'โรม'แฉแหลก!!! หลักฐาน'เบน สมิธ'เจ้าพ่อสแกมเมอร์เขมร โผล่ร่วมทุกวง'ทักษิณ-ธรรมนัส'

'โรม'แฉแหลก!!! หลักฐาน'เบน สมิธ'เจ้าพ่อสแกมเมอร์เขมร โผล่ร่วมทุกวง'ทักษิณ-ธรรมนัส'

วันอังคาร ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2568, 16.43 น.

ข้อมูลลึกนึกถึงโรม! มารอบนี้เข้มๆแฉ ‘คู่ปรับ’ ประเทศข้างๆไทย เปิดภาพ ‘เบน สมิธ’ เจ้าพ่อสแกมเมอร์ตัวพ่อกุนซือ ‘ฮุน เซน’ โผล่ทุกวงโยงลาม ‘ทักษิณ-ธรรมนัส’ ร่วมดัน ‘เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์’ ด้วย ลั่นประเทศไทยไม่ใช่ทางผ่านไปนรกแล้วแต่เป็นจุดหมาย เชื่อผู้มีอำนาจในเขมรแค้น ไทยชวดดันกาสิโน หมดหวังเอา ‘เงินดำ’ มาฟอก กระตุกเตือน ‘อนุทิน’ เข้มจริงจัง อย่าให้ซ้ำรอย รัฐบาลเดิม ติงคิดผิดฝากความหวังทหารแก้ชายแดน ย้ำทุกฝ่ายต้องช่วยกัน

วันที่ 30 กันยายน 2568 เมื่อเวลา 14.30 น. ที่รัฐสภา ในการประชุมร่วมรัฐสภา ที่มีนายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา พิจารณาเรื่องด่วน คณะรัฐมนตรี(ครม.) แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ต่อเนื่องเป็นวันที่2 ทำหน้าที่ประธานการประชุม โดยนายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ลุกขึ้นอภิปรายว่า ตั้งแต่มีมีปัญหาไทย-กัมพูชา ที่เริ่มต้นจากความขัดแย้งของ 2 ครอบครัว นำไปสู่ความขัดแย้งเรื่องอื่นๆ ที่ทำให้การแก้ไขปัญหาของทั้งสองประเทศทำได้ยาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเขตแดน ปัญหา 3 ปราสาท การเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้ง การรุกล้ำของคนกัมพูชาที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากการทุจริตคอร์รัปชันของผู้มีอำนาจตามแนวชายแดน ไปจนถึงปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ เกี่ยวพันกับการค้ามนุษย์และฟอกเงิน ทั้งหมดนี้เป็นความซับซ้อนที่ระเบิดออกมาหลังจากทุกข์ไว้ใต้พรม ดังนั้นนโยบายที่จะต้องเร่งแก้ปัญหาข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยเฉพาะปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ภัยไซเบอร์ ต้องทำไปพร้อมๆกัน จึงจะสร้างความมั่นคงสถาพรไปพร้อมๆกันได้


นายรังสิมันต์ นำภาพครอบครัวชินวัตร ที่ประกอบด้วยนายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร กับครอบครัวฮุนขึ้นมาแสดง พร้อมระบุว่า คนไทยสูญเสียเงินให้กับแก๊งสแกมเมอร์ไปมากกว่า 1 แสนล้านบาท ภายใน 1 ปี เส้นทางการเงินส่วนใหญ่สามารถระบุได้ว่ากัมพูชา มีการประเมินรายได้สแกมเมอร์ อยู่ที่ 4.6-9 แสนล้านบาทต่อปี หรือ 60% ของ GDP กัมพูชาในปี 2022 โดยแก๊งสแกมเมอร์ในกัมพูชามี 53 แห่ง ส่วนมากตั้งอยู่ในแนวชายแดนของไทย เพราะต้องพึ่งพาทรัพยากรที่สำคัญไม่ว่าจะเป็นน้ำไฟอินเตอร์เน็ตรวมถึงของอุปโภคบริโภคต่างๆ 

นายรังสิมันต์ ยังได้เปิดตัวละครสำคัญของแก๊งสแกมเมอร์คนแรกได้แก่  ก๊ก อาน สมาชิกวุฒิสภากัมพูชา เป็นราชาเเห่งปอยเปต เจ้าของกาสิโน เป็นหัวขบวนสำคัญของแก๊งสแกมเมอร์ปัจจุบันถูกออกหมายจับข้อหาอาชญากรรมข้ามชาตินำไปสู่การยึดทรัพย์สินแล้ว แม้ยังจับกุมไม่ได้ แต่กรณีนี้เป็นกรณีเดียวที่มีความก้าวหน้าที่สุด แม้จะมีการยึดทรัพย์ไปแล้วแต่การขยายผลกลับหยุดชะงัก นโยบายของนายอนุทินที่บอกว่าจะดำเนินการสร้างหลักนิติธรรม ก็หวังว่าจะเห็นความคืบหน้าของกรณีนี้ คนที่สอง ราชาแห่งเกาะกง ลี ยง พัด มีทั้งสัญชาติไทยและกัมพูชา มีเหยื่อถูกหลอกไปทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์เมื่อปี 2565-2567 สหรัฐอเมริกาคว่ำบาตร เนื่องจากเชื่อมโยงอาชญากรรมทางไซเบอร์ และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับศูนย์กลางอำนาจของกัมพูชา ซึ่งตนตั้งข้อสังเกตว่าลี ยง พัด ถูกเพิกเฉยจากตำรวจ เพราะเกรงใจใครอยู่หรือไม่ อยากให้นายกรัฐมนตรีไม่ปล่อยผ่านเหมือนที่ผ่านมา

นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า คนที่สาม ฮุน โต เป็นลูกพี่ลูกน้องกับผู้นำกัมพูชา เป็นหนึ่งในผู้อำนวยการของบริษัทลูกของบริษัท ฮุยวัน กรุ๊ป ที่ถูกหน่วยงานของทางการสหรัฐกำหนดให้เป็นสถาบันทางการเงินที่น่าเป็นกังวลต่อการฟอกเงิน เนื่องจากพบหลักฐานว่าบริษัทนี้ถูกนำมาใช้ในการฟอกเงิน เพื่อหลอกลวง มีเงินไหลเวียนแบบผิดกฎหมาย 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ ยังมีตัวละครชื่อยิม เลียก เป็นเหมือนคนในครอบครัวฮุน ทำธุรกิจร่วมกับเบน สมิธ ที่ปรึกษาฮุน เซน ซึ่งเคยมีประวัติว่าเคยทำธุรกิจแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงมาก่อน เป็นคนให้คำแนะนำ เรื่องการฟอกเงินให้กับทุนจีน พัฒนาเรื่องกาสิโน นำไปใช้เกี่ยวกับการฟอกเงินและโครงการที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องในเมืองใหม่ดาราสาคร ชายแดนไทย กัมพูชา ที่ทั้งคู่จะได้รับส่วนแบ่ง 20% จากจำนวนคนที่เข้ามา ซึ่ง BIC เป็นธนาคารของยิม เลียก มักมีผู้เอาทรัพย์สินไปฝากเอาไว้ เป็นนักการเมือง หรือ สว. ที่มีลักษณะทรงเอ ไม่น่าใช่ชุดนี้ ก็มีทรัพย์สินที่นั่น ที่ผ่านมา BIC ถูกโจมตีว่าเป็นสวรรค์ของการฟอกเงิน โดย BIC ก็มีที่ตั้งอยู่ประเทศไทย 

นายรังสิมันต์ กล่าวอีกว่า แล้วที่ปรึกษาฮุน เซน มาหาใครที่ประเทศไทย เหตุการณ์ที่เห็นได้ชัดคืออดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ภาพ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า) รวมถึงอดีตนายกรัฐมนตรี (ภาพนายทักษิณ ชินวัตร) ได้พบกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซียที่หลีเป๊ะ ดูเหมือนจะเป็นการท่องเที่ยวธรรมดา แต่อะไรที่ทำให้ที่ปรึกษาของฮุน เซน ไปปรากฎตัวพร้อมกับผู้นำทางจิตวิญญาณของรัฐบาลที่แล้ว ร.อ.ธรรมนัส น่าจะช่วยลุกชี้แจงหน่อยว่าไปทำอะไร ช่วยบอกได้หรือไม่ว่าที่สื่อลงข่าวว่าการเดินทางครั้งนั้นประกอบด้วยเรือยอร์ชหรู 6 ลำ เป็นของใคร เป็นของอดีตนายกฯ ร.อ.ธรรมนัส หรือเป็นของเบน สมิธ แล้ว ร.อ.ธรรมนัส ไม่รู้หรือว่าเบน สมิธ ไปเกี่ยวข้องกับแก๊งสแกมเมอร์ในกัมพูชา ไม่รู้หรือว่าบุคคลนี้มีประวัติที่ด่างพร้อยในอดีตอย่างไร ในฐานะ สส. วันนี้ไปถึงรองนายกฯ ไม่ต้องระวังเรื่องการคบหากับคนเทาๆ เลยหรือ นอกจากนี้ยังพบว่าร.อ.ธรรมนัส อยากออกงานบุญด้วยกันอีกที่วัดดงช้างดี จ.อุตรดิตถ์ โดยเบน สมิธ และภรรยาถูกบรรจุชื่อให้เป็นประธานกฐินเคียงคู่กับ ร.อ.ธรรมนัส ที่ระบุว่าเป็นประธานอุปถัมภ์ของงานนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เคยร่วมงานกันด้วยที่วัดดวงแข นอกจากนี้ เบน สมิธ ยังต้องการปักหลักที่ประเทศไทยอย่างถาวร โดยได้ยื่นขอสละสัญชาติกัมพูชา และขอแปลงสัญชาติเป็นไทย การดำเนินการคืบหน้าถึงขั้นเปลี่ยนชื่อเป็นภาษาไทยว่าสาธิต เกิดขึ้นเมื่อเดือน ต.ค. 2567 ซึ่งนายอนุทินเคยชี้แจงเรื่องนี้ว่าไม่ได้อนุมัติสัญชาติ เพราะเอกสารไม่ครบ แต่จะรับปากได้หรือไม่ว่าถ้าเอกสารถูก ก็จะไม่ให้สัญชาติกับใครที่เกี่ยวข้องกับแก๊งสแกมเมอร์

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เครื่องบินของนายทักษิณที่ใช้บินไปดูไบ รวมถึงเรือยอร์ชที่หลีเป๊ะ ทั้งหมดนี้ล้วนถูกจัดหาโดยเบน สมิธ ตนหวังว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องจริง เพราะถ้าเป็นเรื่องจริงขึ้นมา หมายความว่าเงินจากการค้ามนุษย์ เงินจากสแกมเมอร์ในกัมพูชาได้แปลงสภาพเป็นของขวัญสุดหรู เพื่อสร้างอิทธิพลของตัวเองในประเทศไทย

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า บทความของ  Tom Wright ระบุว่า ในช่วงการผลักดันโครงการเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ซีอีโอของบริษัท MGM รีสอร์ต ซึ่งเป็นกาสิโนยักษ์ใหญ่ของสหรัฐเดินทางมาที่ประเทศไทยเพื่อประชุมร่วมกับอดีตนายกรัฐมนตรี โดยมีเบน สมิธ ร่วมประชุมด้วย หากเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงการที่ ที่ปรึกษาของผู้นำกัมพูชาเข้ามาเกี่ยวข้องกับการสร้างเอนเตอร์เทนเม้นต์คอมเพล็กซ์ในไทย อาจถูกมองได้ว่าเป็นวิธีการนำเงินผิดกฎหมายจากกัมพูชามาฟอกผ่านกาสิโนที่ถูกกฎหมายในไทยได้ เรื่องนี้อันตรายอย่างยิ่ง แล้วจะทำลายภาพลักษณ์อย่างร้ายแรง เปลี่ยนประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการฟอกเงิน ผลกระทบจะรุนแรงต่อผู้ที่เข้ามาทำงานสุจริตในประเทศไทยอย่างแน่นอน ที่ผ่านมา 2 ครอบครัวมีการปล่อยข่าวว่ามีความขัดแย้งกัน เพราะไทยจะเปิดเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ซึ่งจะเป็นการตัดรายได้ของกัมพูชา ทั้งที่ไม่เป็นความจริง

นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ที่ไทยและกัมพูชาไม่ได้ทะเลาะกัน เพราะว่าจะเปิดเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์แข่งกับกัมพูชา แต่เป็นเพราะไทยไม่สามารถผลักดันเอนเตอร์เทนคอมเพล็กซ์ได้อย่างที่ผู้มีอำนาจของกัมพูชาหวัง ทำให้ความหวังที่จะเอาเงินสีดำจากกัมพูชามาเปลี่ยนเป็นสีขาวในไทยถูกทำลายลง จึงทำให้ปัญหาของคน 2 ตระกูลเป็นปัญหาของคนทั้งประเทศ และขัดแย้งกันจนถึงทุกวันนี้

“ประเทศไทยไม่ใช่ทางผ่านไปสู่ประตูนนรกอีกแล้ว แต่ประเทศไทยกลายเป็นจุดหมายปลายทางของกระบวนการสีเทา ที่ต้องการมาปักธงชัยเพื่อขยายอาณาจักรสแกมเมอร์ให้ยิ่งใหญ่มากยิ่งขึ้น ถึงเวลาแล้วที่ต้องจัดการ โดยเฉพาะเมื่อสแกมเมอร์ตัวใหญ่อยู่ในประเทศไทย หรือจะปล่อยให้มายึดประเทศไทยผ่านกลไกต่างๆ ดังนั้นช่วงเวลา 4 เดือน ที่เป็นนายกรัฐมนตรี จะทำงานอย่างจริงจังเอาจริงเอาจังกับปัญหานี้ อย่าให้เหมือนรอบที่แล้วที่ดำรงตำแหน่งว่าการกระทรวงมหาดไทยกว่าจะได้ปราบก็ใช้เวลามากมายเสียเหลือเกิน” นายรังสิมันต์ กล่าว 

นายรังสิมันต์ กล่าวอีกว่า ฉะนั้น ตนเสนอแนวทางปราบปรามสแกมเมอร์ ดังนี้ 1.ตั้งศูนย์ประสานงานต่อต้านสแกมเมอร์ข้ามชาติ รวมหน่วยงานทั้ง DSI ก.ล.ต. ธปท. ปปง. กต. และอัยการสูงสุด ทำงานเชิงรุกประสานงานกับต่างชาติ แลกเปลี่ยนข้อมูล 2.ให้ DSI ตร. ปป. สอบเส้นทางการเงินที่เชื่อมโยงกับ เบน สมิธ ทั้ง ลี ยง พัด และยิม เลียก ทำลายเครือข่ายการเงินและเอเยนต์ ซึ่งตนเองมีพยานปากเอกคือ ร.อ.ธรรมนัส เชื่อว่าให้การเป็นประโยชน์ 3.ให้ ก.ล.ต.วางกฎเกณฑ์ Travel Rule มีผลกับสกุลเงินคริปโต เพื่อป้องกันการฟอกเงิน และ 4.ให้กระทรวงการต่างประเทศ ศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้กไก ICC พากัมพูชาขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ สำหรับข้อเสนอในการแก้ปัญหาชายแดนนั้น กัมพูชามีรายได้มากมายจากการหลอกคนทั่วโลก ผู้มีอำนาจในกัมพูชาไม่ต้องสนใจว่าการค้าและธุรกิจของประเทศไทยเป็นอย่างไร ตราบใดที่ตัวเลขจากสแกมเมอร์ยังเพิ่มขึ้น ความสำคัญของการค้าปกติก็จะน้อยลง ถ้านายกรัฐมนตรีจะฝากความหวังไว้กับทหารอย่างเดียว ท่านคิดผิด และจะเป็นการบริหารราชการแผ่นดินที่ผิดพลาด ทั้งนายกรัฐมนตรี กระทรวงกลาโหม และทุกหน่วยงานต้องร่วมมือกันแก้ปัญหาชายแดน อย่าผิดพลาดเหมือนรัฐบาลที่แล้ว เชื่อว่าแก้ปัญหาชายแดนได้ หากรายได้จากสแกมเมอร์ของกัมพูชาลดลง อะไรๆ ก็จะง่ายขึ้น

นายรังสิมันต์ กล่าวด้วยว่า ส่วนข้อเสนอเรื่อง MOU ไทย-กัมพูชา ที่รัฐบาลจะทำประชามติยกเลิกหรือไม่ ฟังเหมือนจะดี แต่ต้องไม่ลืมว่าเกี่ยวพันกับหลายเรื่องที่สลับซับซ้อนต้องพิจารณา ที่ผ่านมาที่ประชุมรัฐสภาเคยหารือเรื่องนี้ในการประชุมลับ แล้วเราจะเปิดเผยให้ประชาชนคนไทยรับทราบข้อมูลที่สำคัญต่อการตัดสินใจเรื่อง MOU อย่างไร โดยไม่ให้กัมพูชาล่วงรู้ ถ้ารัฐบาลจะให้ประชาชนตัดสินใจในเรื่องสลับซับซ้อนเช่นนี้ นายกรัฐมนตรีต้องทำให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลอย่างเพียงพอ นายกรัฐมนตรีต้องคิดต่อด้วยว่า หากมีการยกเลิก MOU แล้ว ก็ต้องเตรียมความพร้อมทุกฉากทัศน์ที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น การเจรจาเรื่องเขตแดน และหากยกเลิก MOU43 กัมพูชาอาจจะอ้างว่า กลไกทวิภาคีระหว่างไทยและกัมพูชาไม่มีประสิทธิภาพ ดังนั้น จึงต้องไปศาลโลก รัฐบาลต้องคิดและเตรียมการไว้ตั้งแต่วันนี้เลย ขณะที่เรื่องชายแดนทางทะเล ตัวอย่างบริษัททุนข้ามชาติจะฟ้องไทยในอนุญาโตตุลาการหรือไม่ หากไทยยกเลิก MOU44 รัฐบาลต้องเตรียมรับมือ เพราะจะเสี่ยงทำให้ไทยต้องเสียค่าชดใช้นับหมื่นล้านด้วยภาษีของประชาชน

“ผมเองให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของชาติไทยสูงสุด การยกเลิก MOU ถ้าจะทำ ก็ต้องแน่ใจว่าเราได้อะไรกลับคืน และต้องดูว่าสุดท้ายแนวทางใดคุ้มกว่ากัน บางทีการปรับปรุง MOU ทั้ง 2 ฉบับ ท่ีตั้งอยู่บนพื้นฐานผลประโยชน์ของชาติสูงสุด อาจจะเป็นทางเลือกหนึ่งก็ได้ ผมขอเตือนความจำนายกรัฐมนตรี ให้เห็นตัวอย่างจากรัฐบาลที่แล้ว ว่าผลกระทบของการมีผลประโยชน์ทับซ้อน และการขาดเจตจำนงทางการเมืองในงานความมั่นคง ส่งผลต่อชาติอย่างไร ตนเองยืนยันว่า ต้องการเห็นการถอนอาวุธหนัก การร่วมมือกันเก็บกู้ทุ่นระเบิด และการปราบปรามสแกมเมอร์ นี่เป็นหนทางสร้างความสัมพันธ์ที่ดีของสองประเทศ และคืนความปกติตามพื้นที่แนวชายแดน เพื่อแก้ปัญหาในเรื่องอื่นๆต่อไป” นายรังสิมันต์ กล่าว

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top