'ส.ส.ปชน.' มอง 'คนละครึ่งพลัส' กระตุ้น ศก. ได้จำกัด ชี้ ปชช. แห่ลงทะเบียน สะท้อนรายได้ถดถอย ข้าวยากหมากแพง

'ส.ส.ปชน.' มอง 'คนละครึ่งพลัส' กระตุ้น ศก. ได้จำกัด ชี้ ปชช. แห่ลงทะเบียน สะท้อนรายได้ถดถอย ข้าวยากหมากแพง

วันจันทร์ ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 12.12 น.

‘พรรคส้ม’ กระตุก ‘รัฐบาล’ สร้างแรงจูงใจ-ความมั่นใจ บรรดาร้านค้าเข้าร่วม ‘คนละครึ่งพลัส’ ไม่ต้องหวั่นโดน ‘ภาษีย้อนหลัง’ ชี้ ปชช. แห่ลงทะเบียน สะท้อนรายได้ถดถอย ข้าวยากหมากแพง ลั่นเป็นสิทธิ์เต็มที่ของฝ่ายบริหาร หลังถูกถามทำนโยบายกระตุ้น ศก.เรียกคะแนนนิยมหรือไม่

วันที่ 20 ตุลาคม 2568 เมื่อเวลา 10.00 น. ที่รัฐสภา นายสิทธิพล วิบูลย์ธนากุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงการลงทะเบียนคนละครึ่งพลัสวันแรกว่า จากที่ติดตามข่าวพบว่าประชาชนให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก ซึ่งในมุมหนึ่งสะท้อนว่าประชาชนในปัจจุบันคาดหวังกับโครงการนี้ค่อนข้างสูง ซึ่งอาจสอดรับกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ที่ประชาชนอยู่ในภาวะข้าวยากหมากแพง รายได้ถดถอย ต้องการการสนับสนุนจากรัฐบาล และตนคิดว่าโครงการดังกล่าวของรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็ตอบโจทย์ 2-3 เรื่องในระยะสั้นคือ เป็นโครงการที่สามารถทำได้ทันทีเพราะประชาชนคุ้นเคยกับโครงการนี้อยู่แล้ว ขณะเดียวกันก็มีระบบเป๋าตังรองรับสามารถใช้ได้ทันที  และในอีกมุมก็คิดว่าเป็นเรื่องดีเพราะเป็นโครงการที่รับฟังเสียงสะท้อนจากฝ่ายค้านนักวิชาการ ในการปรับเงื่อนไข ให้ผู้ที่ยื่นแบบภาษีได้สิทธิ์มากกว่าผู้ที่ไม่ได้ยื่นสิทธิ์ภาษี ซึ่งทำให้ประชาชนที่จ่ายภาษีรู้สึกว่ามีอะไรเป็นพิเศษให้กับเขา อย่างไรก็ตาม เราต้องยืนยันว่าโครงการนี้มีประสิทธิผลค่อนข้างจำกัด 


นายสิทธิพล กล่าวว่า สิ่งที่อยากสื่อสารไปยังรัฐบาลคือ 1.ในมุมที่เป็นข้อดีโครงการนี้สามารถทำได้ทันทีก็จริง แต่เป็นโครงการที่มุ่งกระตุ้นหรือเน้นผลระยะสั้นมาก หากไปดูงานวิจัยพบว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือจีดีพีจะไม่ได้สูงมากเพราะเป็นการโยกการใช้จ่ายใช้สอยของประชาชนเฉยๆ จากเดิมที่ประชาชนซื้อร้าน ก. แต่วันนี้ร้านก. ไม่ได้อยู่ในโครงการคนละครึ่งพลัส แต่ร้าน ข. อยู่แทน คนก็หันไปซื้อที่ร้าน ข. สิ่งที่เกิดขึ้นคือจำนวนเงินที่ประชาชนใช้จ่ายเท่าเดิม ซึ่งจะไม่ได้ช่วยให้กระตุ้นเศรษฐกิจหรือ กระตุ้นการลงทุนใหม่ๆมากขึ้นเท่าไหร่ และยังมีงานวิจัยว่าเงิน 1 บาทที่รัฐบาลกระตุ้นไป กระตุ้นได้แค่ 30 สตางค์ 2. สิ่งที่ทำให้ไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากคือ วงเงินที่จะจัดสรรมาใช้เป็นวงเงินที่โยกมาจากเงินโครงการอื่น ไม่ใช่เป็นวงเงินใหม่ อาจทำให้เป็นเรื่องที่ประสิทธิผลในการกระตุ้นไม่สูงนักและ 3. ประชาชนในพื้นที่จำนวนมากที่สนใจเข้าร่วมโครงการแต่ไม่สามารถลงทะเบียนได้ และมีการไปต่อคิวเพื่อลงทะเบียนที่ธนาคารตั้งแต่ 05.00 น. ต้องการลงทะเบียนได้ แต่ธนาคารก็มีเสถียรภาพจำกัดในการดูแล เช่น บางที่อาจมีเพียงแค่ 50 คิว หรือบางทีอาจมีแค่ 100 คิว ซึ่งบุคคลกลุ่มนี้เป็นบุคคลสำคัญที่อาจต้องได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลด้วยซ้ำ เพราะเป็นกลุ่มบุคคลที่อาจเข้าไม่ถึงโครงการดังกล่าว 

เมื่อถามว่า โครงการดังกล่าวรัฐบาลก่อนเคยทำมาแล้ว และอาจมีช่องโหว่ในเรื่องของการทุจริต มองว่ารัฐบาลชุดนี้จะสามารถแก้ปัญหาดังกล่าวหรืออุดช่องโหว่ได้หรือไม่ นายสิทธิพล กล่าวว่า ตนมองว่าโครงการนี้จะทำอย่างไรให้เกิดประสิทธิผลมาก เหมือนที่บอกว่ามีตัวเลขงานวิจัยที่นักเศรษฐศาสตร์ไปประเมินแล้วพบว่าที่ผ่านมาใช้เป็นแสนล้านบาท แต่สามารถกระตุ้นได้ค่อนข้างจำกัด ซึ่งสิ่งที่ต้องการจะทำคือหลังจากนี้ผลต่อเนื่องในระยะยาว โดยมี 2 เรื่องที่รัฐบาลควรทำ คือเราพบว่าร้านค้าที่เคยเข้าระบบได้ข้อดีในระยะยาวคือแม้ว่าเงินจะไม่มี รัฐไม่ได้สนับสนุนแล้ว แต่เมื่อประชาชนได้รู้จักแล้วเขาก็ยังซื้อต่อเนื่อง ฉะนั้น ช่วงเวลาที่เหลือ 2-3 เดือนนี้ สิ่งที่รัฐบาลควรทำคือพยายามจูงใจ ให้ร้านค้าที่ไม่เคยเข้าสู่ระบบให้มาเข้าสู่ระบบได้ หากเป็นเช่นนี้ก็จะทำให้ แม้ว่าโครงการจบไป แต่จะมีร้านค้าใหม่ๆ ที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ และเรียนรู้ระบบเทคโนโลยี ต่อไปรัฐบาลอาจจะมีโครงการมาสนับสนุน ก็สามารถ ส่งมาตรการต่างๆมายังช่องทางเหล่านี้ได้ และอีกเรื่องคือ ตนต้องยืนยันว่าเสียงสะท้อนจากผู้ประกอบการ เขายังกังวลเรื่องภาษี เพราะเขายังไม่แน่ใจว่าสุดท้ายแล้ว หากมีคนมาใช้จ่ายกับเขาเยอะจะมีภาษีย้อนหลังหรือไม่ ตนคิดว่าประเด็นนี้แม้ว่านายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.การคลัง จะเคยระบุว่า ไม่เอาประเด็นนี้มาดำเนินการแน่นอน แต่ตนคิดว่ารัฐบาลต้องทำให้จริงจัง ทำให้ประชาชนเชื่อมั่นได้ หากสามารถทำเช่นนั้นได้ก็จะทำให้มีร้านค้าที่เข้ามาร่วมในระบบของโครงการดังกล่าวได้มากขึ้น และจะเกิดผลดีในระยะยาวกับร้านค้าเหล่านี้

เมื่อถามว่า การทำโครงการนี้ของรัฐบาลจะไม่เข้าข่ายผิดเงื่อนไขMOAที่จะทำให้เกิดความนิยมทางการเมืองเพิ่มขึ้นใช่หรือไม่  นายสิทธิพล กล่าวว่า ตนคิดว่าหากเราเน้นประโยชน์ของประชาชน ไม่ว่ารัฐบาลไหนเข้ามาบริหารประเทศก็จำเป็นจะออกนโยบายเพื่อทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น ทำให้ประชาชนที่มีความทุกข์ร้อน ได้รับความช่วยเหลือและบรรเทาลง ตนคิดว่าเป็นสิทธิ์เต็มที่ของฝ่ายบริหารที่จะดำเนินมาตรการต่างๆได้ แต่ข้อท้วงติงและข้อเสนอต่างๆ รัฐบาลจำเป็นจะต้องระมัดระวัง ย้ำว่าต้องทำให้ประชาชนที่อยากเข้าถึงโครงการดังกล่าวสามารถเข้าถึงได้ 

นายสิทธิพล กล่าวว่า โครงการคนละครึ่งพลัสเป็นโครงการที่มีผลค่อนข้างจำกัดเป็นการช่วยเหลือเป็นการช่วยเหลือแบ่งเบาค่าครองชีพของประชาชนระยะสั้นเท่านั้น แต่ปัญหาเศรษฐกิจในวันนี้มีมากกว่านี้เยอะ ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้มีโอกาสที่เศรษฐกิจจะเติบโตเพียงแค่ 0.3% คือต่ำมาก ถ้าดูครึ่งปีนี้และครึ่งปีหน้าในปี 2569 อาจจะโตรวมกันได้ประมาณ 1% สัญญาณข้างหน้าที่อันตรายแบบนี้รัฐบาลจำเป็นต้องเตรียมมาตรการต่าง ๆ มารับมือ ไม่เช่นนั้นสถานการณ์ข้างหน้าภายใต้งบประมาณที่จำกัดเงินก็เอาไปใช้กระตุ้นระยะสั้นแล้ว ก็จะเป็นความยากของเศรษฐกิจไทย

นายสิทธิพล กล่าวอีกว่า พรรคประชาชนทยอยทำนโยบายเรื่องเศรษฐกิจมาโดยตลอด และเชื่อว่านโยบายของพรรคประชาชนที่เตรียมไว้ เป็นนโยบายที่ตอบโจทย์เป็นนโยบายที่ตอบโจทย์ระยะสั้นและระยะยาวมีวิธีการทำอย่างชัดเจน 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top