ประเมินแบบจำลองของจริง เลือกตั้ง ลงประชามติ 4 ใบ 6 ข้อคำถาม

ประเมินแบบจำลองของจริง เลือกตั้ง ลงประชามติ 4 ใบ 6 ข้อคำถาม

วันจันทร์ ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 18.59 น.

ประเมินแบบจำลองของจริง เลือกตั้ง ลงประชามติ 4 ใบ 6 ข้อคำถาม

ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผู้ก่อตั้งสำนักวิจัยซูเปอร์โพล เปิดเผยรายงานผลสำรวจเรื่อง ประเมินแบบจำลองของจริง เลือกตั้ง ลงประชามติ 4 ใบ 6 ข้อคำถาม จากกลุ่มตัวอย่างทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศจำนวนทั้งสิ้น 1,045 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 8 - 12 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา


ผลการสำรวจพบว่า ประชาชนร้อยละ 81.6 ระบุว่าสามารถ “ลงคะแนนได้ ไม่สับสน” ถึง “ไม่สับสนเลย” เกี่ยวกับการออกเสียงลงคะแนนในรูปแบบ “4 ใบ 6 คำถาม” ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพและความพร้อมของสังคมไทยในการเข้าสู่กระบวนการประชามติและการเลือกตั้งที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ขณะที่มีเพียงร้อยละ 18.4 ที่ “รู้สึกสับสน” ถึง “สับสนมากจนตอบไม่ได้เลย” ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องการการสื่อสารและการให้ข้อมูลเพิ่มเติม

ตัวเลขนี้มีความหมายเชิงยุทธศาสตร์ว่า ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้กลัวความซับซ้อนของระบบหากแต่ต้องการข้อมูลที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือ เพื่อประกอบการตัดสินใจทางการเมืองอย่างมีเหตุผล

บัตรลงคะแนนเสียงใบที่ 1: เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.เขต)

สำหรับการออกเสียงเลือกตั้งในบัตรใบที่ 1 ร้อยละ 63.3 ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่า “ตัดสินใจเลือกผู้สมัครได้แล้ว” ในขณะที่ร้อยละ 36.7 ยัง “ไม่ตัดสินใจ” หรือ “ไม่ออกเสียง”

สัดส่วนนี้สะท้อนว่า ประชาชนส่วนใหญ่มีจุดยืนทางการเมืองและความพร้อมที่จะตัดสินใจเลือกผู้แทนเขตของตน แต่ในอีกด้านหนึ่งก็เป็นสัญญาณเตือนเชิงกลยุทธ์ว่า ยังมีฐานประชากรเกือบ 4 ใน 10 ที่สามารถเปลี่ยนทิศทางผลการเลือกตั้งได้หากได้รับข้อมูลเพิ่มเติมในช่วงโค้งสุดท้าย

บัตรลงคะแนนเสียงใบที่ 2: เลือกตั้งบัญชีรายชื่อพรรคการเมือง

ในประเด็นการออกเสียงเลือกพรรคการเมืองแบบบัญชีรายชื่อ พบว่าร้อยละ 67.3 มีการตัดสินใจเลือกแล้ว ขณะที่ร้อยละ 32.7 ยังไม่ตัดสินใจ ซึ่งตัวเลขนี้ สูงกว่าการตัดสินใจเลือกผู้สมัครแบบเขต (ใบที่ 1) ถึง 4 จุดร้อยละ

ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นแนวโน้มสำคัญว่า ประชาชนมีความชัดเจนในภาพรวมของพรรคการเมืองมากกว่าตัวบุคคลในพื้นที่ และเป็นโอกาสเชิงยุทธศาสตร์สำหรับพรรคการเมืองที่มีภาพลักษณ์ชัดเจน นโยบายโดนใจ และความน่าเชื่อถือสูง

บัตรลงคะแนนเสียงใบที่ 3: ประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ข้อ 1: การแก้ไขรัฐธรรมนูญ (ยกเว้นหมวด 1 และหมวด 2)

ร้อยละ 52.4 ตัดสินใจเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบได้

ร้อยละ 47.6 ยังไม่ออกเสียง ไม่ตัดสินใจ ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม

ข้อ 2: การแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ

ร้อยละ 59.2 ตัดสินใจเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบได้

ร้อยละ 40.8 ยังไม่ออกเสียง ไม่ตัดสินใจ ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม

ตัวเลขนี้สะท้อนว่า แม้สังคมไทยมี “ความพร้อมทางประชาธิปไตย” แต่ในประเด็นที่ซับซ้อนเชิงโครงสร้าง เช่น การแก้รัฐธรรมนูญ ยังมีประชาชนจำนวนมากที่ต้องการข้อมูลที่โปร่งใสและเข้าใจง่าย นี่ไม่ใช่ความลังเล แต่เป็นความรับผิดชอบทางการเมืองของประชาชน ที่ต้องการพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ

บัตรลงคะแนนเสียงใบที่ 4: ประชามติ MOU 43 และ 44

MOU 43: ร้อยละ 57.1 ตัดสินใจได้, ร้อยละ 42.9 ยังไม่ออกเสียง ไม่ตัดสินใจ ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม

MOU 44: ร้อยละ 55.1 ตัดสินใจได้, ร้อยละ 44.9 ยังไม่ออกเสียง ไม่ตัดสินใจ ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม

ทั้งสองประเด็นเป็นเรื่องละเอียดอ่อนด้านนโยบายความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นว่า ประชาชนไทยจำนวนมาก พร้อมใช้สิทธิ์ในการกำหนดอนาคตประเทศ แต่ยังต้องการ “ข้อมูลที่โปร่งใสและไม่ถูกบิดเบือน” เพื่อประกอบการตัดสินใจ

ผู้ก่อตั้งซูเปอร์โพล กล่าวต่อว่า การตีความเชิงยุทธศาสตร์ทางการเมืองบทฐานข้อมูลที่ค้นพบ คือ

  1. ประชาชนไทยวันนี้ไม่ได้เป็นเพียงผู้ตามทางการเมืองอีกต่อไป แต่เป็นผู้มีบทบาทเชิงตัดสินใจ (Decisive Voters) ที่ต้องการข้อมูลชัดเจนและเชื่อถือได้
  2. โอกาสของพรรคการเมืองและภาคประชาสังคม คือการสร้าง “พื้นที่กลางของความเข้าใจ” ที่ทำให้คนส่วนที่ยังไม่ตัดสินใจ (ร้อยละ 30-45 ของทุกประเด็น) กลายเป็นแรงขับเคลื่อนทางการเมืองอย่างสร้างสรรค์
  3. ประเด็นการแก้รัฐธรรมนูญและ MOU เป็นประเด็นยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงของชาติที่มีความละเอียดอ่อนสูง โดยเฉพาะ MOU ซึ่งไม่ใช่เรื่องการเมืองภายในประเทศ หากแต่เป็นประเด็นข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา จึงจำเป็นต้องมีการสื่อสารที่รอบคอบ มีความรับผิดชอบ และตั้งอยู่บนข้อเท็จจริง ไม่ใช่เพียงการแข่งขันทางเสียงเรียก แต่คือการแข่งขันบน “ความน่าเชื่อถือ ความจริง และผลประโยชน์แห่งชาติ”ข้อคิดและแรงบันดาลใจ

ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา กล่าวสรุปปิดท้าย ว่า ประชาธิปไตยที่แท้จริงไม่ได้เกิดขึ้นจากบัตรเลือกตั้งเพียงใบเดียว แต่เกิดจาก การที่ประชาชนรู้สึกว่า “เสียงของตนมีความหมาย” ตัวเลขในครั้งนี้ไม่ใช่แค่เปอร์เซ็นต์ แต่คือภาพสะท้อนของสังคมไทยที่กำลังก้าวสู่การเป็นประชาธิปไตยเชิงมีส่วนร่วม (Participatory Democracy) อย่างเป็นรูปธรรม

นี่คือช่วงเวลาที่ทุกภาคส่วน นักการเมือง พรรคการเมือง ภาครัฐ ภาคประชาชน และสื่อมวลชนสามารถร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์ได้ ด้วยการทำให้ “ประชาธิปไตยไทยเป็นของประชาชนจริง ๆ”

 “เมื่อประชาชนเริ่มตั้งคำถามอย่างมีข้อมูล นั่นคือจุดเริ่มต้นของพลังประชาธิปไตยที่แท้จริง”

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top