นายกฯย้ำ‘รบ.-ทหาร’แยกกันเดินร่วมกันตี
ยอมเขมรไม่ได้แล้ว!
ไล่บี้รีบแก้พิพาทชายแดน
เหตุไทยได้เปรียบทุกประตู
เตรียมบินถกยูเอ็น25-26ก.ย.
โต้ข้อกล่าวหากัมพูชาขี้ฟ้อง
“อนุทิน”ยอมรับเตรียมแผนบินร่วมประชุมสมัชชาใหญ่ UN แต่ขอหารือหน่วยงานด้านก.ม.ถึงสถานะรัฐบาลจะได้หรือไม่ ถ้ายังไม่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา มองไทยไม่ควรหายไปจากเวทียูเอ็นไปเลย เพราะมีเขมรไปร้องกล่าวหาไทยหลายประเด็น ควรต้องไปชี้แจง ด้าน มทภ.2 ขอบคุณ “นายกฯ”ไฟเขียว แก้ปัญหาชายแดน เผย กัมพูชา ไม่มีท่าทีถอนอาวุธหนัก มีแต่เพิ่มกำลัง ลั่น เลิกคุย หากยังยั่วยุ บินโดรน-ฝั่งทุ่นระเบิด ขณะที่ตำรวจคุมฝูงชน 1,400 นาย จาก 5 จังหวัด ลงชายแดนสระแก้ว เตรียมพร้อมลุยม็อบเขมรหากล้ำเข้าไทย
เมื่อวันที่ 22 กันยายน นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมพร้อมบินไปร่วมประชุมสมัชชาใหญ่องค์การสหประชาชาติ (UN) ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกาว่า กำลังตรวจสอบว่าประธานรัฐสภาจะให้แถลงนโยบายวันไหน ตนขอไปวันจันทร์ที่ 29 กันยายน แต่เวที UN ที่ให้ขึ้นแสดงวิสัยทัศน์ เกิดขึ้นวันที่ 26 กันยายน โดยวันที่เข้าเฝ้าถวายสัตย์ฯคือ วันพุธที่ 24 กันยายน หลังเข้าเฝ้าฯแล้วจะเรียกประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ทันที โดยจะหารือเรื่องนี้ด้วยกับหลายหน่วยงาน ทั้งกฤษฎีกาและกระทรวงการต่างประเทศว่าสถานะของรัฐบาลในการไปประชุมสมัชชาใหญ่ UN จะไปได้หรือไม่ หากไปได้ก็จะได้ไปพบปะหารือ หรือร่วมทวิภาคี โดยชัดเจนตรงนั้น
เตรียมแผนบินถกUN25-26กย.
“การไปเวที UN จำเป็น เพราะอยู่ดีๆประเทศไทยก็หายไปจากวง UN ทั้งที่เรื่องที่คนไปร้องเรียนว่าประเทศไทยละเมิดกฎนานาชาติ ทั้งที่จริงๆแล้วเราถูกละเมิดมากกว่าจึงถือเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้ไปพบกับประชาคมโลก และผู้นำประเทศที่จะชี้แจงให้ทราบว่าไทยไม่ได้เป็นตามที่ถูกกล่าวหามา ซึ่งถือว่าจำเป็นและได้เตรียมให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้สแตนด์บายไว้ ผมได้อยู่แล้วและได้ให้เตรียมแผนการเดินทางแล้ว ไปเช้าเย็นกลับ ใช้เวลาเดินทางมากกว่าเวลาไปประชุม เพราะวันที่จะหารือได้มากที่สุดน่าจะเป็นวันที่ 25-26 กันยายน และจะกลับมาทันแถลงนโยบาย ถ้าเป็นวันที่ 29 กันยายน - 1 ตุลาคม” นายอนุทิน กล่าว และว่า ในการไปพูดคุยในเวที UN ประเด็นหลักมีหลายเรื่อง ทั้งเรื่องการค้าและภาษีนำเข้าส่งออกเรื่องอธิปไตยของไทยต่างๆมากมาย หากไปเยือน UN แบบไม่แสดงวิสัยทัศน์ได้หรือไม่ ต้องหารือกับหลายหน่วยงานก่อน เพราะมีขั้นตอน
เขมรเมินผลถกRBCมีแต่เพิ่มกำลัง
ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้า การนำผลประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย-กัมพูชา (GBC) เมื่อวันที่ 10 กันยายนไปสู่การปฏิบัติ โดยที่ประชุมกำหนดให้ถอนอาวุธหนัก และยุทโธปกรณ์ทำลายล้างสูงออกจากพื้นที่ชายแดนกลับสู่ที่ตั้งปกติ โดยฝ่ายเลขานุการจีบีซี และอาร์บีซี จะหารือกันภายใน 3 สัปดาห์ เพื่อทำแผนดำเนินการ และเริ่มเคลื่อนย้ายกำลังตามกรอบเวลาที่กำหนด โดยให้คณะผู้สังเกตการณ์ (IOT) มาร่วมสังเกตการณ์นั้น
พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่2 เปิดเผยความคืบหน้าการนัดประชุมคณะกรรม ชายแดนส่วนภูมิภาคไทย-กัมพูชา (RBC) จัดทำแผนถอนอาวุธหนัก และยุทโธปกรณ์ทำลายล้างสูงออกจากพื้นที่ชายแดนว่า ฝ่ายเขมรยังไม่มีท่าทีที่จะดำเนินการ มีแต่จะเพิ่มกำลังในพื้นที่ ยังไม่ชัดว่าจะนำไปสู่การปฏิบัติได้หรือไม่ และยังไม่ได้กำหนดการประชุม RBC คาดว่าจะเป็นต้นเดือนตุลาคม
มทภ.2ฮึ่มยั่วยุไม่เลิกไม่คุยต่อแล้ว
“การทำแผนถอนอาวุธ ก็คงดำเนินการไปอย่างนั้นตามทฤษฎี และเชื่อว่ากัมพูชาก็คงไม่นำไปสู่การปฏิบัติ ต่อไปนี้หากเขมรมีพฤติกรรมยั่วยุ เราจะไม่คุยต่อไปแล้ว ปัจจุบันพบว่ากัมพูชายังใช้โดรนบินเข้าพื้นที่อธิปไตยของไทยทุกวัน และยังพบมีการฝังทุ่นระเบิดสังหารบุคคลอยู่เรื่อยๆ”พลโทบุญสิน กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกฯ ประกาศให้อำนาจกองทัพตัดสิน เปิด-ปิดด่านและสร้างรั้วชายแดนเต็มที่ พลโทบุญสินกล่าวว่า ต้องขอบคุณนายกฯ ที่ให้ความเชื่อมั่นและไฟเขียวกองทัพในการแก้ไขปัญหาชายแดน
แม่ทัพกุ้งขอบคุณปชช.เบิร์ธเดย์60ปี
พล.ท.บุญสินยังกล่าวขอบคุณประชาชนที่ร่วมส่งคำอวยพร ทั้งในโอกาสครบรอบสถาปนาหน่วย และตรงกับวันคล้ายวันเกิดของตน พร้อมยืนยันว่า แม้ปีนี้จะเป็นปีสุดท้ายของการรับราชการ จะยังคงอุทิศตนเพื่อประเทศชาติต่อไปในบทบาทใหม่ที่เหมาะสม พร้อมขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่มอบนโยบายชัดเจน สะท้อนความร่วมมือระหว่างกองทัพและรัฐบาลในการพิทักษ์อธิปไตย ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ และฝากความหวังให้กองทัพภาคที่ 2 ยืนหยัดรักษาอธิปไตยของชาติ รวมถึงขับเคลื่อนภารกิจร่วมกับหน่วยงานทุกภาคส่วนจนบรรลุเป้าหมายเพื่อความมั่นคงของประเทศ
ทภ.1เตรียมถกRBCวาระพิเศษ24กย.นี้
ขณะที่กองทัพภาคที่ 1 พลโท อมฤต บุญสุยา แม่ทัพภาคที่ 1 เตรียมประชุม RBC วาระพิเศษ ระหว่างกองทัพภาคที่ 1 และภูมิภาคทหารที่ 5 ที่จะจัดขึ้นวันที่ 24- 26 กันยายน ที่ปอยเปต กัมพูชา ณ ห้องประชุม กองทัพภาคที่ 1 นำแผนการเก็บกู้ทุ่นระเบิดไปเสนอ รวมถึงการจัดระเบียบพื้นที่ชายแดนจ.สระแก้ว ฟาก กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ( กปช.จต.) เลื่อนการประชุมRBC ออกไป เนื่องจากมีกรณีการผ่อนปรนด่านจันทบุรี-ตราดเข้ามาช่วงนั้น และวันที่ 30 กันยายน ศบ.ทก. ให้แต่ละพื้นที่สำรวจเพื่อทำแผนไว้ภายใน1 เดือน แต่ยังไม่เกิดขึ้น
เขมรเสริมตชด.นับร้อยเฝ้าชายแดนสระแก้ว
ด้านสถานการณ์ชายแดนที่บ้านหนองหญ้าแก้ว และบ้านหนองจาน อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ยังสงบเรียบร้อยไม่มีมวลชนชาวกัมพูชามาประชิดแนวรั้วลวดหนาม มีเพียงเพิงพักตรงข้ามชายแดนบ้านหนองหญ้าแก้ว ที่มีชาวเขมร 30-40 คนเดินวนเวียนเข้า ออก และมีทหารกัมพูชาประมาณ 2-3 นาย คอยเดินมาดูและสอดส่องความเคลื่อนไหวของทหารไทย มีกำลัง ตชด.กัมพูชาเข้ามาเสริมในพื้นที่มากกว่า 100 นาย ซึ่งกองกำลังบูรพา ได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่ทหารและฝ่ายปกครอง อ.โคกสูงฯคอยดูแลความสงบเรียบร้อยตลอดแนวชายแดน 24 ชั่วโมง
ส่วนบริเวณจุดตรวจบ้านหนองจาน (จต.ส.40) ถนนศรีเพ็ญ ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว มีความเคลื่อนไหวฝั่งเขมร โดยมีทหารเขมรส่วนหนึ่งนำคณะทหาร ซึ่งคาดว่าเป็นคณะ IOT จำนวน 30 - 40 คน เข้ามายังพื้นที่ บริเวณแนวลวดหนาม เป็นการเข้ามาติดตามสถานการณ์เพิ่มจาก 1-2 วันที่ผ่านมา มีเหตุชาวบ้านรวมตัวชุมนุมประท้วงและติดตามสถานการณ์ฝ่ายไทย ทั้งนี้ ฝั่งเขมรยังทำปฏิบัติการข่าวสาร หรือ ไอโอ (IO) มาตลอด โดยถ่ายภาพและคลิปวิดีโอ เพื่อนำไปเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารบิดเบือนข้อเท็จจริง
คฝ.1.4พันนายจาก5จว.ตรึงสระแก้ว
ขณะที่พ.ต.อ.จตุรภัทร สิงหัษฐิต รอง ผบก.ภ.จว.สระแก้ว หัวหน้าชุดกองร้อยชุดควบคุมฝูงชน (คฝ) ภ.จว.สระแก้ว เผยว่า กองร้อยควบคุมฝูงชน(คฝ) ตร.ภ.2 ประมาณ 1,400นาย จาก ตร.คฝ. 5 จังหวัด ภาคตะวันออก ได้แก่ คฝ.ภ.จว.สระแก้ว,คฝ.ภ.จว.ปราจีนบุรี,คฝ.ภ.จว.ฉะเชิงเทรา ,คฝ.ภ.จว.ระยอง และ คฝ.ภ.จว.ชลบุรี ได้ลงพื้นที่เตรียมพร้อมรับทุกภารกิจรักษาความสงบในพื้นที่ชายแดน จ.สระแก้ว โดยเมื่อบ่ายวันที่ 21 กันยายน พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผบช.ภ.2 เดินทางมาตรวจความพร้อมกองร้อยควบคุมฝูงชน ตร.ภ.2 จำนวน 1400 นาย ที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดสระแก้ว และตรวจเช็คยุทโธปกรณ์ควบคุมฝูงชน พร้อมกำชับกำลังพลซักซ้อมยุทธวิธี โดยยึดหลักกฎหมาย เน้นความปลอดภัยของกำลังพล ย้ำให้กำลังพลทุกนายยึดมั่นปฏิบัติอย่างมืออาชีพ
เตรียมพร้อมปฎิบัติภารกิจถ้าเขมรล้ำ
พ.ต.อ.จตุรภัทรเผยอีกว่า ผบช.ภ.2 แสดงความห่วงใยกำลังพลทุกนาย พร้อมบอกว่า กำลังพล คฝ.ทุกนายมีขวัญและกำลังใจที่ดี พร้อมรับปฏิบัติทุกภารกิจในการรักษาความสงบเรียบร้อย โดยมีกำลังจากกองร้อยอาสารักษาดินแดนจังหวัดสระแก้ว 80 นาย มาเข้าร่วมภารกิจด้วย ซึ่งการมาตรวจความพร้อมของ ผบช.ภ.2 เพื่อสร้างความพร้อมปฏิบัติภารกิจรักษาความสงบในเขตรับผิดชอบตำรวจภูธรภาค 2 ซึ่งครอบคลุม 8 จังหวัดภาคตะวันออก รวมทั้งเมื่อมีสถานการณ์จำเป็นที่หน่วยความมั่นคง เช่น กำลังป้องกันชายแดน อาทิ กองกำลังบูรพา กองกำลังจันทบุรีตราดร้องขอ ซึ่งวันนี้เน้นย้ำการปฏิบัติของชุดควบคุมฝูงชนต้องปฏิบัติตามยุทธวิธี และให้ผู้ควบคุมกำลังตรวจสอบความพร้อมยุทโธปกรณ์ ซักซ้อมการปฏิบัติอย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันความผิดพลาด รวมถึงป้องกันการสูญเสียของกำลังพล
พ.ต.อ.จตุรภัทรเผยด้วยว่า ขณะนี้สถานการณ์ในพื้นที่ ยังไม่น่าเป็นห่วง กองกำลังที่รับผิดชอบในพื้นที่ยังพร้อมปฏิบัติ ในส่วนตำรวจเน้นย้ำการปฏิบัติตามกฎหมาย ทั้งกฎหมายที่มีโทษอาญาตามปกติและการปฏิบัติตามกฎหมายพิเศษ เช่น กฎอัยการศึก เมื่อหน่วยความมั่นคงในพื้นที่ร้องขอก็สามารถปฏิบัติได้ทันที คฝ.ทุกนายพร้อมลุยทุกภารกิจที่ได้รับมอบหมายแล้ว
ทบ.ยันบ้านไปรจันอยู่ในเขตอธิปไตยไทย
วันเดียวกัน กองทัพไทยชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับหลักเขตแดนที่ 42 และ 43 ในพื้นที่อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว โดยพลตรี วิทัย ลายถมยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย เปิดเผยถึงประเด็นหลักเขตแดนว่า หลักเขตแดนที่ 42 ตั้งอยู่ที่บ้านหนองหญ้าแก้ว (บ้านไปรจัน) ตำบลโคกสูง อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว และหลักเขตแดนที่ 43 ตั้งอยู่ที่บ้านโนนหมากมุ่น ตำบลโคกสูง อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว การกำหนดแนวเขตแดนในพื้นที่ดังกล่าวเป็นเส้นตรงจากหลักเขตแดนที่ 41 มายังหลักเขตแดนที่ 42 และต่อเนื่องไปยังหลักเขตแดนที่ 43 จากนั้นแนวเขตแดนจะไปตามคลองระลมระสือจนถึงหลักเขตแดนที่ 44
สำหรับกระบวนการสำรวจ ชุดสำรวจร่วมไทย–กัมพูชาทำตามขั้นตอนที่ 1 ของ TOR คือ การสำรวจสภาพ และที่ตั้งของหลักเขตแดนทั้งหมด 74 หลัก ตั้งแต่ปี 2549 โดยในส่วนหลักเขตแดนที่ 42 ได้สำรวจเมื่อวันที่ 2–29 ตุลาคม 2549 พบว่ายังอยู่ในสภาพดี แต่ทั้งสองฝ่ายเห็นต่างกันในเรื่องที่ตั้ง ประมาณ 80 เมตร ส่วนหลักเขตแดนที่ 43 ได้สำรวจเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน–12 ธันวาคม 2549 พบว่าหลักล้ม และถูกฝังอยู่ในดิน อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายสามารถตกลงที่ตั้งที่ถูกต้องร่วมกันได้ และได้สร้างหมุดชั่วคราว (Temporary Marker: TM) ไว้ ณ ตำแหน่งดังกล่าว
ผลสำรวจร่วมทั้งหมด 74 หลัก รวมถึงหลักเขตแดนที่ 42 และ 43 ได้รับการรับรองแล้วในการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย–กัมพูชา (JBC) ครั้งที่ 6 เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2568 แต่ยังไม่ได้สำรวจแนวเขตแดนในส่วนเส้นตรงระหว่างหลักทั้งสอง ในหลักฐานบันทึกวาจาและแผนผังแสดงที่ตั้งหลักเขตแดนทั้งสอง ซึ่งเป็นไปตามที่ระบุในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 ได้ระบุแนวเขตแดนเป็นเส้นตรงระหว่างหลักทั้งสอง
“กองทัพไทยขอยืนยันว่า บ้านหนองหญ้าแก้ว (บ้านไปรจัน) อยู่ในเขตอธิปไตยของไทย ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อนที่เกิดจากความแตกต่างของการลากเส้นตรงระหว่างหลักเขตแดนที่ 42 และ 43 การดำเนินการทั้งหมดเป็นไปตามกระบวนการ และหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ได้รับการรับรองร่วมกันแล้ว ภายใต้บันทึกความเข้าใจ (MOU 2543) และการหารือระดับคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย–กัมพูชา (JBC)”พล.ต.วินธัยกล่าว
ผบ.ทสส.เยี่ยมกำลังพลปราสาทตาควาย-ภูมะเขือ
วันเดียวกัน พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่แนวชายแดนไทย–กัมพูชา ในพื้นที่ ปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์และภูมะเขือ จ.ศรีสะเกษ โดยมี พล.ต.ต.รุ่งโจรน์ ฐากูรปุณยสิริ รองผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน รอง (ผบช.ตชด. ) ให้การต้อนรับ
โดยทาง ผบ.ทสส. ได้รับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ชายแดนและภารกิจของกำลังพล พร้อมทั้งมอบนโยบายในการปฏิบัติหน้าที่ ตลอดจนเน้นย้ำการดูแลความมั่นคง ความปลอดภัยในพื้นที่ และการปฏิบัติงานด้วยความเข้มแข็งควบคู่กับการดูแลประชาชนในพื้นที่ชายแดน พร้อมทั้งได้กล่าวชื่นชมกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเสียสละ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ท้าทาย และยืนยันความพร้อมของตำรวจตระเวนชายแดนที่จะยืนหยัดเคียงข้างประชาชนและปกป้องอธิปไตยของชาติอย่างเต็มกำลัง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี