ประเมินแบบจำลองของจริง เลือกตั้ง ลงประชามติ 4 ใบ 6 ข้อคำถาม
ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผู้ก่อตั้งสำนักวิจัยซูเปอร์โพล เปิดเผยรายงานผลสำรวจเรื่อง ประเมินแบบจำลองของจริง เลือกตั้ง ลงประชามติ 4 ใบ 6 ข้อคำถาม จากกลุ่มตัวอย่างทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศจำนวนทั้งสิ้น 1,045 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 8 - 12 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา
ผลการสำรวจพบว่า ประชาชนร้อยละ 81.6 ระบุว่าสามารถ “ลงคะแนนได้ ไม่สับสน” ถึง “ไม่สับสนเลย” เกี่ยวกับการออกเสียงลงคะแนนในรูปแบบ “4 ใบ 6 คำถาม” ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพและความพร้อมของสังคมไทยในการเข้าสู่กระบวนการประชามติและการเลือกตั้งที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ขณะที่มีเพียงร้อยละ 18.4 ที่ “รู้สึกสับสน” ถึง “สับสนมากจนตอบไม่ได้เลย” ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องการการสื่อสารและการให้ข้อมูลเพิ่มเติม
ตัวเลขนี้มีความหมายเชิงยุทธศาสตร์ว่า ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้กลัวความซับซ้อนของระบบหากแต่ต้องการข้อมูลที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือ เพื่อประกอบการตัดสินใจทางการเมืองอย่างมีเหตุผล
บัตรลงคะแนนเสียงใบที่ 1: เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.เขต)
สำหรับการออกเสียงเลือกตั้งในบัตรใบที่ 1 ร้อยละ 63.3 ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่า “ตัดสินใจเลือกผู้สมัครได้แล้ว” ในขณะที่ร้อยละ 36.7 ยัง “ไม่ตัดสินใจ” หรือ “ไม่ออกเสียง”
สัดส่วนนี้สะท้อนว่า ประชาชนส่วนใหญ่มีจุดยืนทางการเมืองและความพร้อมที่จะตัดสินใจเลือกผู้แทนเขตของตน แต่ในอีกด้านหนึ่งก็เป็นสัญญาณเตือนเชิงกลยุทธ์ว่า ยังมีฐานประชากรเกือบ 4 ใน 10 ที่สามารถเปลี่ยนทิศทางผลการเลือกตั้งได้หากได้รับข้อมูลเพิ่มเติมในช่วงโค้งสุดท้าย
บัตรลงคะแนนเสียงใบที่ 2: เลือกตั้งบัญชีรายชื่อพรรคการเมือง
ในประเด็นการออกเสียงเลือกพรรคการเมืองแบบบัญชีรายชื่อ พบว่าร้อยละ 67.3 มีการตัดสินใจเลือกแล้ว ขณะที่ร้อยละ 32.7 ยังไม่ตัดสินใจ ซึ่งตัวเลขนี้ สูงกว่าการตัดสินใจเลือกผู้สมัครแบบเขต (ใบที่ 1) ถึง 4 จุดร้อยละ
ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นแนวโน้มสำคัญว่า ประชาชนมีความชัดเจนในภาพรวมของพรรคการเมืองมากกว่าตัวบุคคลในพื้นที่ และเป็นโอกาสเชิงยุทธศาสตร์สำหรับพรรคการเมืองที่มีภาพลักษณ์ชัดเจน นโยบายโดนใจ และความน่าเชื่อถือสูง
บัตรลงคะแนนเสียงใบที่ 3: ประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ข้อ 1: การแก้ไขรัฐธรรมนูญ (ยกเว้นหมวด 1 และหมวด 2)
ร้อยละ 52.4 ตัดสินใจเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบได้
ร้อยละ 47.6 ยังไม่ออกเสียง ไม่ตัดสินใจ ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม
ข้อ 2: การแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ
ร้อยละ 59.2 ตัดสินใจเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบได้
ร้อยละ 40.8 ยังไม่ออกเสียง ไม่ตัดสินใจ ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม
ตัวเลขนี้สะท้อนว่า แม้สังคมไทยมี “ความพร้อมทางประชาธิปไตย” แต่ในประเด็นที่ซับซ้อนเชิงโครงสร้าง เช่น การแก้รัฐธรรมนูญ ยังมีประชาชนจำนวนมากที่ต้องการข้อมูลที่โปร่งใสและเข้าใจง่าย นี่ไม่ใช่ความลังเล แต่เป็นความรับผิดชอบทางการเมืองของประชาชน ที่ต้องการพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ
บัตรลงคะแนนเสียงใบที่ 4: ประชามติ MOU 43 และ 44
MOU 43: ร้อยละ 57.1 ตัดสินใจได้, ร้อยละ 42.9 ยังไม่ออกเสียง ไม่ตัดสินใจ ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม
MOU 44: ร้อยละ 55.1 ตัดสินใจได้, ร้อยละ 44.9 ยังไม่ออกเสียง ไม่ตัดสินใจ ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม
ทั้งสองประเด็นเป็นเรื่องละเอียดอ่อนด้านนโยบายความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นว่า ประชาชนไทยจำนวนมาก พร้อมใช้สิทธิ์ในการกำหนดอนาคตประเทศ แต่ยังต้องการ “ข้อมูลที่โปร่งใสและไม่ถูกบิดเบือน” เพื่อประกอบการตัดสินใจ
ผู้ก่อตั้งซูเปอร์โพล กล่าวต่อว่า การตีความเชิงยุทธศาสตร์ทางการเมืองบทฐานข้อมูลที่ค้นพบ คือ
ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา กล่าวสรุปปิดท้าย ว่า ประชาธิปไตยที่แท้จริงไม่ได้เกิดขึ้นจากบัตรเลือกตั้งเพียงใบเดียว แต่เกิดจาก การที่ประชาชนรู้สึกว่า “เสียงของตนมีความหมาย” ตัวเลขในครั้งนี้ไม่ใช่แค่เปอร์เซ็นต์ แต่คือภาพสะท้อนของสังคมไทยที่กำลังก้าวสู่การเป็นประชาธิปไตยเชิงมีส่วนร่วม (Participatory Democracy) อย่างเป็นรูปธรรม
นี่คือช่วงเวลาที่ทุกภาคส่วน นักการเมือง พรรคการเมือง ภาครัฐ ภาคประชาชน และสื่อมวลชนสามารถร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์ได้ ด้วยการทำให้ “ประชาธิปไตยไทยเป็นของประชาชนจริง ๆ”
“เมื่อประชาชนเริ่มตั้งคำถามอย่างมีข้อมูล นั่นคือจุดเริ่มต้นของพลังประชาธิปไตยที่แท้จริง”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี