"นักวิชาการธรรมศาสตร์"ตั้งคำถามคำวินิจฉัยเพิ่มเติมของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ไม่ให้ ปชช.เลือกผู้ร่าง รธน.โดยตรง จะทำให้ศาลกลายเป็นผู้วางเงื่อนไขการเขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ หวั่นประชามติ 3 ครั้ง อาจทำให้ทอดเวลาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ออกไป
เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2568 จากกรณีที่ สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีการเปิดเผยเอกสารคำวินิจฉัยคำร้องที่ประธานรัฐสภาขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) โดยผลการพิจารณาในประเด็นสำคัญระบุว่า รัฐสภามีอำนาจริเริ่มหรือแสดงความต้องการเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ แต่ต้องให้ประชาชนออกเสียงประชามติให้ความเห็นชอบ โดยต้องทำประชามติ ทั้งหมด 3 ครั้ง ได้แก่ ครั้งที่ 1 ให้ประชาชนออกเสียงประชามติว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ครั้งที่ 2 ให้ประชาชนออกเสียงประชามติเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่ามีวิธีการและเนื้อหาที่สำคัญอย่างไร และครั้งที่ 3 ภายหลังรัฐสภาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว ให้ประชาชนออกเสียงประชามติว่า เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ โดยครั้งที่ 1 และ 2 สามารถทำพร้อมกันได้
รศ.ดร.วรรณภา ติระสังขะ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวว่า หากน้อมรับและพิจารณาคำวินิจฉัยในประเด็นที่กำหนดให้มีการทำประชามติครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 จะเห็นถึงการที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยโดยให้ความสำคัญกับการรับฟังเสียงของประชาชนอย่างมาก ตั้งแต่การต้องขอมติประชาชนว่าเห็นควรจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ และต้องขอมติประชาชนต่อวิธีการและเนื้อหาที่สำคัญ แต่ศาลรัฐธรรมนูญกลับวินิจฉัยเพิ่มเติมต่อไปว่า รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง ซึ่งดูคล้ายกับว่าเหตุผลนั้นมีความย้อนแย้งกันอยู่มิใช่น้อยต่อนัยในการให้ความสำคัญกับเสียงประชาชน และจะทำให้ศาลรัฐธรรมนูญกลายเป็นผู้วางและกำหนดเงื่อนไขในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสียเองใช่หรือไม่
ทั้งนี้ หากมองย้อนกลับไปถึงคำวินิจฉัยที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยไว้แล้ว เมื่อปี 2564 ในคำวินิจฉัยที่ 4/2564 จะพบข้อแตกต่างว่า ครั้งนี้ศาลรัฐธรรมนูญได้มีการเพิ่มเติมเนื้อหากำหนดให้มีการทำประชามติทั้งหมด 3 ครั้ง โดยในครั้งที่ 2 ที่ระบุว่า "ต้องให้ประชาชนออกเสียงประชามติเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่ามีวิธีการและเนื้อหาที่สำคัญอย่างไร" ซึ่งไม่ปรากฎรายละเอียดดังกล่าวอยู่ในคำวินิจฉัยที่ 4/2564
ดังนั้น แม้ว่าคำวินิจฉัยล่าสุดจะระบุให้การออกเสียงประชามติครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 อาจรวมเป็นครั้งเดียวกันได้ ทว่าการกำหนดเงื่อนไขให้มีการทำประชามติถึง 3 ครั้งนี้ อาจทำให้เกิดข้อจำกัดและการทอดเวลาของการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ออกไป นั่นเพราะตามหลักการแล้ว การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ส่งมอบอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญจากประชาชนไปสู่รัฐสภาอยู่แล้ว เพื่อกำหนดกรอบกติกา กระบวนการ ในจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ นอกจากนี้ยังมีคำถามอีกว่าศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุผลใดในการวินิจฉัยประเด็นดังกล่าว ซึ่งรายละเอียดตรงนี้คงต้องรออ่านคำวินิจฉัยฉบับเต็มประกอบ
นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าวต่อไปด้วยว่า เพื่อให้เกิดการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ พรรคการเมือง สภาผู้แทนราษฎร รวมถึงรัฐบาล จำเป็นต้องเร่งผลักดันให้มีการเปิดประชุมสภา เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15 ในวาระที่ 1 ภายในเดือน ก.ย.โดยไม่ต้องรอรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เพื่อให้สอดคล้องกับการหาเสียง หรือการให้คำมั่นกับประชาชนตั้งแต่รณรงค์การเลือกตั้ง หรือการตั้งรัฐบาล
นอกจากนี้ กระบวนการทำงานรัฐสภายังจำเป็นต้องควบคู่กับการขับเคลื่อนนอกสภาด้วยเช่นเดียวกัน เพื่อให้ประชาชนเห็นถึงความสำคัญของการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และให้เกิดเสียงของการผลักดัน ขับเคลื่อนด้วยเช่นเดียวกันภายใต้กรอบเวลาที่จำกัด
"สิ่งสำคัญของการออกเสียงประชามติ รวมถึงการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ผลที่ได้คือการได้มีพื้นที่สาธารณะของการถกเถียงกันในประเด็นโครงสร้างของสถาบันการเมือง ประเด็นผลประโยชน์สาธารณะ สิทธิเสรีภาพของประชาชน ดังนั้น กระบวนการก่อนการลงประชามติ จึงมีความสำคัญที่ยิ่งหย่อนไม่น้อยกว่าการได้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพราะจะเป็นโอกาสในการสร้างให้ผู้คนได้ตระหนักรู้ถึงคุณค่าของความเป็นกฎหมายสูงสุด ตลอดข้อผิดพลาด ปัญหาและบทเรียนที่เกิดขึ้นของบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่เกิดขึ้น โดยต้องให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชนตลอดกระบวนการ การสร้างดุลยภาพทางการเมืองของสถาบันทางการเมือง เพื่อให้เกิดฉันทามติทุกภาคส่วนในการออกแบบประเทศใหม่ร่วมกัน" รศ.ดร.วรรณภา กล่าว
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี