แนวหน้าวิเคราะห์ : บทพิสูจน์ รัฐบาล‘อนุทิน’เริ่มนับ 120 วัน กับ ‘ภารกิจเร่งด่วน 4 เดือน’ วัดใจก่อนยุบสภา

แนวหน้าวิเคราะห์ : บทพิสูจน์ รัฐบาล‘อนุทิน’เริ่มนับ 120 วัน กับ ‘ภารกิจเร่งด่วน 4 เดือน’ วัดใจก่อนยุบสภา

วันพุธ ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 07.00 น.

และแล้วดีเดย์วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ถือเป็นจุดเริ่มต้นการนับ 120 วันแรกของรัฐบาลภายใต้การนำของ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 หลังจากที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ในวันที่ 29-30 กันยายน เสร็จสิ้น ตามกรอบเวลาที่รัฐบาลขอต่อรัฐสภาเอาไว้ โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทยได้นำคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ประชุมนัดแรก ที่ห้อง CB 401 ชั้น4อาคารรัฐสภา ซึ่งเป็นห้องประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.)วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี ต่อทันที  เพื่อประชุมพิจาณาอนุมัติงบประมาณปี 2568 ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 30 กันยายนนี้ ก่อนที่งบประมาณปี 2569 จะเริ่มใช้ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้

รัฐบาลต้องเร่งเดินหน้าทำงานทันที  เป็นช่วงเวลาลุยทำงาน แก้ไขปัญหาเร่งด่วนต่างๆและเร่งสร้างผลงาน 4 เดือนสุดท้าย ก่อนที่สัญญาณยุบสภาและการเลือกตั้งใหม่จะเริ่มปรากฏชัดขึ้น


ภารกิจเร่งด่วนของรัฐบาลอนุทิน

อนุทินประกาศชัดว่าจะ“ลุยทำงานเต็มที่”เพื่อพิสูจน์ศักยภาพและสร้างความเชื่อมั่นจากประชาชน ภารกิจหลักที่จะถูกจับตาใน 4 เดือนนี้ ได้แก่ มาตรการเศรษฐกิจระยะสั้น เน้นแก้ปัญหาปากท้อง ค่าใช้จ่าย และภาวะชะลอตัวจากต่างประเทศ  นโยบายด้านสุขภาพและสาธารณสุข ซึ่งเป็นจุดขายดั้งเดิมของอนุทิน ต้องเร่งให้เห็นผลจับต้องได้ การเดินหน้าโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ที่จะสร้างความต่อเนื่องในภาพใหญ่

ความท้าทาย คือ เวลาที่มีจำกัด และการเมืองที่ยังไม่เสถียร ทำให้รัฐบาลต้องเลือก“เรื่องที่ทำได้เร็วและเห็นผลชัด”เพื่อสร้างแต้มทางการเมืองก่อนเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง

ข้อตกลงMOAกับพรรคประชาชน“ดาบสองคม”

หนึ่งในตัวแปรสำคัญคือ ข้อตกลงบันทึกความเข้าใจ(MOA) ระหว่างรัฐบาลกับพรรคประชาชน ซึ่งถือเป็นพรรคสนับสนุนหลัก ข้อตกลงนี้ เป็นเงื่อนไขที่ทำให้รัฐบาลตั้งไข่ได้ แต่ก็กลายเป็น“แรงกดดัน”ว่ารัฐบาลจะทำได้ครบตามสัญญาหรือไม่

หากทำได้สำเร็จ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลรักษาคำพูด หากล้มเหลว จะถูกใช้เป็น“อาวุธการเมือง”โจมตีว่า รัฐบาลเพียงยื้อเวลา เพื่อรักษาอำนาจ

เกมการเมืองใหญ่:การแก้ไขรัฐธรรมนูญ

จุดโฟกัสทางการเมืองเดือนตุลาคมอยู่ที่ การประชุมรัฐสภา 14-15 ตุลาคม ซึ่งจะเริ่มพิจารณา 3 ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วย ร่างแก้ไขฯของพรรคประชาชน พรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมรัฐบาลที่นำโดยพรรคภูมิใจไทย

ทั้ง 3 ร่างฯมีเป้าหมายเดียวกัน คือ เปิดทางให้มีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.)เพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งถือเป็น“สัญลักษณ์ของการปฏิรูป”

อย่างไรก็ตาม ด่านใหญ่คือเสียงจากวุฒิสภา (ส.ว.)ที่มีอำนาจโหวต หากไม่ผ่านความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญก็จะสะดุดลงและกลายเป็น “ชนวนความขัดแย้ง” ระหว่างรัฐบาลกับทุกพรรคการเมืองทันที 

อย่างไรก็ดี อย่าลืมว่าประชาชนทั้งประเทศ ไม่ได้ประโยชน์อะไรกับผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้มีเฉพาะนักการเมืองและพรรคกาเมืองเท่านั้น ดังนั้น ถ้าผลทำประชามติออกมา  เสียงประชาชนทั้งประเทศส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยในการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 ทุกอย่างก็จบเช่นกัน และเดินหน้าใช้กันต่อไป

บทพิสูจน์ความเป็นผู้นำของอนุทิน

120 วันต่อจากนี้ จึงเป็นบทพิสูจน์ว่าอนุทินจะสามารถดำเนินการบริหารประเทศเป็นไปตามเป้าหมายได้หรือไม่ สิ่งสำคัญจะต้องประคองรัฐบาลเสียงข้างน้อย ที่เปราะบาง ไม่ให้สะดุดได้อย่างไร  จะต้องเดินหน้าผลักดันนโยบายสำคัญให้สำเร็จในเวลาจำกัด อีกทั้ง รัฐบาลจะต้องสร้างภาพลักษณ์“นักการเมืองที่ทำงานจริง ไม่ใช่เพียงรักษาอำนาจ”

หากอนุทินทำได้สำเร็จจะกลายเป็นจุดแข็งในการหาเสียงในการเลือกตั้งใหม่ หลังการยุบสภา และอาจทำให้พรรคภูมิใจไทย เป็นแกนหลักในการกลับมาจัดตั้งรัฐบาลเพื่อสานงานต่อไป  แต่หากสะดุดหรือล้มเหลวโดยเฉพาะในประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งต้องยอมรับ ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้สำเร็จโดยเร็ว และข้อตกลง MOA ก็อาจถูกมองว่าเป็นเพียงรัฐบาล“เปลี่ยนผ่าน”ที่หมดสภาพก่อนถึงวันยุบสภา

และล่าสุด นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ลุกชี้แจงในการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 30 กันยายน ช่วงหนึ่งว่า ตนรับรองช้าสุด31มกราคม 2569 ยุบสภาแน่ หรืออาจเร็วกว่าด้วยซ้ำ หากมีความจำเป็น และไม่ต้องรอชี้ชะตา 4 เดือน

เพราะฉะนั้น ห้วงเวลา 120 วันของรัฐบาล‘อนุทิน’จับตาวัดใจทั้งรัฐบาล ไม่ใช่เพียงแค่ช่วงเวลาทดลองงาน แต่เป็นบทพิสูจน์ ชี้ชะตาการเมืองในอนาคตว่านายกฯอนุทินจะกลายเป็นเพียง“นายกฯขัดตาทัพ4เดือน” หรือ“นายกฯที่มีสิทธิกลับมาอีกครั้ง” หลังการเลือกตั้งสนามใหญ่ พรรคภูมิใจไทยจะเป็นพรรคการเมืองที่ มีโอกาสสูง อาจจะกวาดเสียงที่นั่ง สส.มากที่สุด  จนขยับขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล  

แน่นอน จากนี้ไปเริ่มนับหนึ่ง จับตานักการเมือง นักเลือกตั้งจะแห่ไหลเข้าไปสังกัดพรรคการเมืองใดมากที่สุดก่อนถึงวันยุบสภา และไม่ต้องแปลกใจกับกระแสเลือดไหลของพรรคการเมืองใหญ่ ย้ายหนีเข้าซบพรรคภูมิใจไทย ต่างจากการย้ายเข้าพรรคไทยรักไทยในอดีตที่ถูกบีบ แต่ครั้งนี้ต่างสมัครใจเข้ามาร่วมพรรคกันเองทั้งสิ้น  

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top