ผบ.ทบ.สั่งมทภ.1-2เกาะติดชายแดน
เตรียมพร้อมสูงสุด
จับตาเขมรใช้ม็อบป่วนยั่วยุ
เล็งสร้างรั้วจุดลอบเข้าเมือง
แม่ทัพ1ป้ายแดงลั่นพร้อมรบ
‘อนุทิน’ย้ำพร้อมหนุนกองทัพ
“กองทัพภาคที่ 1” จัดพิธีส่งมอบหน้าที่ “แม่ทัพภาคที่ 1”คนใหม่ ให้“แม่ทัพไก่ – พล.ท.วรยส เหลืองสุวรรณ” ประกาศคำมั่นขอให้ประชาชนมั่นใจ มุ่งมั่นสู่การเป็นกองทัพที่พร้อมรบ-รักษาอธิปไตยด้วยชีวิต ด้าน “มทภ. 2” ป้ายแดง “พล.ท.วีระยุทธ รักษ์ศิลป์”ยันไม่หนักใจ-ไร้รอยต่อ พร้อมดูแลชายแดนไทย-กัมพูชา เผยทำงานคู่“แม่ทัพกุ้ง”มาตลอด ชี้กัมพูชา ยั่วยุชายแดนเป็นเทคนิค ย้ำต้องเฝ้าระวัง ด้านโฆษก ทบ.เผย ผบ.ทบ.ย้ำ “มทภ.1-มทภ.2” เกาะติดชายแดน เตรียมพร้อมสูงสุด และดูแลกำลังพล ชี้เขมรใช้กิจกรรมตัวนำ ยั่วยุ หวังฟ้องสังคมโลก ปัดตอบ ยกเลิก-คงไว้ MOU43 ส่วนการสร้างรั้วชายแดนไทย-เขมร “ กองทัพ” เล็งสร้างในพื้นที่ลักลอบเข้าออกเมืองผิดกฎหมายก่อน ย้ำแต่ต้องเป็นพื้นที่ที่ชัดเจนแล้ว
เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กองทัพภาคที่ 1 จัดพิธีรับ-ส่งหน้าที่แม่ทัพภาคที่ 1 (มทภ.1) ระหว่าง พลเอก อมฤต บุญสุยา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะอดีตแม่ทัพภาคที่ 1 กับ พลโท วรยส เหลืองสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 1 โดยมีพิธีลงนามในเอกสารรับ-ส่งหน้าที่ ณ ห้องพระบารมีปกเกล้า จากนั้นได้ร่วมกันตรวจแถวกองทหารเกียรติยศ และกระทำพิธีส่งมอบธง และการบังคับบัญชาแม่ทัพภาคที่ 1 ณ ลานหน้าอาคารกองบัญชาการกองทัพภาคที่ 1
ทภ.1จัดพิธีรับส่งมอบหน้าที่มทภ.1
พลเอกอมฤต กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 1 ปี ที่ตนรับหน้าที่แม่ทัพภาคที่ 1 ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากผู้ใต้บังคับบัญชา และเพื่อนร่วมงานทุกท่าน ส่งผลให้ภารกิจต่าง ๆ ของกองทัพภาคที่ 1 ที่ได้รับมอบจากผู้บังคับบัญชาสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี จนเป็นที่เชื่อมั่นของผู้บังคับบัญชา และเป็นที่ยอมรับของประชาชน จึงขอขอบคุณทุกคน สำหรับแม่ทัพภาคที่ 1 คนใหม่ เป็นบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ ความเป็นผู้นำ และเป็นแบบอย่างที่ดีให้ผู้ใต้บังคับบัญชา จึงมั่นใจว่า กองทัพภาคที่ 1 ภายใต้การนำของแม่ทัพภาคที่ 1 จะเจริญก้าวหน้า เป็นกำลังหลักของกองทัพบก รวมทั้งเป็นกำลังสำคัญในการช่วยเหลือประชาชน และพัฒนาประเทศ เพื่อสร้างความผาสุก ให้แก่ประชาชน และประเทศชาติสืบไป
แม่ทัพไก่ลั่นพร้อมรบ-รักษาอธิปไตยด้วยชีวิต
ด้านพลโทวรยสกล่าวว่า ตนรับหน้าที่นี้ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ กองทัพภาคที่ 1 เป็นเหมือนทหารที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ และความไว้วางพระราชหฤทัยจากพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ ให้ปฏิบัติภารกิจอันยิ่งใหญ่ในการพิทักษ์ความมั่นคงของชาติ และดูแลรักษาพระบรมเดชานุภาพ แห่งสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังนั้น กองทัพภาคที่ 1 จะเป็นกองทัพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างแท้จริง โดยใช้ขีดความสามารถพิทักษ์เทิดทูนสถาบัน มุ่งมั่น ไปสู่การเป็นกองทัพที่พร้อมรบ และพร้อมถวายงานอย่างสูงสุด
“ขอให้คำมั่นว่า กองทัพภาคที่ 1 จะปฏิบัติตามนโยบายของผู้บัญชาการทหารบกอย่างเคร่งครัด ด้วยความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการปกป้องอธิปไตยของชาติ และช่วยเหลือประชาชน อีกทั้ง เป็นหนึ่งเดียวกับทุกภาคส่วนในการพัฒนาประเทศ เพื่อประชาชน และสร้างความมั่นคงของชาติ” พลโท วรยส กล่าว
ทั้งนี้ หลังเสร็จพิธี แม่ทัพภาคที่ 1 กล่าวย้ำถึงเจตนารมณ์ส่วนตัวว่า ขอให้เชื่อมั่นในกองทัพภาคที่ 1 ที่พร้อมปกป้องรักษาอธิปไตย และผลประโยชน์ของชาติ โดยจะทำอย่างเต็มกำลังความสามารถ และด้วยชีวิต โดยยึดถือผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ
สำหรับภารกิจหน้าที่ของกองทัพภาคที่ 1 เป็นหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก มีพื้นที่รับผิดชอบ ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร และ 25 จังหวัดภาคกลางของประเทศ มีภารกิจสำคัญในการป้องกันประเทศ โดยปฏิบัติหน้าที่ในบทบาทของ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 จัดกำลังป้องกันชายแดน 2 กองกำลัง คือ กองกำลังบูรพา รับผิดชอบชายแดนด้านตะวันออก ในพื้นที่ จ.สระแก้ว และกองกำลังสุรสีห์ ดูแลภาคตะวันตก จ.กาญจนบุรี นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ ช่วยเหลือประชาชนยามเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ
มทภ.2คนใหม่ไม่หนักใจทำงานไร้รอยต่อ
วันเดียวกัน ที่กองบัญชาการกองทัพบก พลโท วีระยุทธ รักศิลป์ แม่ทัพภาคที่2 กล่าวถึง สถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชาว่า ที่ผ่านมา ตนก็ดูแลเรื่องนี้อยู่แล้ว ตั้งแต่เป็นรองแม่ทัพภาคที่2 ก็ไม่รู้สึกหนักใจ เนื่องจาก อยู่ในพื้นที่กับพล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาค 2 คนก่อน และยืนยันว่าขณะนี้กำลังพลมีความพร้อม และย้ำว่าตนไม่มีมอสโต้ หรือคติพจน์ในการทำงาน และมั่นใจว่าการทำงานไม่มีรอยต่อ ที่ผ่านมาก็ทำงานร่วมกันมาโดยตลอด ส่วนสถานการณ์ในพื้นที่มีการยั่วยุหรือไม่นั้น แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวว่า ถือเป็นเทคนิคที่จะยั่วยุก่อกวน ซึ่งเขาก็จะมีการใช้มาตรการทางทหารสลับไปมา ส่วนเราก็ต้องระวัง และเตรียมพร้อมอยู่เสมอ
แผนเขมรดิสเครดิตไทยไร้ผล
ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีมีเสียงปืนยิงเข้ามาฝั่งไทยในพื้นที่กองทัพภาคที่ 2ว่า จากการตรวจสอบ ยังไม่ได้รับรายงานว่ามีการใช้อาวุธ ไม่ว่าจะเป็นอาวุธปืนเล็ก หรือเครื่องยิงลูกระเบิด ทั้งนี้ 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา กัมพูชาพยายามเน้นการสื่อสารไปยังสังคมโลก เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อภาพลักษณ์ต่อฝ่ายไทย เชื่อว่าทุกฝ่ายคงรู้เท่าทัน จึงต้องดำเนินการอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เข้าเงื่อนไขเขมร ที่จะนำไปใช้ในเวทีสังคมโลกจะเห็นได้ว่าทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกองทัพและกระทรวงการต่างประเทศ ได้ชี้แจงถึงยุทธวิธีของกัมพูชา โดยการนำกิจกรรมมาเป็นตัวนำ เช่น การชุมนุมของคนกัมพูชา ที่บ้านหนองหญ้าแก้ว และบ้านหนองจาน อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ซึ่งจะนำภาพเหตุการณ์ดังกล่าวไปขยายผลต่อ จะเห็นว่าเราใช้กำลังของฝ่ายปกครองซึ่งไม่ใช่ทหารไปดูแลความเรียบร้อย กัมพูชาจึงไม่สามารถนำไปขยายผลได้ นอกจากนี้ คนกัมพูชามีท่าทีที่ก้าวร้าว และมีการใช้ความรุนแรงอย่างชัดเจนต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย ซึ่งมองว่าฝ่ายไทยยังรับมือได้ ในการนำข้อเท็จจริงไปชี้แจงต่อประชาคมโลกได้ ดังนั้น เป้าหมายของกัมพูชาที่จะทำให้สังคมโลกมองไทยไปในทิศทางที่ไม่ดียังไม่ได้ผล
ผบ.ทบ.สั่งมทภ.1-2เตรียมพร้อมสูงสุด
โฆษกทบ.กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ผู้บัญชาการทหารบก ได้กำชับแม่ทัพภาคที่ 1 และแม่ทัพภาคที่ 2ให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และเตรียมความพร้อมอย่างสูงสุด และการดูแลกำลังพล เนื่องจากต้องใช้เวลาในการปฏิบัติหน้าที่ จึงต้องใช้ความอดทนอดกลั้น
ผู้สื่อถามว่าจะมีการประชุมอาเซียนที่มาเลเซียห่วงหรือไม่ว่ากัมพูชาจะใช้วิธีการยั่วยุสร้างสถานการณ์เหมือนที่ผ่านมา พล.ต.วินธัยกล่าวว่า สถานการณ์ต้องติดตามวันต่อวัน ยังไม่สามารถให้ข้อมูลได้ ต้องพิจารณาหลายองค์ประกอบ แต่สิ่งที่กัมพูชาเคลื่อนไหวมีสองลักษณะคือ จ.สระแก้ว ใช้มวลชนจัดตั้งมาอย่างเป็นระบบ ส่วนพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 เป็นการ ใช้อาวุธ ขณะที่รูปแบบอื่นยังไม่ชัดเจน
ละเมิดMOU43แล้ว500ครั้ง
เมื่อถามว่า MOU 43 ยังใช้ประโยชน์ได้หรือไม่ พล.ต.วินธัย กล่าวว่า ขณะนี้ยังอยู่ในกระบวนการ และการให้ความเห็นทั้งสองลักษณะ ซึ่ง MOU 43 เรายึดถือและปฏิบัติมาแต่ปัญหามีการละเมิดประมาณ 500 ครั้ง และไปจบที่การประท้วง ไม่ได้นำไปสู่การแก้ไขหรือปรับปรุงอย่างแท้จริง ส่วนกระบวนการที่จะยกเลิกหรือไม่ ต้องเป็นระดับฝ่ายบริหาร ส่วนหากยกเลิกแล้วจะส่งผลต่อการทำงานของกองทัพหรือไม่นั้น กองทัพสามารถทำงานได้หมดอยู่แล้ว ตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา ตามกรอบกฎหมายและข้อตกลงที่มีอยู่เราก็ยึดมั่นตามนั้น ที่ผ่านมาเราก็ยึดมาโดยตลอด
ถามว่าหากฝ่ายนโยบายสอบถามยังฝ่ายความมั่นคงอยากจะให้ MOU 43 คงอยู่หรือไม่ พล.ต.วินธัยกล่าวว่า ต้องพิจารณากันหลายส่วน ในส่วนของฝ่ายปฏิบัติก็มีข้อมูลอยู่แล้วหากละเมิดเราทำหนังสือประท้วง ผ่านกระทรวงการต่างประเทศและผู้บังคับหน่วยในระดับพื้นที่ก็พูดคุยกัน แต่ไม่ได้นำไปสู่การแก้ไขอย่างจริงจัง จนปล่อยไว้เนิ่นนาน ปัญหาก็สะสมมา 20 ปีอย่างที่เห็น
เล็งสร้างรั้วในพื้นที่ชัดเจนแล้ว-จุดลอบเข้าเมือง
พล.ต.วินธัยยังกล่าวถึงกรณียอดบริจาคสร้างรั้ว และบังเกอร์ชายแดนไทย-กัมพูชา ของ “กองทุนหทัยทิพย์” ภายใต้มูลนิธิจุฬาภรณ์ ที่สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์บริจาคเป็นทุนตั้งต้น 1 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมียอดบริจาคสมทบทะลุ 100 ล้านบาทแล้วว่า เรื่องการสร้างรั้วชายแดน อาจจะต้องแบ่งเป็นพื้นที่ ซึ่งเท่าที่ได้ติดตามข้อมูล หากพื้นที่ไหนมีความชัดเจน และสามารถดำเนินการได้ ก็จะทำก่อน ส่วนพื้นที่ที่ยังไม่มีความชัดเจนก็ต้องรอให้เป็นไปตามกระบวนการ โดยเฉพาะกระบวนการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือ JBC แต่ที่สำคัญการสร้างรั้ว อาจจะมองไปที่พื้นที่ที่มีการเข้า-ออกผิดกฎหมาย และเกิดผลกระทบต่อความมั่นคง ก็อาจจะดำเนินการก่อน อย่างน้อยให้เห็นว่า ไทยมีมาตรการที่ต้องต่อต้านสิ่งผิดกฎหมาย ส่วนพื้นที่ที่มีความชัดเจน จะสร้างรั้วแบบใด ยังไม่ทราบ และยังไม่เห็นรายละเอียด
ย้ำลุยแก้ปัญหาชายแดน-ปัดตอบปมสร้างรั้ว
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการขับเคลื่อนนโยบายที่จะเร่งดำเนินการนับตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. ที่ถือเป็นวันเริ่มวงเงินงบประมาณใหม่อย่างไร และจะเร่งผลักดันนโยบายอะไรเป็นอย่างแรกว่า ตามที่บอกไว้ เรื่องปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา จะเร่งให้การสนับสนุนในทุกภาคส่วน เมื่อวันที่30 ก.ย. พอแถลงนโยบายเสร็จก็ประชุมคณะรัฐมนตรีทันทีและได้อนุมัติงบกลางให้กองทัพไปจัดเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ชายแดน
ส่วนจะเป็นการสร้างกำแพงหรือไม่นั้น ในรายละเอียดพูดไม่ได้เป็นเรื่องของความมั่นคง แต่เรื่องการสนับสนุนงบประมาณก็เพื่อให้กองทัพได้เสริมสร้างความแข็งแกร่งในการปกป้องอธิปไตยของบ้านเมืองในปัญหาเฉพาะหน้าขณะนี้ ซึ่งก็ไม่ได้ล่าช้า และในวันที่ 2 ต.ค.ที่จะมีการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)มีหลายวาระหากประชุมเสร็จแล้วอะไรเปิดเผยได้จะมาเปิดเผยให้ทราบ นอกจากนี้ ที่ประชุมครม.ยังได้อนุมัติงบต่างๆ ที่ไปใช้หนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อให้ธ.ก.ส.มีวงเงินไปให้เกษตรกรได้เสริมสภาพคล่องต่อไปลดปัญหาที่เป็นคอขวดกระทุ้งเข้าไปให้เม็ดเงินกระจายออกไปในเรื่องเศรษฐกิจ สำหรับเรื่องการบริหารงานก็เป็นไปตามปกติ มีการมอบหมายให้รองนายกฯและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯมุ่งเน้นลงพื้นที่ในเขตตรวจราชการที่รับผิดชอบ
หนุนกองทัพเต็มที่จนกว่าหมดภัยเขมร
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายอนุทินให้สัมภาษณ์อีกครั้งถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาว่า ตอนนี้เรื่องการตรึงกำลังตามแนวชายแดนยังเต็มที่อยู่ ตนดำเนินงานควบคู่กับกระทรวงการต่างประเทศในเรื่องการทูต และการตั้งเงื่อนไข รวมถึงจุดยืนของประเทศไทย โดยเรื่องการดูแลอธิปไตยไทย และการดูแลอาณาเขตประเทศไทย ตนได้หารือกับ รมว.กลาโหม และหารือใกล้ชิด
กับผู้บัญชาการทหารบก รวมถึงเสนาธิการทหารบก ซึ่งตนให้การยืนยันกับทุกท่านในด้านการทหาร ในแต่ละเหล่าทัพไปว่ารัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุน รวมถึงตำรวจด้วย ในภารกิจตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) สิ่งที่ต้องการการสนับสนุนจากรัฐบาล ตนดำเนินการด้วยความรวดเร็วเต็มที่ อย่างเมื่อวันที่ 30 กันยายน ในที่ประชุม ครม. เร่งอนุมัติงบกลาง เพื่อสนับสนุนภารกิจกองทัพ ในการปกป้องแนวชายแดนของประเทศไทยที่เรากำลังมีปัญหากับกัมพูชา ซึ่ง ผบ.ทบ.ให้ความมั่นใจกับตนว่าเราไม่เสียเปรียบ เรารักษาอธิปไตยของเรา และเราได้ทำในสิ่งที่เราต้องทำ และจะทำในสิ่งที่ประชาชนจะไม่ผิดหวัง”
“วันนี้เราดูเรื่องประโยชน์ของประเทศไทยเท่านั้น เราเปลี่ยนท่าทีแล้ว เพราะสิ่งที่เขาปฏิบัติมา ก็ไม่มีอะไรที่เราจำเป็นต้องไปให้ความเกรงใจ ถ้าอะไรก็ตามที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย และถ้าถึงขั้นที่ว่ามีไป ก็ไม่เกิดคุณค่าอะไร ครม. ของผมก็พร้อมยกเลิกเอ็มโอยูทั้ง 4 เหล่าทัพจะดำรงสภาพนี้ในการเตรียมพร้อมเรื่องจุดยืน จนกว่าความเป็นภัยของเขมร จะหมดไปต่อประเทศไทย ถือเป็นความชัดเจนที่รัฐบาลยึดถือกรอบนี้ เพื่อสนับสนุนข้อสรุปของฝ่ายความมั่นคง”นายกฯกล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี