เพื่อพิจารณาระงับการใช้ทันที โดยพิจารณาจากปัจจัยจำนวนครั้งที่โทรออก พื้นที่การโทร ข้อมูลลูกค้า
และอุปกรณ์ที่ใช้ในการโทรออก (SIM BOX) โดยสำนักงาน กสทช. ร่วมกับผู้ให้บริการจะพิจารณากำหนดเงื่อนไข
การคัดกรองดังกล่าว
2) ผู้ให้บริการมีหน้าที่ต้องระงับบริการโทรคมนาคมนับแต่วันที่ผู้ให้บริการได้รับการแจ้งจากสำนักงาน กสทช. ว่าบริการดังกล่าวได้รับการแจ้งว่าต้องสงสัย กรณีบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ผู้ให้บริการจะต้องระงับการให้บริการทันที ภายใน 24 ชั่วโมง และกรณีบริการโทรคมนาคมอื่น ผู้ให้บริการระงับการให้บริการทันที ภายใน 3 วัน
3) ผู้ให้บริการมีหน้าที่จัดการให้การลงทะเบียนผู้ใช้บริการเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่
ใช้งานใหม่ ให้เป็นไปตามประกาศ กสทช. เรื่อง การลงทะเบียนและการจัดเก็บข้อมูลผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ภายใน 7 วัน
4) บริการการส่ง SMS แบบ Application-to-Person (A2P) หรือการส่งข้อความ
จากแอปพลิเคชันถึงบุคคลทั่วไป ต้องลงทะเบียนผู้ส่ง (Sender Name) กับผู้ให้บริการก่อนส่งข้อความ กรณี
การส่งข้อความที่แนบลิงก์ ผู้ให้บริการต้องตรวจสอบความถูกต้องของลิงก์ที่ใช้แนบทุกครั้งก่อนส่งข้อความสั้น
ไปยังผู้รับบริการ
5) ผู้ให้บริการมีหน้าที่ต้องจำกัดการลงทะเบียนผู้ใช้บริการเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ของบุคคลต่างชาติไม่เกิน 3 เลขหมาย/คน/ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ และกำหนดให้ใช้หนังสือเดินทาง (Passport) ในการยืนยันตัวตนเพื่อลงทะเบียนผู้ใช้บริการเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่
6) ผู้ให้บริการมีหน้าที่ต้องจำกัดระยะเวลาการใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ของนักท่องเที่ยวต่างชาติ หรือ Tourist SIM ไม่เกิน 60 วัน โดยไม่สามารถเติมเงินเพื่อขยายระยะเวลาการใช้งานได้ และกรณีผู้ใช้บริการประสงค์ใช้งาน Tourist SIM ต่อเนื่อง ภายหลังครบกำหนดระยะเวลาใช้งาน จะต้องลงทะเบียนยืนยันตัวตนกับผู้ให้บริการอีกครั้งหนึ่งก่อน จึงจะขยายระยะเวลาการใช้งานได้
7) ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ ต้องห้ามมิให้เครื่องวิทยุคมนาคม ลูกข่ายในโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ประเภทซิมบ๊อกซ์ (SIM BOX) หรือประเภทเกตเวย์ (Gateway) ที่รองรับจำนวนซิม (SIM)
ตั้งแต่ 4 ซิมขึ้นไป และไม่ได้รับการลงทะเบียนใช้งานกับสำนักงาน กสทช. เชื่อมต่อโครงข่ายโทรคมนาคม
ของผู้ให้บริการ
8) ผู้ให้บริการต้องเติมเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ แจ้งเตือนผู้ใช้บริการทราบถึง
ทราฟฟิกที่รับจากต่างประเทศ และมีระบบปฏิเสธไม่รับสายจากต่างประเทศ อาทิ การเติม +697 +698
หน้าเลขหมายที่มาจากต่างประเทศ
5. การเพิ่มองค์ประกอบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ได้มีการพิจารณาเพิ่มเติมองค์ประกอบคณะกรรมการฯ เพื่อยกระดับกระบวนการให้ครอบคลุมไปถึงเรื่องพนันออนไลน์
และเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบ
เพิ่มองค์ประกอบคณะกรรมการฯ ดังนี้
1) ปลัดกระทรวงกลาโหม กรรมการ
2) อัยการสูงสุด กรรมการ
3) อธิบดีกรมการปกครอง กรรมการ
4) อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรรมการ
5) ผู้แทนสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ กรรมการ
6) ผู้แทนสมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลไทย กรรมการ
7) หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม เลขานุการ
ทางเทคโนโลยี
6. การออกกฎหมายลำดับรอง
ปัจจุบัน กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ดำเนินการ
ออกกฎหมายลำดับรองภายใต้พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
พ.ศ. 2566 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา และมีผลบังคับใช้แล้ว อาทิ
1) มาตรฐานหรือมาตรการที่กำหนดโดยหน่วยงานที่มีอำนาจกำกับดูแลการประกอบธุรกิจ
เพื่อป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และเป็นเกณฑ์พิจารณาการมีส่วนร่วมรับผิดชอบในความเสียหาย
จากที่เกิดจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยีตามมาตรา 8/10 (มาตรา 4/1 วรรคหนึ่ง) โดยในส่วนของความรับผิดชอบ
ของคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (คธอ.) ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2568
2) ประกาศกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อกำหนดขั้นตอนการระงับ
สั่งการทำให้แพร่หลายของข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือนำข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ผิดกฎหมาย (การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล) ออกจากระบบคอมพิวเตอร์
ของพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับการแต่งตั้งตามกฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์(มาตรา 7/1 วรรคสอง) ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2568
ทั้งนี้ สำหรับการออกกฎหมายลำดับรอง ภายใต้พระราชกำหนดมาตรการป้องกัน
และปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ได้แก่ (ร่าง) กฎกระทรวงการคืนเงิน
ให้แก่ผู้เสียหายจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. .... โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการเยียวยาให้กับผู้เสียหาย
จากภัยอาชญากรรมออนไลน์ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งภารกิจที่สำคัญของคณะกรรมการฯ โดยขณะนี้ ร่างกฎกระทรวงฯ
อยู่ระหว่างการพิจารณา และจะมีการนำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาในลำดับต่อไป และ (ร่าง) ระเบียบกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ว่าด้วยการปฏิบัติงานของศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม
ทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2568 ซึ่งอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 8/8 แห่งพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2568 ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อวางระเบียบการปฏิบัติงานของศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.) โดยอยู่ระหว่างการรับฟังความเห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสนอคณะอนุกรรมการด้านกฎหมายในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พิจารณา ก่อนเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการฯ ในครั้งต่อไป
5. เรื่อง รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมประจำเดือนมิถุนายน 2568
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมประจำเดือนมิถุนายน 2568 ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ
สาระสำคัญ
ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนมิถุนายน 2568 เมื่อพิจารณาจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) อยู่ที่ระดับ 97.35 ขยายตัวร้อยละ 0.6 จากเดือนเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยหลักมาจากการผลิตอุตสาหกรรมยานยนต์ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่สาม เป็นผลมาจากบริษัทรถยนต์จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อกระตุ้นยอดขายกลางปี
อุตสาหกรรมสำคัญที่ส่งผลให้ MPI เดือนมิถุนายน 2568 ขยายตัว เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน คือ
1. ยานยนต์ ขยายตัวร้อยละ 17.0 ขยายตัวตามความนิยมของรถยนต์ไฮบริด ปลั๊กอินไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งฐานในปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับต่ำ และบริษัทรถยนต์จัดกิจกรรม ส่งเสริมการขายเพื่อกระตุ้นยอดขายกลางปี
2. ชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ขยายตัวร้อยละ 6.2 ขยายตัวจาก PCBA, Integrated Circuits (IC) และ semiconductor devices เป็นหลัก ตามการขยายตัวของตลาดอิเล็กทรอนิกส์โลกประกอบกับเร่งส่งออกไปสหรัฐอเมริกา
3. น้ำมันปาล์ม ขยายตัวร้อยละ 9.8 จากน้ำมันปาล์มดิบ ตามปริมาณผลปาล์มออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้นจากสภาพอากาศเอื้ออำนวย สำหรับตลาดส่งออกขยายตัวจากแนวโน้มการบริโภคในอินเดีย เมียนมาและจีน
เริ่มฟื้นตัว
อุตสาหกรรมสำคัญที่ส่งผลให้ MPI เดือนมิถุนายน 2568 หดตัว เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของ
ปีก่อน คือ
1. เครื่องปรับอากาศ หดตัวร้อยละ 14.2 เนื่องจากลูกค้าชะลอคำสั่งซื้อจากภาวะเศรษฐกิจ
2. ปิโตรเลียม หดตัวร้อยละ 3.2 จากน้ำมันเบนซิน 91 และ 95 น้ำมันเครื่องบิน และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว เป็นหลัก จากการชะลอตัวของการท่องเที่ยว ประกอบกับการใช้ยานยนต์ที่ประหยัดพลังงานมากขึ้น
3. เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ หดตัวร้อยละ 14.0 หดตัวจากน้ำอัดลมและเครื่องดื่มกาแฟสำเร็จรูปเป็นหลัก เนื่องจากผู้ผลิตบางรายหยุดผลิตชั่วคราวเพื่อซ่อมบำรุง รวมทั้งมีผู้ผลิตบางรายหยุดผลิต ชั่วคราวต่อเนื่องมา 6 เดือน
ประโยชน์และผลกระทบ
รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมประจำเดือนมิถุนายน 2568 เป็นการรายงานดัชนีอุตสาหกรรมรวมถึงภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมและแนวโน้มในสาขาอุตสาหกรรมที่สำคัญ สามารถใช้เป็น ข้อมูลประกอบการติดตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศได้
ต่างประเทศ
6. เรื่อง การลงนามในปฏิญญาเพื่อก่อตั้งที่ประชุมอัยการสูงสุดอาเซียน
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างปฏิญญาเพื่อก่อตั้งที่ประชุมอัยการสูงสุดอาเซียน (ASEAN Prosecutors/Attorney General Meeting: APAGM) (ที่ประชุม APAGM) (ร่างปฏิญญาฯ) และร่างข้อกำหนดอำนาจหน้าที่แนบท้ายร่างปฏิญญาฯ และมอบหมายอัยการสูงสุดหรือผู้แทนลงนามในร่างปฏิญญาฯ ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุด (อส.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. อส. ในฐานะผู้ประสานงานกลางตามพระราชบัญญัติความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา พ.ศ. 2535 พระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. 2551 และองค์กรอัยการของสมาชิกอาเซียนอีก 9 ประเทศ ได้ตระหนักถึงปัญหาและการคุกคามของอาชญากรรมข้ามชาติในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่องค์กรอาชญากรรมใช้เป็นเครื่องมือในการก่ออาชญากรรมต่อประชาชนซึ่งสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรง จึงทำให้การฟ้องร้องและดำเนินคดีอาชญากรรมข้ามชาติที่มีประสิทธิภาพและการสนับสนุนส่งเสริมความร่วมมือระหว่างผู้ประสานงานกลางและพนักงานอัยการในภูมิภาคอาเซียนมีความสำคัญในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติในภูมิภาค ซึ่งนำไปสู่แนวคิดการก่อตั้งที่ประชุม APAGM เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างองค์กรอัยการในภูมิภาคอาเซียนในการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร พยานหลักฐาน ประสบการณ์ และแนวปฏิบัติในการฟ้องร้องและดำเนินคดีอาชญากรรมข้ามชาติที่มีประสิทธิภาพ โดยเคารพอธิปไตยและความหลากหลายของระบบกฎหมายของภาคีสมาชิกอาเซียน
2. ร่างปฏิญญาเพื่อก่อตั้งที่ประชุมอัยการสูงสุดอาเซียน (ASEAN Prosecutors/Attorney General Meeting: APAGM) (ที่ประชุม APAGM) (ร่างปฏิญญาฯ) มีแนวคิดเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างองค์กรอัยการในภูมิภาคอาเซียนในการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร พยานหลักฐาน ประสบการณ์ และแนวปฏิบัติในการฟ้องร้องและดำเนินคดีอาชญากรรมข้ามชาติที่มีประสิทธิภาพ โดยเคารพอธิปไตยและความหลากหลายของระบบกฎหมายของภาคีสมาชิกอาเซียน มีสาระสำคัญเป็นการประกาศจัดตั้งที่ประชุม APAGM ให้เป็นองค์กรระดับรัฐมนตรีอาเซียนเฉพาะสาขา และมีข้อกำหนดอำนาจหน้าที่แนบท้ายร่างปฏิญญาฯ เช่น สนับสนุนความร่วมมือด้านการดำเนินคดีระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน อำนวยความสะดวกในการประสานงานด้านคดีหากกฎหมายภายในของประเทศสมาชิกอาเซียนสามารถกระทำได้ ซึ่งสมาชิกที่ประชุม APAGM ประกอบด้วยอัยการสูงสุดของภาคีสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ ทั้งนี้ จะมีการลงนามปฏิญญาฯ ในวันที่ 15 กันยายน 2568
ณ เมืองบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยอัยการสูงสุดหรือผู้แทนจะเป็นผู้ลงนามในร่างปฏิญญาฯ
ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาแล้วไม่มีข้อขัดข้องต่อสารัตถะและถ้อยคำโดยรวมของร่างปฏิญญาฯ รวมทั้งมีความเห็นสอดคล้องกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาว่าร่างปฏิญญาฯ ไม่มีถ้อยคำหรือบริบทใดที่มุ่งจะก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศและไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ประโยชน์ เช่น
1) ที่ประชุม APAGM จะเป็นเวทีสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างศักยภาพของพนักงานอัยการของไทยและอาเซียนในการพัฒนาความร่วมมือด้านการดำเนินคดี เพิ่มโอกาสในการแลกเปลี่ยนพนักงานอัยการ การจัดฝึกอบรมพนักงานอัยการและแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิชาชีพและช่วยเพิ่มขีดความสามารถของพนักงานอัยการไทยในการรับมืออาชญากรรมรูปแบบใหม่ เช่น อาชญากรรมเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยี อาชญากรรมยาเสพติดข้ามชาติ ซึ่งเป็นปัญหาร่วมของไทยและประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคอาเซียน
2) ที่ประชุม APAGM มีบทบาทในการประสานงานและสนับสนุนองค์กรระดับรัฐมนตรีอาเซียนเฉพาะสาขาอื่น ๆ ในการดำเนินภารกิจที่เกี่ยวกับการดำเนินคดีอาชญากรรมข้ามชาติ องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการสร้างความสัมพันธ์กับองค์กรอัยการของประเทศอื่นที่เป็นคู่เจรจาอาเซียน ทั้งนี้ การก่อตั้ง ที่ประชุม APAGM ให้มีสถานะอย่างเป็นทางการในกรอบอาเซียน จะทำให้สามารถประชุมเจรจา กับคู่เจรจาอาเซียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
7. เรื่อง ผลการประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Council) ครั้งที่ 25
คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการประชุมคณะรัฐมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community Council : AEC Council) ครั้งที่ 25 เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2568 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย ตามที่ กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1.มาเลเซียได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม AEC Council ครั้งที่ 25 เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2568 โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายพิชัย นริพทะพันธุ์) ในขณะนั้น เป็นผู้นำคณะผู้แทนไทยเข้าร่วม
การประชุม ซึ่งมีผลการประชุมสรุปได้ ดังนี้
1) ภาพรวมเศรษฐกิจอาเซียน คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจอาเซียนปี 2568 จะเติบโต
ร้อยละ 4.7 ลดลงจากปีก่อนหน้าเล็กน้อย โดยจะมีการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นและการท่องเที่ยว
ที่ฟื้นตัว แต่ภูมิภาคยังมีความเสี่ยงจากภูมิรัฐศาสตร์ อาเซียนจึงจัดตั้งคณะทำงานด้านภูมิเศรษฐศาสตร์เพื่อจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายแนวทางการรับมือของอาเซียนประกอบกับรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนและคู่เจรจาสำคัญ 4 ประเทศ (จีน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์) ได้มีถ้อยแถลงร่วมกันในการสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคี โดยไม่ใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้า ตลอดจนส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันผ่านความร่วมมือและความตกลงการค้าอาเซียน และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค รวมถึงเพิ่มความร่วมมือผ่านความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน ตลอดจนเสริมสร้างความสัมพันธ์กับคู่เจรจาให้เข้มแข็ง
2) แผนงานประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ค.ศ. 2025 ดำเนินการแล้วเสร็จร้อยละ 75 ซึ่งคาดว่าในปี 2568 จะคืบหน้าถึงร้อยละ 87 จึงเร่งรัดให้องค์กรรายสาขาเร่งดำเนินการภายในประเทศเพื่อให้สามารถลงนามและ/หรือให้สัตยาบันความตกลงด้านเศรษฐกิจโดยเร็ว
3) การพัฒนาด้านความยั่งยืนของอาเซียน ได้มีการจัดตั้งคณะทำงานอาเซียนด้านความเป็นกลางทางคาร์บอนเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนและแสวงหาแนวทางสนับสนุนเงินทุนสำหรับโครงการภายใต้การเชื่อมโยงโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าอาเซียน (ASEAN Power Gird) รวมถึงการส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนอย่างเป็นธรรม
4) ร่างแผนยุทธศาสตร์ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ค.ศ. 2026 – 2030 (แผนยุทธศาสตร์ฯ) ภายใต้วิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน พ.ศ. 2045 การจัดทำร่างแผนยุทธศาสตร์ฯ ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว และได้เสนอผู้นำอาเซียนรับรองพร้อมร่างวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน พ.ศ. 2045 ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 46 เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2568 ทั้งนี้ องค์กรรายสาขาจะเร่งกำหนดกิจกรรมภายใต้แผนยุทธศาสตร์ฯ ให้แล้วเสร็จเพื่อเสนอ AEC Council ให้การรับรองต่อไป
5) การเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนของติมอร์ - เลสเต สำนักเลขาธิการอาเซียนจะเวียนเอกสารกำหนดขั้นตอนดำเนินการให้องค์กรระดับรัฐมนตรีอาเซียน เฉพาะสาขาใช้เป็นแนวทางในการเจรจากับติมอร์ฯ และจัดทำแผนงานที่เกี่ยวข้องเพื่ออำนวยความสะดวกติมอร์ฯ ในการเข้าร่วมความตกลงด้านเศรษฐกิจอาเซียนต่อไป
6) เอกสารผลลัพธ์ด้านเศรษฐกิจ ที่ประชุมฯ ได้รับรองและเห็นชอบมีจำนวน 4 ฉบับ โดยรับรองเอกสารจำนวน 2 ฉบับ ได้แก่ (1) รายงานของคณะรัฐมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ 25 ต่อที่ประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 46 เป็นเอกสารแสดงผลการดำเนินการต่าง ๆ ภายใต้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และ (2) กรอบความร่วมมือโครงการพื้นฐานด้านอุตสาหกรรมอาเซียน เป็นแนวทางส่งเสริมห่วงโซ่มูลค่าและความยั่งยืนภายใต้ปฏิญญารัฐมนตรีว่าด้วยกรอบการดำเนินงานสำหรับโครงการพื้นฐานด้านอุตสาหกรรมเห็นชอบเอกสาร
2 ฉบับ ได้แก่ (3) ร่างแผนยุทธศาสตร์ฯ เป็นกรอบการดำเนินงานในระยะ 5 ปีแรก ของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนภายใต้วิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ค.ศ. 2045 และ (4) ร่างปฏิญญาว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) และคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ [The Gulf Cooperation Council (GCC)] (ร่างปฏิญญาฯ) เป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ของผู้นำอาเซียนและ GCC ในการส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างกัน โดยร่างปฏิญญาดังกล่าวมีการปรับปรุงถ้อยคำจากที่คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบ เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 ใน 2 เรื่องสำคัญ ดังนี้
การตัดข้อความ |
การเพิ่มข้อความ |
ในประเด็น “ลดการพึ่งพาภูมิภาคที่ขาดเสถียรภาพในทางการเมือง และสร้างความมั่นคงที่ยั่งยืนท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และภูมิเศรษฐศาสตร์ทั่วโลก” และหัวข้อความร่วมมือด้าน “ความมั่นคงทางไซเบอร์” และ “การย้ายถิ่นที่ปลอดภัย” และเป้าหมายมูลค่าการค้าระหว่างกัน “จนถึงมูลค่า 18 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี |
ได้แก่ “การหารือเกี่ยวกับการค้าเสรีจากผลการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำความตกลงการค้าเสรีอาเซียน - GCC” และการเพิ่มสาขาความร่วมมือได้แก่ พลังงานไฮโดรคาร์บอน การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การกำหนดมาตรฐาน การส่งเสริมความเข้าใจด้านกฎหมายและระเบียบข้อบังคับ การส่งเสริมระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ระบบขนส่งอัจฉริยะปัญญาประดิษฐ์ การเชื่อมโยงทางรถไฟและถนนการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในภาคการขนส่งทางบกการลงทุนในสาขาสำคัญ เช่น พลังงาน เทคโนโลยีขั้นสูง การผลิต โลจิสติกส์ และการท่องเที่ยว รวมถึงบทบาทของกองทุนความมั่นคงแห่งรัฐ |
ทั้งนี้ การปรับถ้อยคำในร่างปฏิญญาฯ เป็นการปรับในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (20 พฤษภาคม 2568) เห็นชอบไว้ อีกทั้งการปรับปรุงเอกสารดังกล่าวเป็นการลดถ้อยคำที่อาจสร้างความอ่อนไหวด้านภูมิรัฐศาสตร์/เศรษฐศาสตร์ และเป็นการเพิ่มความร่วมมือ ด้านเศรษฐกิจในสาขาที่มีประโยชน์ร่วมกันของไทย อาเซียน และ GCC ซึ่งจะช่วยขยายตลาดให้ไทยมีโอกาสด้านเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น
7) ประเด็นการหารือทวิภาคีระหว่างไทย – สิงคโปร์ในประเด็นความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน และดิจิทัล รับมือความท้าทายจากเศรษฐกิจโลก โดยไทยได้หารือกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมสิงคโปร์ (นายกาน คิง ยอง) ซึ่งไทยได้เชิญชวนให้สิงคโปร์นำเข้าข้าวไทยเพิ่มเติมและเร่งรัดการอนุญาตนำเข้าสินค้าเกษตรของไทย เช่น ไข่ไก่เลี้ยงแบบปล่อยอิสระ เนื้อไก่ดิบนวดเครื่องปรุงแช่แข็ง และเลือดสุกรสุก รวมถึงขยายการลงทุนในไทยเพิ่มเติมในสาขาพลังงานสะอาดดิจิทัล และศูนย์ข้อมูล (data center) นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันผลักดันการเจรจากรอบความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลของอาเซียนให้สามารถสรุปผลได้ในปีนี้ โดยไทยรับเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน สมัยพิเศษ(มีกำหนดจัดการประชุมวันที่ 28 สิงหาคม 2568) เพื่อเร่งรัดการเจรจาความตกลงดังกล่าว
2. ผลการประชุมในครั้งนี้ เป็นการยกระดับความตกลงการค้าเสรีของอาเซียนและความตกลงการค้าเสรีของเซียนกับคู่เจรจา การขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจไปยังภูมิภาคใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ รวมถึงการเจรจาจัดทำกรอบความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลของอาเซียนซึ่งจะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการค้ายุคใหม่ที่ปรับเปลี่ยนไปสู่รูปแบบดิจิทัลมากยิ่งขึ้น ตลอดจนการเร่งเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจที่ปล่อยคาร์บอนต่ำและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซึ่งจะสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนและมีความรับผิดชอบ อย่างไรก็ตาม ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ จะต้องเตรียมพร้อมรองรับและปรับตัวในเชิงรุก ทั้งการปรับปรุงกฎระเบียบของภาครัฐ สนับสนุนการลงทุนในการวิจัยและพัฒนา ส่งเสริมความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมรวมทั้งเสริมสร้างทักษะ (Upskill) และเปลี่ยนทักษะ (reskill)ที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัลและวาระความยั่งยืนในภาคเอกชนและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันและสร้างโอกาสในการเข้าไปมีส่วนร่วมในห่วงโซ่มูลค่าในภูมิภาคอาเซียนและของโลกอย่างครอบคลุมทุกภาคส่วนต่อไป
8. เรื่อง ผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ประจำปี 2568 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ประจำปี 2568 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ณ จังหวัดเชจู สาธารณรัฐเกาหลี ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
พณ. รายงานว่า
การประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค (APEC Ministers Responsible for Trade: MRT) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 15-16 พฤษภาคม 2568 ณ จังหวัดเชจู สาธารณรัฐเกาหลี มีสาระสำคัญ สรุปได้ ดังนี้
1) วาระการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค : (1) การประชุมในวันที่ 15 พฤษภาคม 2568ประกอบด้วยวาระนวัตกรรมเพื่อการอำนวยความสะดวกทางการค้า เพื่อผลักดันเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: Al) เพื่อการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและครอบคลุมโดยไทยได้กล่าวถึงนโยบายการใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาด้านการค้า และสนับสนุนให้เขตเศรษฐกิจเอเปคใส่ใจกับการลดช่องว่างทางดิจิทัล การคุ้มครองข้อมูล และการเตรียมแรงงานให้พร้อมสำหรับยุคเปลี่ยนผ่านดิจิทัลและวาระการสร้างความเชื่อมโยงผ่านระบบการค้าพหุภาคี ซึ่งที่ประชุมหารือถึงการผลักดันการปฏิรูปองค์การการค้าโลก (World Trade Organization: WTO) ให้รองรับความท้าทายในปัจจุบัน และบทบาทของเอเปคต่อการประชุมรัฐมนตรี WTO สมัยสามัญ ครั้งที่ 14 โดยไทยได้กล่าวถึงความสำคัญของการปฏิรูป WTOเพื่อให้ระบบการค้าพหุภาคียังตอบโจทย์ต่อความท้าทายโลกในปัจจุบันและอนาคต (2) วาระการประชุมในวันที่16 พฤษภาคม 2568 ในวาระการสร้างความมั่งคั่งผ่านความยั่งยืนทางการค้า ซึ่งที่ประชุมหารือถึงการพัฒนานโยบายเพื่อส่งเสริมความเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทานเพื่อความยั่งยืนของเศรษฐกิจการค้า โดยไทยกล่าวถึงการพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการผ่านโครงการ BCG Heroes ซึ่งส่งเสริมให้ผู้ผลิตสินค้าท้องถิ่นสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ไทยยังสนับสนุนให้เอเปคแบ่งปันข้อมูลและเสริมสร้างขีดความสามารถเพื่อการประสานกฎระเบียบด้านความยั่งยืนและการค้า
2) ที่ประชุม MRT เห็นพ้องกันในทุกประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการค้าการลงทุนภายใต้เอเปค และมีฉันทามติรับรองแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีการค้าเอเปค (2025 APEC Ministers Responsible for Joint Statement) โดยมีการปรับเปลี่ยนหรือระบุเพิ่มเติมในเอกสารดังกล่าว ซึ่งไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบไว้และยังเป็นประโยชน์ต่อไทยในการสนับสนุนการค้าการลงทุนภายในเอเปค สรุปได้ดังนี้
2.1 ประเด็นเกี่ยวกับ WTO มีการปรับปรุงถ้อยคำเน้นย้ำถึงกฎเกณฑ์และความสำคัญของ WTO ต่อการพัฒนาประเด็นการค้าโลก และได้เพิ่มเดิมถ้อยคำเน้นย้ำความสำคัญของการปฏิรูป WTO ผ่านแนวทางที่มีนวัตกรรม เพื่อให้มีความเกี่ยวเนื่องและตอบสนองต่อปัจจุบันได้ดียิ่งขึ้น
2.2 ประเด็นเกี่ยวกับเอกสารภาคผนวก มีการตัดถ้อยคำในประเด็น “ถ้อยแถลงที่สนับสนุนแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยการอำนวยความสะดวกทางการลงทุนเพื่อการพัฒนา” และ “ความคิดริเริ่มด้านปัญญาประดิษฐ์เพื่อการค้า” เนื่องจากเอเปคเห็นพ้องกันว่าจะไม่รับรองเอกสารภาคผนวกดังกล่าวเป็นเอกสารผลลัพธ์การประชุม
3) การประชุมที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ (1) การประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจของสมาชิกอาเซียนที่เป็นสมาชิกเอเปค (APEC ASEAN Ministerial Caucus) ซึ่งที่ประชุมเห็นพ้องถึงความจำเป็นในการเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจเพื่อรับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก เน้นย้ำการสนับสนุนระบบการค้าเสรีที่เปิดกว้าง เป็นธรรม และกฎเกณฑ์และเรียกร้องให้หลีกเลี่ยงการกีดกันทางการค้าในทุกระดับ (2) การหารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่น โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างกันโดยไทยเชิญชวนให้ขยายการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ ตลอดจนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่ญี่ปุ่นมีศักยภาพ เพื่อส่งเสริมให้ไทยเป็นฐานการผลิตในภูมิภาค และ (3) การหารือทวิภาคีกับบริษัท Google โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องถึงศักยภาพของไทยด้านธุรกิจดิจิทัลที่สามารถเป็นหุ้นส่วนสำคัญในการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์
และฝ่ายไทยแสดงความห่วงกังวลต่อมาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกา และพร้อมที่จะร่วมมือกันเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อบริษัท Google ในไทย
9. เรื่อง รายงานการเดินทางเยือนราชอาณาจักรสเปนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานการเดินทางเยือนราชอาณาจักรสเปนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอ
สาระสําคัญของเรื่อง
1. ศธ. รายงานว่า ศธ. ได้ประชุมหารือร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ อาชีวศึกษาและการกีฬาแห่งราชอาณาจักรสเปน (สเปน) เกี่ยวกับแนวทางความร่วมมือด้านการศึกษา ระหว่างวันที่ 23-24 เมษายน 2568 สรุปได้ ดังนี้
1.1 การลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่าง ศธ. แห่งราชอาณาจักรไทย กับกระทรวงศึกษาธิการ อาชีวศึกษาและการกีฬาแห่งราชอาณาจักรสเปน ว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษา (บันทึกความเข้าใจฯ)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ อาชีวศึกษาและการกีฬาสเปนได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2568
ณ กระทรวงศึกษาธิการ อาชีวศึกษาและการกีฬาสเปน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและพัฒนาการเรียนการสอนภาษาและวัฒนธรรมสเปนในระบบการศึกษาของประเทศไทย (ไทย) และการเรียนการสอนวัฒนธรรมไทยในสเปน การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางวิชาการ การพัฒนาศักยภาพครูและนักเรียนในด้านภาษาสเปน รวมถึงการพัฒนาวิชาชีพและการแลกเปลี่ยนทางวิชาการให้แก่นักเรียน ครูและผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาผ่านการจัดกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ ทั้งนี้ ได้จัดทำบันทึกความเข้าใจฯ เป็น 3 ภาษา ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาสเปน และภาษาอังกฤษ มีผลบังคับใช้เป็นระยะเวลา 4 ปี และอาจขยายออกไปอีก 4 ปี หากทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกัน
1.2 การประชุมหารือทวิภาคี
เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นตัวแทนฝ่ายไทยหารือร่วมกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ อาชีวศึกษาและการกีฬาสเปน เกี่ยวกับแนวทางความร่วมมือภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ ในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ (1) โครงการผู้ช่วยสอนภาษาสเปนเป็นเวลาหนึ่งปีการศึกษา (2) ขอรับการสนับสนุนสื่อการเรียนการสอนภาษาสเปน (3) การสอนภาษาสเปนเบื้องต้นแก่บุคลากรของ ศธ. (4) โครงการผู้ช่วยสอนภาษาสเปนในรูปแบบการนำนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยในสเปนมาฝึกสอนในโรงเรียนไทยระยะสั้น และ
(5) การจัดทำระยะเวลาดำเนินงานการขับเคลื่อนการสอนภาษาสเปนและจัดตั้งคณะทำงานร่วมทั้งสองประเทศภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ ทั้งนี้ ฝ่ายสเปนได้รับข้อเสนอประเด็นความร่วมมือดังกล่าวโดยเฉพาะโครงการผู้ช่วยสอน และจะเร่งหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการภายในเดือนกันยายน 2568
1.3 การศึกษาดูงานสถานศึกษาและหน่วยงานด้านการศึกษา สรุปได้ดังนี้
(1) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้ศึกษาดูงานและเยี่ยมชมการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนมัธยมศึกษา Instituto de Educacion Secundaria (IES) Avenida de los Toreros เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2568 โดยโรงเรียนดังกล่าวเป็นโรงเรียนในสังกัดรัฐบาลที่จัดการเรียนการสอนในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลายในโปรแกรมการเรียนสองภาษา (ภาษาอังกฤษและภาษาสเปน และใช้ชุดการเรียนการสอนของชุมชน Content and Languages Integrated Learning (CLIL)' Methodology Program แบ่งการเรียนการสอนเป็น 2 ระดับ ได้แก่ 1) Program 1 สำหรับนักเรียนที่ยังไม่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษ และ
2) Section 2 สําหรับนักเรียนที่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษในระดับดีและเรียนภาษาอังกฤษในระดับก้าวหน้า โดยมีการวัดระดับภาษาอังกฤษในระดับสากลและจัดให้มีผู้ช่วยสอนจากประเทศเจ้าของภาษาเพื่อให้คำแนะนำ ทั้งด้านภาษาและความรู้เฉพาะทางต่าง ๆ ใช้วิธีการสอนโดยบูรณาการรูปแบบและสื่อการเรียนที่มีความหลากหลาย รวมถึงการนำเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) มาใช้ในชั้นเรียน
(2) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้ประชุมหารือร่วมกับผู้แทนกรมการศึกษาและการฝึกอบรมวิชาชีพแห่งแคว้นกาตาลุญญา (กรมการศึกษาฯ) ณ เมืองบาร์เซโลนา สเปน เกี่ยวกับระบบการศึกษาและนโยบายการบริหารจัดการการศึกษาด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลของแคว้นกาตาลุญญา เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2568 เนื่องจากการจัดการเรียนการสอนของแคว้นกาตาลุญญา มีแผนงานด้านเทคโนโลยีการศึกษาและดิจิทัลที่ชัดเจนและใช้แนวทางของยูเนสโกและกรอบการพัฒนาศักยภาพครูของสหภาพยุโรป นอกจากนี้ โรงเรียนในแคว้นกาตาลุญญายังได้รับการสนับสนุนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เครือข่ายอินเทอร์เน็ต แพลตฟอร์มการเรียนรู้ต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงการจัดทำแพลตฟอร์มเฉพาะภายใต้เครือข่ายการศึกษาผ่านระบบทางไกลของแคว้นกาตาลุญญา นอกจากนี้ ในระหว่างการประชุมหารือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้กล่าวถึงนโยบายด้านการศึกษาของ ศธ. "เรียนดีมีความสุข" โดยคำนึงผู้เรียนเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงทั้งการศึกษาเพื่อความเป็นเลิศสำหรับผู้เรียนที่มีศักยภาพสูงเฉพาะทางและการศึกษาเพื่อความมั่นคงของชีวิตเพื่อให้ผู้เรียนนำความรู้ไปปรับใช้ด้านอาชีพ การขจัดความเหลื่อมล้ำ โดยจัดการศึกษาแก่เด็กโยกย้ายถิ่นฐานจากสาเหตุต่าง ๆ โดยเฉพาะนโยบาย Anywhere Anytime ซึ่งมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยี และ Al เพื่อสร้างโอกาส
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี