‘อดีตขุนคลัง’เลคเชอร์ 3 ข้อแนะ‘รัฐบาลอนุทิน’ฟื้น‘คนละครึ่ง’ถูกวินัยการเงินการคลัง
17 กันยายน 2568 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และอดีตรมว.คลัง โพสต์เฟซบุ๊ก Thirachai Phuvanatnaranubala - - ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เรื่อง “คนละครึ่ง ถูกวินัยการเงินการคลัง” ระบุว่า...
“คนละครึ่ง”ถูกวินัยการเงินการคลัง
ตามที่รัฐบาลของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี จะนำโครงการ “คนละครึ่ง” กลับมาใช้ให้ถูกหลักการวินัยการเงินการคลัง ต้องคำนึงต่อไปนี้
1.ต้องประกาศแผนใช้คืนหนี้สาธารณะ
ขณะนี้ ไทยมีหนี้สาธารณะ 11.7 ล้านล้านบาท คิดเป็น 63.6% ของจีดีพี
แต่ละปี รัฐขาดดุลงบประมาณอีก 8 แสนล้านบาท และตัวเลขขาดดุลจะเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งจะทำให้รัฐบาลต้องกู้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นทุกปีเพื่อปิดงบขาดดุล
จึงคาดว่าสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ จีดีพี จะพุ่งขึ้นไปติดเพดาน 70% ภายในเวลาอีกเพียงแค่ 3 ปีข้างหน้า
ดังนั้น ถึงแม้จะบังเอิญมีงบประมาณเหลือสำหรับรองรับโครงการ “คนละครึ่ง” แต่เนื่องจากแต่ละปี งบขาดดุล จึงมีผลเป็นการกู้หนี้สาธารณะมาเพื่อทำโครงการ “คนละครึ่ง” นั่นเอง
ในขณะนี้ กรณีมีงบประมาณเหลือนั้น รัฐบาลต้องชั่งน้ำหนักเปรียบเทียบกับความจำเป็นเร่งด่วน หลายด้านหลายสาขาที่จะต้องแย่งงบประมาณก้อนนี้ เช่น
-การเยียวยาผู้ค้ารายย่อยชายแดนไทย-กัมพูชา
-การเยียวยาปรับตัวของเกษตรกรเพื่อรับมือภาษีทรัมป์
จึงขอแนะนำให้รัฐบาลชี้แจงชัดเจนแก่ประชาชนก่อนเดินหน้าโครงการ “คนละครึ่ง” ว่า ได้คำนึงถึงความจำเป็นเร่งด่วนอื่น และกันงบประมาณเตรียมรองรับเอาไว้ หรือไม่ เท่าไหร่
รวมทั้งรัฐบาลมีแผนการจะหาเงินมาชำระหนี้สาธารณะ ที่จะเกิดขึ้นจากโครงการ “คนละครึ่ง” ครั้งนี้ เมื่อไหร่ อย่างไร
2.โครงการที่เป็นรัฐสวัสดิการต้องจำกัดเฉพาะกลุ่มเปราะบาง
รัฐบาลจะต้องแจกแจงให้ชัดเจนว่า โครงการ “คนละครึ่ง” ของรัฐบาลอนุทินนั้น จะเป็นรัฐสวัสดิการ หรือจะเป็นกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะสองวัตถุประสงค์นี้มีประเด็นพิจารณาเรื่องวินัยการเงินฯแตกต่างกัน
กรณีตั้งวัตถุประสงค์ให้เป็นรัฐสวัสดิการ ก็ต้องจำกัดวงเฉพาะกลุ่มเปราะบาง
เพราะการเอาภาษีและหนี้สาธารณะของคนไทยทั้งชาติ ไปอุดหนุนเปรอะไปหมด รวมไปถึงคนที่ช่วยตัวเองได้อยู่แล้วนั้น จะเป็นนโยบายที่ผิดหลักวิชาการคลัง จะเป็นนโยบายการคลังเพียงเพื่อให้ความนิยมทางการเมืองกระจายกว้างขวางมากที่สุด
ทั้งนี้ รัฐบาลอนุทินต้องไม่อ้างอิงเปรียบเทียบกับรัฐบาลประยุทธ์ เพราะวิกฤตโควิดที่ล็อคดาวน์คนอยู่บ้านได้ผ่านพ้นไปแล้ว และโครงการ “คนละครึ่ง” ของรัฐบาลประยุทธ์ก็ได้เพิ่มหนี้สาธารณะไปมากแล้ว มาถึงรัฐบาลอนุทิน ต้องเข้ายุคประหยัดและหาทางแก้ปัญหาหนี้แล้ว
3.โครงการที่เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจต้องมุ่งให้ได้ผลต่อ จีดีพี
กรณีตั้งวัตถุประสงค์ให้เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็ต้องเล็งเป้าหมายไปที่ “กลุ่มคนที่มีศักยภาพ” ที่จะควักกระเป๋า “ครึ่ง”
เงื่อนไขต้องปรับให้แตกต่างไปจากสมัยรัฐบาลประยุทธ์ โดยต้องกำหนดให้ “กลุ่มคนที่มีศักยภาพ” ควักกระเป๋า “ครึ่ง” เป็นการนำรัฐบาลไปก่อน เช่น รัฐบาลจะให้สิทธิ “ครึ่ง” เป็น 2 ระดับ
ระดับที่หนึ่ง เมื่อจ่ายเกิน 500 บาทไปแล้วรัฐจะชดเชยให้ 250 บาท
ระดับที่สอง เมื่อจ่ายเกิน 1,000 บาทไปแล้วรัฐจะชดเชยให้ 500 บาท เป็นต้น
นอกจากนี้ ต้องบังคับให้ “กลุ่มคนที่มีศักยภาพ” เร่งการใช้จ่าย โดยกำหนดเงื่อนไขว่า สิทธิที่รัฐมอบให้ในแต่ละวัน ถ้าผู้รับไม่ใช้สิทธิภายในวันนั้น สิทธิดังกล่าวจะสิ้นอายุ เป็นต้น
ผมสรุปว่า โครงการ “คนละครึ่ง” มีข้อดีหลายอย่าง เช่น ลงไปช่วยพ่อค้ารายย่อย ทำได้เร็วเพราะมีระบบทำงานพร้อมอยู่แล้ว
แต่ในข้อเท็จจริง รัฐบาลย่อมมีหน้าที่ต้องใช้จ่ายงบประมาณอย่างประหยัดหวงแหน มิใช่แบบสุรุ่ยสุร่าย และการทำโครงการนี้ย่อมมีผลทำให้ตัวเลขขาดดุลงบประมาณถ่างออกไปอีกเรื่อยๆ
ดังนั้น เพื่อยึดหลักการวินัยการเงินฯ รัฐบาลควรจะกำหนดวงเงินโดยรวมเพื่อใช้สำหรับโครงการนี้เพียงพอเหมาะพอสม
และต้องชี้แจงประเด็นข้างต้นต่อประชาชนอย่างละเอียดชัดเจน ก่อนจะเดินไปข้างหน้า
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี