ค้านอภัยโทษแม้ว ‘แก้วสรร’พลิกตำราเตือนยธ. ‘ตู่’แนะเทวดาติดคุกให้ครบ

ค้านอภัยโทษแม้ว ‘แก้วสรร’พลิกตำราเตือนยธ. ‘ตู่’แนะเทวดาติดคุกให้ครบ

วันอาทิตย์ ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

ค้านอภัยโทษแม้ว
‘แก้วสรร’พลิกตำราเตือนยธ.
‘ตู่’แนะเทวดาติดคุกให้ครบ

'แก้วสรร'ออกโรงเบรกอภัยโทษ 'แม้ว' จี้กระทรวงยุติธรรม ยกคำร้องอ้างผิดหลักเกณฑ์ ด้าน 'จตุพร' แนะเทวดาทักษิณ ควรนั่งสมาธิ ปล่อยวาง อย่าว้าวุ่น ยอมติดคุกให้ครบตามกำหนด

เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2568นายแก้วสรร อติโพธิ เผยแพร่บทความเรื่อง “คำขออภัยโทษซ้ำของทักษิณ กับการตีความกฎหมายของกระทรวงยุติธรรม” มีเนื้อหาดังนี้ ถาม คำขอพระราชทานอภัยโทษของทักษิณ ในโทษ ๑ ปี ที่ศาลมีคำสั่งให้กลับไปถูกคุมขังให้ครบนั้น วันนี้คำร้องนี้ไปอยู่ตรงไหนแล้วครับ


ตอบ สำนักเลขา ครม. ส่งคืนไปให้กระทรวงยุติธรรมทบทวนแล้วยื่นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง เห็นรัฐมนตรีท่านตั้งคณะทำงานพิจารณาโดยเร็วแล้วครับ

ถาม ปัญหาที่ต้องพิจารณามันอยู่ตรงไหนบ้างครับ

ตอบ ปัญหาข้อแรกคือความชอบด้วยกฎหมายของคำร้อง ตรงนี้ถ้าฝ่ายบริหารเห็นว่าผิดกฎหมายก็ยกคำร้องไปได้เลย ไม่ต้องส่งคำร้องไปที่วัง ข้อสองถ้าคำร้องถูกต้องก็เหลือแต่ดุลพินิจเท่านั้นว่าสมควรอภัยโทษหรือไม่เพียงใด ตรงนี้เป็นพระราชอำนาจโดยแท้ รัฐมนตรียุติธรรมได้แต่ถวายความเห็นของตนแนบท้ายไปเท่านั้น

ถาม สมัยรัฐมนตรีทวี สอดส่อง รับคำร้องแล้วเห็นเป็นอย่างไร

ตอบ เค้าเห็นว่าคำร้องถูกต้อง ส่วนการถวายความเห็นประกอบดุลพินิจในหลวงนั้น เค้าเสนอให้ยกคำร้อง เพราะโทษ ๑ ปีนี้มีคำสั่งศาลฎีกาสำทับไปแล้วว่าให้นำไปคุมขังให้ครบ ซึ่งมาวันนี้ถ้ารัฐบาลใหม่เห็นด้วย ก็ต้องนำขึ้นกราบบังคมทูลต่อไป ผลจะเป็นอย่างไร จะทรงยกคำร้อง หรือจะทรงอภัยให้ ก็เป็นพระราชอำนาจ

ถาม เห็นอาจารย์ให้ความเห็นว่า คำร้องทักษิณ เป็นคำร้องในโทษเดิม ที่ทรงอภัยให้มาแล้ว ๗ ปี เหลือ ๑ ปี ทักษิณจะมาตื๊อร้องซ้ำอีกไม่ได้

ตอบ ร้องไม่ได้ครับ คำร้องนี้ต้องถูกยกในชั้นฝ่ายบริหารเลย ไม่ต้องส่งเข้าวังอีก คือพระราชอำนาจนี้ รัฐธรรมนูญรับรองไว้ก่อน แล้วประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ก็มาบัญญัติขั้นตอนไว้อีกทีครับว่า ถ้าเป็นโทษประหารชีวิตก็บัญญัติให้มีคำขอได้ครั้งเดียว ยุติอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ส่วนโทษจำคุกนั้น ก็บัญญัติไว้ว่า

“ มาตรา ๒๖๔ เรื่องราวขอพระราชทานอภัยโทษอย่างอื่น ซึ่งมิใช่โทษประหารชีวิต ถ้าถูกยกหนหนึ่งแล้วจะยื่นใหม่อีกไม่ได้จนกว่าจะพ้นสองปีนับแต่วันถูกยกครั้งก่อน “

ถาม หลักคิดในมาตรานี้ มันเป็นอย่างไรครับ

ตอบ น่าจะเป็นว่า หลักทั่วไปคือห้ามร้องซ้ำเหมือนกัน จะลงเอยอย่างไรก็ยุติตามนั้น แต่ก็มาเห็นใจกันว่า สำหรับคำร้องที่ถูกในหลวงยกคำร้องนั้น น่าสงสารอยู่บ้าง ก็เลยบัญญัติไว้ในมาตรานี้ว่า ให้รอผ่านไปอีกสองปี ก็ร้องขอพระกรุณาได้อีกครั้งหนึ่ง

ถาม กรณีคุณทักษิณ โดนหมายขัง ๘ ปี ยื่นคำร้องแล้วทรงพระกรุณาลดให้ ๗ ปี ดังนี้ก็ขออีกไม่ได้สิครับ

ตอบ ไม่ได้ครับ คำร้อง ๘ ปีนั้น ทรงพระกรุณาให้แล้วเป็นลดโทษ ๗ ปี ไม่ได้ถูกยกหรือถูกปฏิเสธ กรณีจึงไม่เข้า มาตรา ๒๖๔

ถาม ทางกระทรวงยุติธรรมเห็นอย่างไร

ตอบ อธิบดีราชทัณฑ์ท่านเห็นเหมือนกับผมก่อนว่า กรณีไม่เข้ามาตรา ๒๖๔ เพราะไม่ได้ถูกยกคำร้อง แต่แล้วท่านกลับสรุปต่อไปว่า เมื่อไม่เข้า ๒๖๔ เงื่อนเวลาสองปีย่อมไม่เอามาใช้ ทักษิณจึงมีสิทธิร้องขออภัยโทษได้โดยพลันเลย เพราะคำร้องขออภัยโทษนี้เป็นสิทธิทั่วไปที่นักโทษร้องได้เสมอ เว้นแต่กฎหมายจะกำหนดเป็นอย่างอื่น

ถาม หมายความว่า อธิบดีเค้าไม่เอาหลักห้ามร้องซ้ำมาใช้ ใช่ไหมครับ

ตอบ ครับ ทางผมนั้นเห็นว่าหลักห้ามร้องซ้ำนี้มันมีเป็นหลักทั่วไปของกฎหมาย ถ้าไม่เข้ามาตรา ๒๖๔ ก็ร้องไม่ได้ ส่วนอธิบดีราชทัณฑ์ท่านเห็นต่างไปว่า ถ้าไม่มีกฎหมายห้ามแล้ว ย่อมร้องแล้วร้องอีกได้เสมอ

ถาม น่าปวดหัวจังเลยครับ มีความเห็นที่สาม อีกไหมนี่

ตอบ มีครับ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ท่านลากความเห็นมาอีกแนวเลยครับว่า ร้องได้ตามมาตรา ๒๖๔ เพราะนับจากวันที่ทักษิณยื่นคำร้อง ในสิงหาคม ๒๕๖๖ มาถึงวันนี้นั้น เวลามันเกินสองปีแล้ว มาตรา ๒๖๔ จึงเปิดให้ทักษิณยื่นคำร้องได้แล้ว

ถาม มาทางนี้ถูกไหมครับ

ตอบ มาตรา ๒๖๔ เป็นเรื่องเห็นใจนักโทษนะครับว่า แม้จะถูกยกคำร้อง แต่ให้อดทนติดคุกอีกหน่อยเถิด พอครบ สองปีค่อยร้องได้อีกครั้ง หลักคิดอย่างนี้มันหมายความว่า สองปีที่ผ่านมา ทักษิณได้อดทนติดคุกมาพอแล้วจึงให้ร้องขอได้อีก แล้วคุณว่า สองปีที่ผ่านมานี้ ทักษิณเค้าได้ติดคุกมาเท่าไหร่แล้ว

ถาม ศาลฎีกาวินิจฉัยแล้วนี่ครับว่า การส่งตัวไปนอนโรงพยาบาลตำรวจนั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะมีการสมคบช่วยเหลือกันไม่ให้ต้องติดคุก ดังนั้นจะถือเอาเวลาที่ผ่านมาเป็นการคุมขังไม่ได้ ท่านก็เลยสั่งให้กลับไปติดคุกให้ครบ ๑ ปี

ตอบ เมื่อศาลบอกว่าถือเวลาที่ผ่านมาเป็นเวลาคุมขังไม่ได้ ปลัดกระทรวงท่านก็จะนับเอาเวลาเหล่านั้นมานับเป็นเงื่อนเวลา ๒ ปี ตามมาตรา ๒๖๔ ไม่ได้ ความเห็นนี้ของท่าน จึงไม่น่าจะถูกต้อง

ถาม ทำไมกฎหมายมันสะดิ้งจังเลยครับ ดิ้นไปดิ้นมา ตีความกันได้ถึงสามแนวแบบนี้

ตอบ พ่อหลวงท่านเคยสอนไว้นะครับว่า กฎหมายที่อ่านกันเป็นมาตราๆนั้น แท้จริงมันมาจากความถูกต้อง ถ้ารู้ถูกรู้ผิดก็จะใช้กฎหมายได้ถูกต้องตรงกับความยุติธรรมเสมอ

ถาม สรุปแล้วอะไรสะดิ้งครับ
ตอบ นักกฎหมายครับ

ด้านนายสมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (อดีต สว.) โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่ามาตรา 264 เรื่องราวขอพระราชทานอภัยโทษอย่างอื่น ซึ่งมิใช่โทษประหารชีวิต ถ้าถูกยกหนหนึ่งแล้ว จะยื่นใหม่อีกไม่ได้ จนกว่าจะพ้นสองปีนับแต่วันถูกยกครั้งก่อน คำร้องขอพระราชทานอภัยโทษครั้งแรกที่ศาลฎีกาพิพากษาถึงที่สุดแล้วมีโทษจำคุก 8 ปี ของนายทักษิณนั้นได้รับพระมหากรุณาให้แล้วลดโทษไป 7 ปี เหลือ 1 ปี ไม่ได้ถูกยกหรือถูกปฏิเสธ กรณีจึงไม่เข้า มาตรา 264

นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์รายการประเทศไทยต้องมาก่อน โดยระบุว่า พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อดีต รมว.ยุติธรรม มีความเห็นยกคำร้องถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษครั้งสองของทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้เป็นการโยนเผือกร้อนให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ เพราะปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบพระราชประเพณีปฏิบัติ

อีกทั้งย้ำแนะนำทักษิณว่า อยู่ในคุกควรทำสมาธิ นึกถึงคนที่รักจำนวนมากไปต่อสู้ ยอมตาย บาดเจ็บ ติดคุกให้ อีกอย่างสิ่งสำคัญคนติดคุกต้องทำจิตปล่อยวางให้เร็ว ต้องไม่คิดมาก และไม่ควรคิดว่าตัวเองเป็นใคร หรือคิดว้าวุ่นจะออกจากคุกแล้วจะเป็นอะไร หรือจะไปทำอะไร ถ้าทำได้เช่นนี้ย่อมได้อิสรภาพทางจิตใจ แม้ไม่ใช่อิสรภาพทางร่างกายก็ตาม

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top