กต.สรุปการบรรยายของ รมว.กต.ในการบรรยายให้คณะทูตฯและองค์การระหว่างประเทศรับฟัง ถึงผลการเข้าร่วมประชุม UNGA 80 และสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา
วันที่ 1 ตุลาคม 2568 นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้บรรยายสรุปเกี่ยวกับผลการเข้าร่วมการประชุม สมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 80 (UNGA 80 High-level Week) ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 23-29 ก.ย.2568 ที่ผ่านมา และสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ให้แก่คณะทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย ต่างประเทศประจำประเทศไทย และองค์การระหว่างประเทศที่เข้าร่วมรับฟัง
นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงผลการบรรยายสรุปให้แก่คณะทูตต่างประเทศและผู้แทนองค์การระหว่างประเทศ ของนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ว่า การบรรยายสรุปของ รมว.กต. มีวัตถุประสงค์หลัก 2 ประการ ประเด็นแรก ก็เพื่อให้ข้อมูล และการเดินทางไปร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 80 (UNGA 80) ของคณะผู้แทนไทย โดยมี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นหัวหน้าคณะ ประเด็นที่ 2 รมว.กต.ได้แจ้งพัฒนาการล่าสุดและจุดยืนของไทย เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และแนวทางในอนาคตว่าไทยจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
โดยการบรรยายสรุปครั้งนี้ เป็นการบรรยายสรุปสืบเนื่องมาจากหลายๆครั้งก่อนหน้านี้ ครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งที่ 4 แล้ว โดยมีคณะทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย 67 ประเทศ และผู้แทนองค์การระหว่างประเทศ 5 องค์กร เข้าร่วมฟัง โดยมีผู้เข้าร่วมฟังการบรรยายจาก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จำนวน 99 คน
โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้กล่าวให้ทราบถึงภาพรวม นโยบายต่างประเทศของไทย ของรัฐบาลภายใต้รัฐบาลนี้ ว่าแม้จะมีเวลาในการบริหารราชการแผ่นดินค่อนข้างจำกัด คือ มีเวลาประมาณ 4 เดือน แต่รัฐบาลก็มีความมุ่งมั่นที่จะทำให้4 เดือนนี้เป็น 4 เดือนที่มีความหมาย สำหรับการต่างประเทศของไทย โดย รมว.กต. ได้พูดถึงต่างประเทศที่รอบด้านและอยู่ในทิศทางที่มีผลประโยชน์ต่อประเทศไทยด้วย
นอกจากนี้ รมว.กต. ยังได้บรรยายสรุปผลการเดินทางไปเข้าร่วมการประชุม UNGA 80 ที่ผ่านมา ซึ่งหลักๆไทยได้แสดงความพร้อมที่จะขยายความร่วมมือกับรัฐสมาชิกของสหประชาชาติ รวมถึงองค์การต่างๆในประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการต่อต้านอาจชญากรรมไซต์เบอร์ ความร่วมมือด้านสาธารณสุขของโลก หรือความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม อีกทั้งยังได้แจ้งข้อมูลและจุดยืนต่างๆของไทยในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาด้วย
นอกจากนี้ รมว.กต. ยังได้สรุปสั้นๆ เกี่ยวกับกิจกรรมที่ได้เข้าร่วม ไม่ว่าจะเป็นการเข้าพบกับภาคเอกชนสหรัฐฯ การพบปะกับผู้แทนระดับสูงขององค์การสหประชาชาติ และรัฐมนตรีประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น รัสเซีย เนเธอร์แลนด์ มาเลเซีย โอมาน และได้พบปะกับรัฐมนตรีประเทศของอาเซียน เกือบครึ่งอาเซียน
นายนิกรเดช กล่าวอีกว่า ประเด็นสำคัญจากการบรรยายสรุปครั้งนี้ ตนขอสรุปคร่าวๆเป็น 3 ข้อ โดย ประเด็นแรก เป็นเรื่องนโยบายต่างประเทศ ว่าภายใต้รัฐบาลชุดนี้จะเน้นการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศไทยและประชาชนไทยด้วยการขับเคลื่อนทางการทูตเชิงรุก และการทูตเศรษฐกิจ โดยไทยจะเข้าไปมีบทบาทที่สร้างสรรค์ในการร่วมกำหนดระเบียบโลกที่เป็นคุณกับประเทศกำลังพัฒนา การเสริมสร้างเสถียรภาพความมั่นคงเอกภาพและความเป็นแกนกลางของอาเซียน ซึ่งเป็นเสาหลักของการต่างประเทศของไทย
ประเด็นที่ 2 ประเทศไทยได้ใช้โอกาสในการเข้าร่วมการประชุม UNGA 80 ในการนำพาไทยกลับเข้าสู่จอเรดาร์โลก โดยการย้ำและยึดมั่นในระบอบพหุภาคี การปฏิบัติตนเป็นรัฐสมาชิกที่น่าเชื่อถือและมีความรับผิดชอบต่อประชาคมโลก และได้แสดงวิสัยทัศน์ในยูเอ็น ต่อประชาคมโลก ทั้งในประเด็นที่ใกล้ตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเมียนมาร์ สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และประเด็นที่ไกลตัว ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ในยูเครน ตะวันออกกลาง ตลอดจนแสดงความพร้อมที่จะร่วมกับประชาคมโลก ในการขับเคลื่อนวาระโลก สำคัญๆต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสันติภาพ เรื่องความมั่นคง เรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืน เรื่องสิทธิมนุษยชน การเปลี่ยนแปลงสภาพพูมิอากาศ การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ และการรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจของโลก รวมถึงความมั่นคงของมนุษย์
ประเด็นที่ 3 รมว.กต. ได้สรุปให้กับคณะทูตและองค์การต่างประเทศ ได้รับทราบ ก็คือประเด็นเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งมีอยู่ 4 ประเด็นหลัก 1. ประเทศไทยได้ใช้เวทีสหประชาชาติแห่งนี้ ในการนำเสนอข้อเท็จจริงที่ไร้การบิดเบือนต่อประชาคมโลก รวมถึงการหารือ 4 ฝ่าย ระหว่างสหรัฐฯ มาเลเซีย ไทย และกัมพูชา ซึ่งจัดขึ้นโดยสหรัฐฯ ทำให้ประเทศต่างๆได้รับรู้ถึงการดำเนินการอย่างมีวุฒิภาวะและการดำเนินการอย่างมีหลักการของไทย 2. ไทยได้ย้ำในหลายโอกาสว่า ปัญหาความขัดแย้ง ระหว่างไทยกับกัมพูชา ไม่ได้เป็นที่พึงประสงค์ หรือเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เราต้องการให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศกลับมาสู่ภาวะปกติ และพร้อมที่จะพูดคุย พร้อมที่จะเจรจาพูดคุยกับฝ่ายกัมพูชา เพื่อหาข้อยุติร่วมกัน อย่างไรก็ดี การจะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จได้ย่อมต้องอาศัยความจริงใจและความร่วมมือจากฝ่ายกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิด การถอดถอนอาวุธหนักออกจากบริเวณชายแดน การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ เป็นต้น 3. ไทยแสดงความผิดหวัง ที่กัมพูชายังคงสร้างสถานการณ์และมีการจัดฉาก เพื่อจะให้ได้กล่าวหาว่าไทยละเมิดข้อตกลงหยุดยิงในเวทีระหว่างประเทศ รวมถึงการให้ข้อมูลบิดเบือนอื่นๆต่อประชาคมระหว่างประเทศ ดังที่ได้เห็นในการประชุม UNGA 80 ที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนความไม่จริงใจของฝ่ายกัมพูชา ซึ่งก็เป็นหลักการพื้นฐานสำคัญของการฟื้นฟูความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน ประเด็นสุดท้าย 4. ไทยยังคงมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยสันติวิธี ผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ ในขณะเดียวกันเรายังคงยืนหยัดที่จะปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย ในการนี้ ไทยจึงได้ถามฝ่ายกัมพูชาผ่านองค์การสหประชาชาติ ว่า กัมพูชาจะเลือกเส้นทางใด ระหว่าง เส้นทางแห่งสันติภาพและความร่วมมือ ซึ่งเป็นเส้นทางที่ไทยเลือก กับเส้นทางแห่งการเผชิญหน้าและการสูญเสีย
นายนิกรเดช กล่าวยืนยันถึงเจตนารมย์ของไทย ว่า จะเดินหน้าแก้ไขปัญหากับกัมพูชา เพื่อความปลอดภัย และความสงบสุขของพี่น้องประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดนของทั้งสองฝั่ง แต่การจะสำเร็จได้ ก็ต้องอาศัยความจริงใจและความตั้งใจจริงของฝ่ายกัมพูชา เพราะความจริงจะชนะทุกอย่าง และความจริงใจจะแก้ปัญหาทุกสิ่งได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี