‘กมธ.ป.ป.ช.’ มึน ‘สพฐ.’ เพิ่งตื่น ร่อนหนังสือทวงหนี้ ‘สกสค.’ หลังปล่อยค้างจ่ายค่าลิขสิทธิ์แบบเรียนตั้งแต่ปี 59 จนหนี้พอก 200 กว่าล้านบาท รับที่ผ่านมาไม่เคยทวง-ไร้สัญญา เซ็ง ‘ผู้แทน สพฐ.’ ไม่เตรียมเอกสารมาประกอบการชี้แจง เรียก ‘เลขาธิการ กพฐ.’ มาแจงซ้ำ พร้อมเชิญ ‘อธิบดีบัญชีกลาง’ ร่วมให้ข้อมูลสัปดาห์หน้า
วันที่ 16 ตุลาคม 2568 ในการประชุมคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ (กมธ.ป.ป.ช.) สภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายอภิชาติ ตีรสวัสดิชัย สส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธาน กมธ.ป.ป.ช. เป็นประธานในที่ประชุม มีวาระพิจารณาตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (องค์การค้าของ สกสค.) โดยมี นางภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) และผู้เกี่ยวข้องจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เป็นผู้แทนเลขาธิการ กพฐ.เข้าชี้แจง กรณีที่ องค์การค้าของ สกสค.ค้างชำระค่าลิขสิทธิ์หลักสูตรหรือสื่อการเรียนรู้ที่ สพฐ.เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ช่วงต้น นายปรีติ เจริญศิลป์ สส.นนทบุรี พรรคประชาชน ในฐานะรองประธานคณะ กมธ.ป.ป.ช. คนที่ 5 ได้สอบถามถึงหลักการในการเรียกเก็บค่าลิขสิทธิ์หลักสูตรหรือสื่อการเรียนรู้กับหน่วยงานต่างๆ ที่นำไปผลิตหนังสือแบบเรียน และขอข้อมูลในส่วนค่าลิขสิทธิ์แบบเรียนหลักสูตรที่องค์การค้าของ สกสค.ค้างชำระอยู่
ผู้แทน สพฐ. ชี้แจงว่า การเรียกเก็บค่าลิขสิทธิ์หลักสูตรหรือสื่อการเรียนรู้นั้นเป็นการดำเนินการตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการเรียกเก็บค่าลิขสิทธิ์สื่อการเรียนรู้ในการศึกษาขั้นพื้นฐานและการศึกษาปฐมวัย พ.ศ.2552 โดยกำหนดให้ สพฐ.นำส่งต้นฉบับพร้อมลิขสิทธิ์ให้กับหน่วยงานที่ดำเนินการผลิตหนังสือแบบเรียน ซึ่งในส่วนขององค์การค้าของ สกสค. ที่มีหน้าที่ในการผลิตหนังสือแบบเรียนของกระทรวงศึกษาธิการทุกปีการศึกษา ต้องชำระค่าลิขสิทธิ์หนังสือแบบเรียนแยกตามระดับชั้น ในอัตราร้อยละ 3, 5, 10 และ 15 โดยยอมรับว่า ปัจจุบัน องค์การค้าของ สกสค. ได้ค้างชำระค่าลิขสิทธิ์ต่างๆ ให้กับ สพฐ.อยู่ราว 200 กว่าล้านบาท โดยเป็นยอดค้างชำระสะสมมาตั้งแต่ปี 2559
ผู้แทน สพฐ. ชี้แจงด้วยว่า เนื่องจากที่ผ่านมา สพฐ.ไม่ได้ทำการทวงถาม จึงไม่ทราบว่าเหตุใดองค์การค้าของ สกสค.จึงไม่ได้ชำระค่าลิขสิทธิ์ให้กับ สพฐ. มีเพียงช่วงโควิด-19 เท่านั้นที่แจ้งขอผลัดชำระเข้ามา อย่างไรก็ตามเมื่อช่ว งต้นเดือน ต.ค.2568 สพฐ.ได้ทำหนังสือแจ้งเตือน องค์การค้าของ สกสค. ให้ดำเนินการชำระค่าลิขสิทธิ์ที่ค้างชำระ พร้อมรายละเอียดเกี่ยวกับเบี้ยปรับ ซึ่งทางองค์การค้าของ สกสค.ก็ได้มีหนังสือแจ้งกลับมาว่า จะทยอยชำระให้เดือนละ 3 ล้านบาท และชำระร้อยละ 40 ของจำนวนจ้างพิมพ์ อย่างไรก็ตามยอมรับว่า ที่ผ่านมา สพฐ.และองค์การค้าของ สกสค.ไม่ได้มีการทำสัญญาเกี่ยวกับการจัดเก็บค่าลิขสิทธิ์แบบเรียนระหว่างกันตามที่ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการเรียกเก็บค่าลิขสิทธิ์สื่อการเรียนรู้ในการศึกษาขั้นพื้นฐานและการศึกษาปฐมวัย พ.ศ.2552 กำหนด โดยยึดระเบียบกระทรวงศึกษาธิการดังกล่าวเป็นหลักปฏิบัติเท่านั้น
ทั้งนี้ กมธ.บางรายได้ตั้งข้อสังเกตว่า การที่ องค์การค้าของ สกสค.ไม่ชำระค่าลิขสิทธิ์หลักสูตรหรือสื่อการเรียนรู้ให้แก่ สพฐ.ตามที่กำหนดในแต่ละปีนั้น ถือว่าไม่เป็นธรรมต่อหน่วยงานอื่นๆ ทั้งรัฐและเอกชนที่ผลิตและจำหน่ายหนังสือแบบเรียนเล่มที่ซ้ำกับองค์การค้าของ สกสค. แต่ชำระค่าลิขสิทธิ์หลักสูตรหรือสื่อการเรียนรู้ให้แก่ สพฐ.ตามกำหนดทุกปี ส่งผลให้องค์การค้าของ สกสค.มีต้นทุนการผลิตหนังสือแบบเรียนที่ต่ำกว่า จึงเสนอให้เชิญ กรมบัญชีกลาง มาสอบถามว่า การที่ สพฐ.ไม่ทวงถามหนี้ชำระค่าลิขสิทธิ์หลักสูตรจาก องค์การค้าของ สกสค. รวมถึงการที่องค์การค้าของ สกสค.ค้างชำระค่าลิขสิทธิ์มาเป็นเวลาเกือบ 10 ปีเข้าข่ายมีความผิด หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่อย่างไร รวมถึงอาจเข้าข่ายพฤติกรรมทุจริตด้วย
รายงานข่าวแจ้งว่า ในการประชุมวันนี้ ทางผู้แทน สพฐ.ไม่ได้เตรียมเอกสารต่างๆ ที่อ้างอิงมาประกอบการชี้แจง โดยระบุว่า เพิ่งได้รับมอบหมายเลขาธิการ กพฐ.ให้มาชี้แจงต่อ กมธ.ป.ป.ช.อย่างกะทันหัน ทางที่ประชุม กมธ.ป.ป.ช. จึงได้ขอให้ทาง สพฐ.นำส่งเอกสารต่างๆ ให้ กมธ.ป.ป.ช.โดยเร็ว และจะเชิญ เลขาธิการ กพฐ.มาชี้แจงในประเด็นนี้อีกครั้ง พร้อมทั้งเชิญ อธิบดีกรมบัญชีกลาง มาให้ข้อมูลประกอบในการประชุม กมธ.ป.ป.ช.ในวันที่ 22 ต.ค.2568 ด้วย.
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี