'นพดล กรรณิกา'เสนอตั้ง'คณะกรรมการร่วมพลเรือน-ทหาร' ผสานหลักประชาธิปไตย-ข้อมูลภาคสนาม แก้ปัญหาชายแดน
เมื่อวันที่ 22 ก.ย.2568 ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผู้ก่อตั้งซูเปอร์โพล ได้สะท้อนมุมมองต่อหลักการ การควบคุมกองทัพโดยพลเรือน (Civilian Control of the Military) โดยระบุว่า การแสดงความเห็นของนักวิชาการรัฐศาสตร์จำนวนหนึ่งต่อกรณีอำนาจการจัดการชายแดนและบทบาทของกองทัพ เป็นข้อถกเถียงที่มีคุณค่ามากในเชิงประชาธิปไตยโดยเฉพาะหลักการ “การควบคุมกองทัพโดยพลเรือน” (Civilian Control of the Military) ที่ถือเป็นหัวใจสำคัญของการเมืองสมัยใหม่ หลักการดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการยึดโยงอำนาจอธิปไตยกับประชาชนและทำให้รัฐบาลต้องรับผิดชอบต่อการตัดสินใจเชิงนโยบาย
ในมุมมองของผมนั้นหลักการนี้มีจุดแข็งอยู่ที่การตอกย้ำคุณค่าของประชาธิปไตยและการผลักดันให้รัฐบาลยืนหยัดในหลักการตรวจสอบได้ (Accountability) ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ทำให้ประเทศมั่นคงและก้าวหน้าในระยะยาว อย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงของปัญหาชายแดนมิใช่เพียงประเด็นเชิงหลักการอย่างเดียวหากแต่ยังมีความซับซ้อนในเชิงยุทธศาสตร์ความมั่นคงและการปฏิบัติการภาคสนามในเชิงพื้นที่ที่ประชาชนเองก็คาดหวังให้แก้ไขได้อย่างทันท่วงที
ดังนั้น จุดอ่อนของการยึดหลักวิชาการเพียงด้านเดียวคือการอาจไม่สามารถตอบสนองต่อความท้าทายของสถานการณ์จริงได้ทั้งหมด ตัวอย่างเช่น ในการบริหารจัดการชายแดน บทบาทของกองทัพมิได้เป็นเพียงผู้ใต้บังคับบัญชาแต่เป็นหน่วยงานที่มีข้อมูลภาคสนาม ทรัพยากรและบุคลากรที่พร้อมปฏิบัติ หากไม่มีการนำองค์ความรู้จากกองทัพมาเสริมอาจทำให้การตัดสินใจเชิงนโยบายของรัฐบาลขาดมิติความเป็นจริง
ลองพิจารณาเหตุการณ์จริง ๆ บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาที่น่าจะทำให้เห็นภาพชัดเจนว่า บทบาทของกองทัพและข้อมูลภาคสนามมีความสำคัญอย่างไรบ้าง
(1) ทหารไทยได้รับบาดเจ็บจาก กับระเบิดแสวงเครื่อง (Landmine) หลังมีข้อตกลงหยุดยิงไว้แล้ว แสดงให้เห็นว่า ถึงแม้มีนโยบายหรือข้อตกลงจากรัฐบาลฝ่ายพลเรือน “หยุดยิง (ceasefire)” แล้ว แต่ยังคงมีภัยที่อาจไม่ได้ถูกควบคุม หรือ ไม่ถูกประเมินอย่างละเอียด เช่น กับระเบิดที่ยังไม่ได้เก็บ จุดที่เสี่ยง ฯลฯ ดังนั้น ถ้าไม่มีข้อมูลภาคสนาม เช่น รายงานพื้นที่จริงจุดที่มีกับระเบิดเส้นทางลาดตระเวนพิกัด ฯลฯ อาจส่งผลให้รัฐบาลฝ่ายพลเรือนคิดว่า “หยุดยิงแล้วปลอดภัย” แต่ในทางปฏิบัติยังมีความเสี่ยงอีกมากที่ไม่ได้รับการจัดการระดับพื้นที่
(2) กรณีการปะทะในหลายจุดตามแนวชายแดนช่วงหนึ่งของปีนี้ประชาชนจำนวนหลักแสนคนได้รับผลกระทบ ดังนั้น กองทัพและเจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐอื่น ๆ ที่อยู่ในพื้นที่มีข้อมูลที่แม่นยำเกี่ยวกับสถานการณ์จริง ความเคลื่อนไหวของกองกำลังฝ่ายตรงข้าม ผลของกระสุนปืนใหญ่ ฯลฯ จะช่วยรัฐบาลตัดสินใจได้ว่าจะอพยพประชาชนเมื่อไหร่ ปิดด่านไหน หรือ ประกาศเตือนภัยล่วงหน้า เป็นต้น
(3) การชุมนุมของผู้ประท้วงฝั่งกัมพูชา กับแนวลวดหนาม รั้วริมชายแดนไทย ซึ่งกองทัพ และ ตำรวจ พร้อมหน่วยงานความมั่นคง ใช้แก๊สน้ำตาหรือกระสุนยางตอบโต้ เพื่อรักษาแนวชายแดนที่เป็นอธิปไตยของไทย เหตุการณ์นี้ กองทัพต้องรู้ พิกัดของแนวชายแดนจริง ข้อพิพาทแผนที่หรือ การตีความอาณาเขต ความคิดเห็นของชาวบ้านในพื้นที่ฯลฯ เพื่อประเมินวิธีการตอบโต้ที่เหมาะสม มีความเสี่ยงอย่างไรต่อภาพลักษณ์และสันติภาพท้องถิ่น
ทางออกที่ผมเสนอให้พิจารณาร่วมกัน คือ การผสานสองพลังเข้าด้วยกัน นั่นคือ รัฐบาลและรัฐมนตรีผู้กำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้อง ทำงานร่วมกับกองทัพที่มีประสบการณ์ภาคสนามโดยจัดตั้งกลไก “คณะกรรมการร่วมพลเรือน-ทหาร” ที่มีรัฐบาลเป็นผู้นำอย่างชัดเจนแต่เปิดพื้นที่ให้กองทัพนำเสนอข้อมูลและข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์เพื่อประกอบการตัดสินใจ วิธีนี้จะช่วยสร้างความสมดุลระหว่าง หลักการประชาธิปไตย และ ประสิทธิภาพเชิงปฏิบัติ
ผมเชื่อว่า ท่าทีเช่นนี้จะสะท้อนให้ประชาชนเห็นว่ารัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล มิได้เพียงแค่ยึดติดกับหลักวิชาการ หรือฝากทุกอย่างไว้กับกองทัพฝ่ายเดียว แต่กลับเลือกแนวทางที่ “สร้างสรรค์และสมดุล” เพื่อให้ได้ทั้งความถูกต้องตามหลักการ และความสำเร็จเชิงผลลัพธ์ระดับพื้นที่ที่ประชาชนจับต้องได้
นี่คือ หลักวิชาการการเมืองเพื่อความมั่นคงสงบสันติแห่งชาติที่ยั่งยืน ที่ไม่ใช่การโต้แย้งเพื่อเอาชนะกัน แต่เป็นการยกระดับการถกเถียงไปสู่ทางออกที่ดียิ่งขึ้น และนี่คือความมุ่งมั่นที่ผมเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มศรัทธาของประชาชนต่อรัฐบาล ต่อกองทัพและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี