'พีระพันธุ์'ข้องใจ ร่างแก้ รธน. เปิดทางแก้ 'หมวด 1-2' หวั่นกระทบสถาบันหลักของชาติ

'พีระพันธุ์'ข้องใจ ร่างแก้ รธน. เปิดทางแก้ 'หมวด 1-2' หวั่นกระทบสถาบันหลักของชาติ

วันเสาร์ ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 15.41 น.

'พีระพันธุ์’ ข้องใจ ร่างแก้ รธน. เหตุใดเปิดทางแก้ 'หมวด 1-2' หวั่นกระทบสถาบันหลักของชาติ ย้ำ จุดยืนปกป้องชายแดนไทย 'อธิปไตย-ความมั่นคงของประเทศ' อยู่เหนือสิ่งอื่นใด พร้อมชูนโยบาย 'ใช้หนี้ด้วยงาน'  แก้หนี้ กยศ.  ช่วยคนตกงาน ลดภาระในครัวเรือน   

วันที่ 17 ตุลาคม 2568 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ร่วม Live พูดคุยกับพี่น้องประชาชนผู้มาให้กำลังใจอย่างใกล้ชิดและเป็นกันเอง โดยเล่าถึงประสบการณ์วัยเด็ก การอบรมเลี้ยงดูของครอบครัว และประสบการณ์เมื่อครั้งเดินทางไปศึกษาต่อในต่างประเทศที่มหาวิทยาลัยทูเลน สหรัฐอเมริกา ก่อนกลับมาเริ่มต้นการทำงานด้านกฎหมายและเป็นผู้พิพากษา รวมทั้งจุดเปลี่ยนผันที่ทำให้ตัดสินใจเข้ามาทำงานการเมือง หลังจากที่ตนได้พบเห็นความทุกข์และความเดือดร้อนของประชาชนอันเกิดจากความไม่รู้กฎหมาย และการขาดที่พึ่ง


“อีกเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้ตัดสินใจเข้าสู่การเมือง ช่วงพฤษภาทมิฬ ผมก็วิพากษ์วิจารณ์นักการเมืองเหมือนกัน จึงเกิดความคิดที่ว่า ถ้าเอาแต่ด่า แต่ไม่ลงมือเข้ามาทำให้มันดีขึ้น ก็ควรด่าตัวเองดีกว่า วันนั้นเป็นจุดหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต ตัดสินใจลาออกจากการเป็นผู้พิพากษา มาเข้าสู่การเมือง”นายพีระพันธุ์ กล่าว

นายพีระพันธุ์ ได้ตอบคำถามในประเด็นเกี่ยวกับการทำงานการเมืองในอนาคตว่า นอกเหนือจากด้านพลังงาน ถ้าเป็นไปได้ตนอยากดูแลด้านการศึกษา และมีความสนใจงานด้านกลาโหมเป็นพิเศษ อีกทั้งยังได้ตอบข้อซักถามที่ประชาชนได้ตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับวิธีการแก้ไขปัญหาชายแดนไทยว่า รัฐบาลต้องมีความชัดเจนและยึดผลประโยชน์ของประเทศสำคัญเหนืออื่นใด

"ผมพูดแบบตรงไปตรงมา ทุกอย่างอยู่ที่รัฐบาล รัฐบาลต้องมีความชัดเจนและยึดประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ ความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านเป็นสิ่งจำเป็น แต่ 'ความมั่นคงของประเทศสำคัญกว่า'  หากเกิดปัญหากับเพื่อนบ้าน ความมั่นคงของประเทศต้องนำหน้า ไม่มีใครอยากเสียความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หากเราคิดฝ่ายเดียว อีกฝ่ายไม่คิดแบบเราปัญหาก็เกิดขึ้นได้ ก็ยากที่จะดำเนินความสัมพันธ์ต่อไปได้ และเราต้องประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแบบไหนควรทำอย่างไร สิ่งที่สำคัญที่สุดในการตัดสินใจ คือ อธิปไตยของคนไทย แผ่นดินไทย และผลประโยชน์ของประเทศไทย" นายพีระพันธุ์ กล่าวอย่างหนักแน่น

ต่อข้อซักถามเกี่ยวกับผลงานที่ภาคภูมิใจ นายพีระพันธุ์ได้หยิบยกความสำเร็จในคดีโฮปเวลล์ ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการศึกษาและหามุมกฎหมายใหม่เพื่อแนวทางแก้ปัญหา รวมทั้งการรวบรวมหลักฐานข้อเท็จจริง การหามุมกฎหมายที่เหมาะสม และการตามหาพยานบุคคลเพื่อยืนยันข้อมูล  แม้ตอนแรกจะไม่แน่ใจว่าจะทำได้แค่ไหน แต่ก็ตั้งใจว่าจะทำให้ถึงที่สุด ตนจึงรู้สึกดีใจและภูมิใจที่สามารถทำคดีนี้สำเร็จได้ อย่างน้อยก็เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า "เราไม่ได้เป็นฝ่ายผิด" ทั้ง ๆ ที่แพ้คดีมานานถึง 30 ปี  มีความยากลำบากในหลายด้าน เนื่องจากเหตุการณ์และคดีมีความซับซ้อนและผ่านมาเป็นเวลานาน 

นอกจากนี้  นายพีระพันธุ์ยังเปิดเผยถึงอีกนโยบายสำคัญของพรรครวมไทยสร้างชาติ นั่นคือ “การใช้หนี้ด้วยงาน” เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.)  แทนการดำเนินคดีฟ้องร้องผู้กู้ยืมกองทุนฯ ที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้  ซึ่งไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา และอาจทำลายอนาคตของผู้มีความรู้ความสามารถ 

"ควรให้ผู้กู้ที่มีความรู้ความสามารถ แต่ไม่สามารถชำระหนี้ได้ด้วยเหตุผลความจำเป็น สามารถนำความรู้เหล่านั้นมาช่วยงานหรือบริการสังคมเพื่อทดแทนหนี้คืนรัฐ แนวทางนี้จะดีกว่าการฟ้องร้องและสร้างภาระเพิ่ม  ผมคิดว่าหนึ่งในนโยบายสำคัญของพรรครวมไทยสร้างชาติ คือ ใช้หนี้ด้วยงาน" นายพีระพันธุ์กล่าว

ในช่วงท้าย นายพีระพันธุ์ได้ตอบคำถามเรื่องกฎหมายรัฐธรรมนูญว่า กฎหมายรัฐธรรมนูญในประเทศไทย มักถูกสื่อปลูกฝังให้เป็นเรื่องการเมือง ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง แต่แท้ที่จริงแล้วรัฐธรรมนูญคือเครื่องมือป้องกันตัวของประชาชน เป็นหลักประกันความยุติธรรมในชีวิต ไม่ใช่เครื่องมือทางการเมือง เวลาแก้ไขก็จะเน้นเรื่องการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพประชาชน ไม่ใช่เรื่องโครงสร้างทางการเมือง ในการเลือกตั้ง หรือเรื่องของจำนวนสมาชิกในรัฐสภา

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายต่างๆ ความสำคัญอยู่ที่หลักการ การจะออกกฏหมาย ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายที่แก้รัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายทั่วไปจะเริ่มต้นด้วยหลักการที่ว่า ทําไมต้องมีกฎหมายฉบับนี้และในกฎหมายฉบับนี้เราจะให้ทําอะไรได้ หรือไม่ให้ทําอะไร การที่รัฐสภาลงมติวาระแรก เพื่อรับหลักการยังไม่ไช่การรับเนื้อหาข้างในกฎหมาย เพราะในชั้นกรรมาธิการพิจารณาเนื้อหากฎหมายยังสามารถแก้ไขได้ ถ้าเนื้อหาดังกล่าวไม่ขัดกับหลักการที่ทางรัฐสภารับรองแล้ว

ร่าง พ.ร.บ.แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 2 ฉบับ ไม่มีฉบับไหนเลยที่ระบุในหลักการว่าไม่ให้แก้รัฐธรรมนูญหมวด 1 หมวด 2  ดังนั้น ในชั้นพิจารณาของกรรมาธิการจึงสามารถแก้ไขได้ และที่สำคัญ ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของฉบับที่ไม่ได้เป็นหลัก ยังเปิดช่องให้แก้ไข โดยเขียนระบุไว้ในหลักการว่า ถ้าจะแก้หมวด 1 หมวด 2 ต้องทำอย่างไร  ซึ่งหากไม่ต้องการให้แก้ไขอย่างที่อ้าง ทําไมไม่ระบุไปในหลักการ เมื่อไม่ได้ระบุไว้ถือเป็นการเปิดช่องให้มีการแก้ไข หมวด 1 หมวด 2 ได้นั่นเอง

"ถ้าจะแก้รัฐธรรมนูญต้องเป็นประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริง  แก้เพื่อเป็นหลักประกันของประชาชน แก้เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้รัฐธรรมนูญคุ้มครองตัวเองจากการใช้อํานาจไม่ถูกต้องของภาครัฐ แก้เพื่อให้ประชาชนสามารถคุ้มครองตนเองจากการใช้สิทธิทางกฎหมายที่ไม่ชอบโดยคนที่มีอํานาจทางอิทธิพล ทางเศรษฐกิจ หรือการทางด้านการเงินเหนือกว่า ครับ ถ้าคุณจะแก้เพื่อให้นักการเมืองเสวยอํานาจกันต่อไปได้ไม่ควรจะแก้ และไม่ใช่วัตถุประสงค์ของรัฐธรรมนูญ" นายพีระพันธุ์ กล่าวในตอนท้าย

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top