วันอังคาร ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2568
สรุปมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประจำวันที่ 21 ตุลาคม 2568

สรุปมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประจำวันที่ 21 ตุลาคม 2568

วันอังคาร ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 19.09 น.

วันนี้ 21 ตุลาคม 2568 เวลา 10.00 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้

กฎหมาย


1. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยอันเกิดจากการสู้รบบริเวณชายแดน พ.ศ. ....

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยอันเกิดจากการสู้รบบริเวณชายแดน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ รวมทั้งให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย

                   สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวงฯ

                   ร่างกฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยฯ ที่กระทรวงแรงงานเสนอ เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยอันเกิดจากการสู้รบบริเวณชายแดน ซึ่งเดิมการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยจะเป็นไปตามกฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัย พ.ศ. 2560 ซึ่งได้กำหนดไว้เพียงกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยอันเกิดเฉพาะจากภัยธรรมชาติ อาทิ อัคคีภัย วาตภัย อุทกภัย หรือธรณีพิบัติภัย ร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้จึงได้มีการกำหนดเพิ่มเติมบทนิยามคำว่าเหตุสุดวิสัยให้ครอบคลุมถึงภัยอันเกิดจากการสู้รบบริเวณชายแดนซึ่งมีผลกระทบต่อสาธารณชน และถึงขนาดที่ผู้ประกันตนไม่สามารถทำงานได้หรือนายจ้างไม่สามารถประกอบกิจการได้ตามปกติ เพื่อให้การคุ้มครองของประกันสังคมครอบคลุมถึงภัยจากการสู้รบหรือความไม่สงบที่เกิดจากการกระทำของบุคคล ซึ่งจะทำให้ลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนที่ไม่สามารถไปทำงานหรือสถานประกอบการต้องปิดชั่วคราวเพื่ออพยพไปพื้นที่ปลอดภัยซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยอันเกิดจากการสู้รบบริเวณชายแดนโดยได้กำหนดให้ลูกจ้างในกรณีดังกล่าวมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนเช่นเดียวกับเหตุสุดวิสัยที่กำหนดไว้ในปัจจุบัน คือ ในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างรายวัน โดยให้ได้รับตลอดระยะเวลาที่ไม่ได้ทำงานหรือนายจ้างไม่ให้ทำงาน หรือที่นายจ้างต้องหยุดประกอบกิจการ แล้วแต่กรณี แต่รวมกันไม่เกิน 180 วันและในการจ่ายประโยชน์ทดแทนให้จ่ายเป็นรายเดือนสำหรับเศษของเดือนให้คำนวณเป็นรายวันและให้หยุดจ่ายเมื่อผู้ประกันตนลาออก ถูกเลิกจ้าง หรือสิ้นสุดสัญญาจ้าง นอกจากนี้ ได้กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานโดยคำแนะนำของคณะกรรมการประกันสังคมประกาศกำหนดพื้นที่และระยะเวลาการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัย และได้กำหนดให้ร่างกฎกระทรวงมีผลใช้บังคับย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ทั้งนี้ การเสนอร่างกฎกระทรวงดังกล่าวกระทรวงแรงงานได้จัดทำรายละเอียดข้อมูลที่หน่วยงานของรัฐต้องเสนอพร้อมกับการขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีตามมาตรา 7 และมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ด้วยแล้ว โดยมีการคาดการณ์ว่าจะมีจำนวนผู้มาใช้สิทธิประมาณ 2,435 คน คิดเป็นเงินสิทธิประโยชน์ที่จะจ่ายให้ในกรณีว่างงานเนื่องจากเหตุสุดวิสัย อันเกิดจากการสู้รบบริเวณชายแดนมีจำนวนประมาณ 23.4 ล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนที่ไม่สูงเมื่อเทียบกับเงินกองทุนกรณีว่างงานที่มีเงินลงทุนสะสมรวมประมาณ 188,797 ล้านบาท ดังนั้น ในภาพรวมของการจ่ายสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานในคราวนี้ จึงไม่มีผลทำให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายกับเงินกองทุนประกันสังคมกรณีว่างงานอย่างมีนัยสำคัญ

                   ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแล้วเห็นชอบด้วยกับร่างกฎกระทรวงดังกล่าว เช่น
สำนักงบประมาณเห็นว่า สมควรที่กระทรวงแรงงานจะประชาสัมพันธ์และสร้างความรับรู้และความเข้าใจให้ผู้เกี่ยวข้องทราบอย่างทั่วถึง วางแผนการดำเนินการทางการเงินของกองทุนประกันสังคมทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสภาพคล่องและเสถียรภาพของกองทุนประกันสังคม รวมถึงภาระการเงินการคลังที่อาจเกิดขึ้นแก่รัฐในอนาคต ตามนัยของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561

 

2. เรื่อง ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการคุ้มครองพระพุทธศาสนา พ.ศ. ….

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการคุ้มครองพระพุทธศาสนา พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เสนอ

                   สาระสำคัญของเรื่อง

                   สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) พิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อให้การคุ้มครองพระพุทธศาสนาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดผลสัมฤทธิ์ สอดคล้องกับแนวนโยบายแห่งรัฐและแนวนโยบายของรัฐบาล จึงได้เสนอร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการคุ้มครองพระพุทธศาสนา พ.ศ. .... มาเพื่อดำเนินการ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้

ประเด็น

รายละเอียด

1. บทนิยาม

 

• “หน่วยงานของรัฐ” หมายความว่า ส่วนราชการ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐ

• “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” หมายความว่า ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้างหรือผู้ปฏิบัติงานอื่นในหน่วยงานของรัฐ

2. คณะกรรมการคุ้มครอง

พระพุทธศาสนาแห่งชาติ (คพช.)

 

กำหนดให้มี คพช. คณะหนึ่ง ประกอบด้วย

  1) ประธานกรรมการซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งโดยพระสังฆราชานุมัติด้วยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม

  2) กรรมการโดยตำแหน่งจำนวน 6 คน ได้แก่ ปลัดกระทรวงมหาดไทยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

  3) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านพระพุทธศาสนาและด้านอื่น ๆ จำนวนไม่เกิน
9 คน ซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้ง ด้วยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม

  4) ผู้อำนวยการ พศ. เป็นกรรมการและเลขานุการ

      ผู้อำนวยการ พศ. อาจมอบหมายให้ข้าราชการของ พศ. เป็นผู้ช่วยเลขานุการ คพช. ได้ตามจำนวนที่เหมาะสม

     กรรมการโดยตำแหน่งผู้ใดที่ไม่ใช่พุทธศาสนิก อาจมอบหมายให้ข้าราชการในสังกัดระดับรองลงไปทำหน้าที่กรรมการแทนได้

วาระการดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
มีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 3 ปี นับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้ง ซึ่งอาจ
ได้รับแต่งตั้งอีกได้ และพ้นจากตำแหน่ง อาทิ ตาย ลาออกและนายกรัฐมนตรี
ให้ออกเพราะบกพร่องต่อหน้าที่ มีความประพฤติเสื่อมเสีย หรือหย่อนความสามารถ

หน้าที่และอำนาจของ คพช. เช่น

   1) กำหนดมาตรการและกลไกที่เหมาะสมเพื่อการคุ้มครองพระพุทธศาสนา ให้เป็นไปตามกฎหมาย มติคณะรัฐมนตรี พระธรรมวินัยกฎ ข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง ประกาศ มติของมหาเถรสมาคม หรือตามพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช และมาตรการและกลไกที่เกี่ยวข้องกับการปกครองคณะสงฆ์ซึ่งต้องได้รับพระสังฆราชานุมัติ (การอนุมัติจากสมเด็จพระสังฆราช) ด้วยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคมก่อนดำเนินการ)

   2) มอบหมาย ติดตาม และกำกับดูแลคณะอนุกรรมการคุ้มครองพระพุทธศาสนาจังหวัด และหน่วยงานของรัฐในการดำเนินการตามภารกิจหน้าที่และอำนาจ เพื่อให้มาตรการและกลไกในการคุ้มครองพระพุทธศาสนาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์

  3) ให้คำแนะนำ และคำปรึกษา ในการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของหน่วยงานของรัฐเมื่อต้องปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับกิจการพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์

  4) ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องให้ส่งเอกสาร ข้อมูล ความเห็นหรือการดำเนินการที่จำเป็น รวมทั้งร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐหรือองค์กรภาคเอกชน หรือองค์การระหว่างประเทศหรือระหว่างประเทศในการคุ้มครองพระพุทธศาสนา

  5) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานเพื่อดำเนินการตามที่ คพช. มอบหมาย

    ทั้งนี้ หากดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจแล้ว แต่ยังมีปัญหาหรืออุปสรรคขัดข้อง ให้ คพช. รายงานสภาพปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะการแก้ไขปัญหาต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาสั่งการต่อไป

3. คณะอนุกรรมการคุ้มครองพระพุทธศาสนาจังหวัด (อ.คพจ.)

• กำหนดให้มี อ.คพจ. ในจังหวัดหนึ่ง นอกจากกรุงเทพมหานครประกอบด้วย

  1) เจ้าคณะจังหวัด และเจ้าคณะจังหวัด (ธรรมยุต) เป็นที่ปรึกษา

  2) ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธานอนุกรรมการ

  3) อนุกรรมการ ได้แก่ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด คลังจังหวัด
เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัด เจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐของจังหวัด

  4) ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด เป็นอนุกรรมการและเลขานุการผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดอาจมอบหมายให้ข้าราชการของสำนักงานเป็นผู้ช่วยเลขานุการ อ.คพจ. ได้ตามจำนวน ที่เหมาะสม อนุกรรมการโดยตำแหน่งผู้ใดที่ไม่ใช่พุทธศาสนิก อาจมอบหมายให้ข้าราชการในสังกัดระดับรองลงไปทำหน้าที่อนุกรรมการแทนได้

ภารกิจของ อ.คพจ. มีภารกิจหลัก 3 ด้าน ดังนี้

     1) สนับสนุนและอารักขาพระสังฆาธิการและพระวินยาธิการ
ในการปกครองพระภิกษุสามเณร การชำระอธิกรณ์ การลงนิคหกรรมการสอดส่องตรวจสอบอาจาระของพระภิกษุสามเณร การดำเนินการให้พระภิกษุสามเณรสละสมณเพศ ตลอดจนสอดส่องและให้คำแนะนำการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและการสื่อสารมวลชนให้เป็นไปอย่างเหมาะสม รักษาเกียรติภูมิคณะสงฆ์ และคุ้มครองภาพลักษณ์สถาบันพระพุทธศาสนา
     2) จัดทำทะเบียน และบูรณาการการจัดการศาสนสมบัติ วัด ที่ดินวัด ที่ธรณีสงฆ์ ที่พักสงฆ์ ศาสนสมบัติกลางและวัดร้าง ซึ่งไม่ใช่ของรัฐแต่เป็นทรัพย์สินของพระพุทธศาสนาตามกฎหมายว่าด้วยคณะสงฆ์ตลอดจนกำกับและตรวจสอบการงบประมาณ นิตยภัต การบัญชีและการเงินของวัด โรงเรียนพระปริยัติธรรม สำนักเรียน และสำนักศาสนศึกษาและปรับปรุงให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ

     3) ตรวจสอบสถานภาพและประวัติพระภิกษุสามเณร ตลอดจน จัดทำข้อมูลในระบบและฐานข้อมูลตามนโยบายและแนวทาง ที่สำนักงานกำหนด

หน้าที่และอำนาจของ อ.คพจ. เช่น

     1) ปฏิบัติการ แก้ไขปัญหา สนับสนุน อารักขา และจัดทำข้อสรุปการดำเนินการที่เหมาะสม ในการชำระอธิกรณ์ การลงนิคหกรรมการสอดส่องตรวจสอบอาจาระของพระภิกษุสามเณร และการดำเนินการให้พระภิกษุสามเณรสละสมณเพศ เพื่อถวายเจ้าคณะจังหวัด ให้ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจการปกครองระดับจังหวัดให้เป็นที่ยุติโดยเร็ว แล้วแต่กรณี
     2) ปฏิบัติหน้าที่ในการคุ้มครองพระพุทธศาสนาในจังหวัดให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์

     3) ติดตาม ให้คำแนะนำ และคำปรึกษา ในการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของหน่วยงานของรัฐในจังหวัด เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นไปโดยรอบคอบ

     4) ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องในจังหวัด ให้ส่งเอกสาร ข้อมูล ความเห็นหรือการดำเนินการที่จำเป็น รวมทั้งร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐหรือองค์กรภาคเอกชนในจังหวัด ในการคุ้มครองพระพุทธศาสนาตามนโยบาย คพช.

  ทั้งนี้ หากดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจแล้ว แต่ยังมีปัญหาหรือ อุปสรรคขัดข้องให้ อ.คพจ. รายงานสภาพปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะการแก้ไขปัญหาต่อ คพช. เพื่อพิจารณาสั่งการต่อไป

4. คณะวินัยธรกลาง และ

คณะธรรมธรกลาง

1. กำหนดให้มีคณะวินัยธรกลาง ประกอบด้วย พระภิกษุผู้ทรงภูมิในพระวินัย จำนวนไม่เกิน 10 รูป ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชมีพระบัญชาแต่งตั้งโดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม โดยมีหน้าที่และอำนาจ เช่น

     1.1 พิจารณาและวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับพระวินัย ที่มีข้อโต้แย้งการตีความพระวินัยและการบังคับใช้ หรือในกรณีมีข้อความเห็นแตกต่าง
กันระหว่างพระสังฆาธิการผู้มีอำนาจสอบสวนและวินิจฉัยอธิกรณ์ซึ่งได้ดำเนินการตามกฎมหาเถรสมาคม และคณะพระสังฆาธิการนั้นได้ร้องขอให้พิจารณาวินิจฉัย

     1.2 พิจารณาและวินิจฉัยปัญหาที่ปรากฏขึ้นแก่คณะวินัยธรกลางและคณะวินัยธรกลางเห็นว่าเป็นปัญหาสำคัญอันควรมีข้อยุติที่ต้องถือปฏิบัติโดยคณะสงฆ์

2. กำหนดให้มีคณะธรรมธรกลาง ประกอบด้วยพระภิกษุผู้ทรงภูมิในพระธรรม จำนวนไม่เกิน 10 รูป ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชมีพระบัญชาแต่งตั้งโดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม โดยมีหน้าที่และอำนาจ เช่น

     2.1 พิจารณาและวินิจฉัยปัญหาในลักษณะสัทธรรมปฏิรูปเกี่ยวกับพระธรรมคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และปัญหาทางพระพุทธศาสนาเถรวาทแบบคณะสงฆ์ไทย ตามที่พระสังฆาธิการ ตั้งแต่เจ้าคณะภาคขึ้นไปร้องขอให้พิจารณาวินิจฉัย

     2.2 พิจารณาและวินิจฉัยปัญหาที่ปรากฏขึ้นแก่คณะธรรมธรกลางและคณะธรรมธรกลางเห็นว่าเป็นปัญหาสำคัญอันควรมีข้อยุติที่ต้องถือปฏิบัติโดยคณะสงฆ์

5. อื่นๆ

 

กำหนดให้ พศ. ปฏิบัติหน้าที่เป็นหน่วยธุรการของ คพช. คณะวินัยธรกลางและคณะธรรมธรกลาง และให้มีหน้าที่และอำนาจ ดังต่อไปนี้

     1) สนับสนุนงานทางวิชาการและงานธุรการแก่ คพช.

     2) ประสานงานกับหน่วยงานของรัฐหรือเอกชนเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ของ คพช.

     3) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่ คพช. มอบหมาย

กำหนดให้ผู้อำนวยการ พศ. ติดตามการดำเนินงานและเฝ้าระวังสถานการณ์ด้านพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พระพุทธศาสนาจังหวัดและกิจการคณะสงฆ์ อย่างใกล้ชิดและสม่ำเสมอ เพื่อบริหารสถานการณ์

ให้เป็นไปโดยเรียบร้อยและรวดเร็ว และให้ผู้อำนวยการ พศ. จัดทำรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปีของ คพช. ในภาพรวมเสนอต่อคณะรัฐมนตรีภายในเดือนธันวาคมของทุกปี แล้วเผยแพร่ต่อสาธารณะ

การดำเนินการด้านข้อมูลและการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับกิจการพระพุทธศาสนา และคณะสงฆ์ โดยหน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐคพช. และ อ.คพจ. ต้องดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารราชการ การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หลักสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยอย่างเคร่งครัด

                   ในการประชุมมหาเถรสมาคม ครั้งที่ 26/2568 เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2568 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบร่างระเบียบ และมอบให้ พศ. นำร่างระเบียบ ๆ ไปปรับปรุงโดยเพิ่มเติมสาระในองค์ประกอบ อ.คพจ. โดยให้มีเจ้าคณะจังหวัด ทั้งสองนิกายเป็นที่ปรึกษา อ.คพจ. ซึ่ง พศ. ได้ปรับแก้ตามข้อสังเกตของมหาเถรสมาคมเรียบร้อยแล้ว

 

เศรษฐกิจ-สังคม

3. เรื่อง มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ

                   คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ ดังนี้

                   1. เห็นชอบในหลักการของมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวและร่างกฎกระทรวง
(ฉบับที่ ..) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร จำนวน 1 ฉบับ

                   2. เห็นชอบในหลักการของมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายด้านการฝึกอบรม ประชุม สัมมนาประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 (Front Load) และการกำหนดให้การขับเคลื่อนมาตรการดังกล่าวเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดผลการปฏิบัติราชการ (Key Performance Indicator: KPI) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ของหัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ (เฉพาะรัฐวิสาหกิจที่ดำเนินงานตามปีงบประมาณ) และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) โดยให้รายงานผลการเบิกจ่ายดังกล่าวต่อคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ พร้อมทั้งมอบหมายให้ กค. โดยกรมบัญชีกลางพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของอัตรา ค่าเช่าที่พักและค่าอาหารสำหรับการจัดฝึกอบรมในประเทศให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันต่อไป

                   3. เห็นชอบในหลักการของมาตรการขยายระยะเวลาการปรับลดอัตราภาษีสำหรับกิจการบันเทิงหรือหย่อนใจ ประเภทที่ 17.01 และร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... จำนวน
1 ฉบับ พร้อมนี้ขอความร่วมมือกรมการปกครองให้นำผู้ประกอบการมาจดทะเบียนสถานประกอบการเพื่อขยายฐานภาษีสรรพสามิตต่อไป

                   4. เห็นชอบในหลักการของมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโรงแรมที่พัก และร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่..) พ.ศ. .... จำนวน 1 ฉบับ

                   5. รับทราบการดำเนินโครงการสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการโรงแรมของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ

 

                   เรื่องเดิม

                   1. เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 นายกรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา ซึ่งครอบคลุมนโยบายด้านเศรษฐกิจสำคัญที่จะฟื้นความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยว โดยการจัดทำมาตรการกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวไทยหันกลับมาเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปี 2568 โดยให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวเมืองรอง รวมทั้งการจูงใจให้ภาคเอกชนปรับปรุงโรงแรมที่พักและแหล่งท่องเที่ยวผ่านกลไกภาษี การดึงดูดชาวต่างชาติให้พำนักในประเทศไทยระยะยาวและเพิ่มการใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวมากขึ้น

                   2. เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2568 นายกรัฐมนตรีได้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (คณะกรรมการฯ) เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจที่ได้แถลงต่อรัฐสภา โดยมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ รองนายกรัฐมนตรี (นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ) เป็นรองประธานกรรมการ และมีเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเป็นกรรมการและเลขานุการ และมีผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังและรองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ได้รับมอบหมายจากเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ โดยมีหน้าที่และอำนาจในการพิจารณากลั่นกรองเรื่องสำคัญในปัญหาที่เกี่ยวข้องหรือมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม รวมทั้งประเด็นด้านการเงิน การคลัง การภาษีอากร การค้าการลงทุน การท่องเที่ยวและประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องตามที่คณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีมอบหมายก่อนที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรี ตลอดจนประเมิน วิเคราะห์และเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางตัดสินใจเชิงรุกที่เกี่ยวข้องเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี

                   3. กค. จึงเสนอมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศต่อคณะกรรมการฯ ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยวภายในประเทศในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 และสร้างแรงส่งทางเศรษฐกิจไปยังปี 2569

                   สาระสำคัญของเรื่อง

                                1. การท่องเที่ยวภายในประเทศมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจสูง โดยการท่องเที่ยวภายในประเทศของคนไทยถูกนับรวมอยู่ในการบริโภคภาคเอกชน ซึ่งถูกจัดอยู่ในหมวดสาขาร้านอาหารและที่พักแรม โดยข้อมูลของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระบุว่าในปี 2567 มีมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ขจัดผลของเงินเฟ้อออกไปแล้วอยู่ที่ 1.58 ล้านล้านบาท หรือ คิดเป็นร้อยละ 24 ของการบริโภคภาคเอกชน และคิดเป็นร้อยละ 14 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) ที่ขจัดผลของเงินเฟ้อออกไปแล้ว (Real GDP)

                   2. จากข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพบว่า ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2567 จำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทยขยายตัวได้ถึงร้อยละ 8.4 ต่อปี ในขณะที่ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทยหดตัวอยู่ที่ร้อยละ 2.7 ต่อปี

                   3. นอกจากนี้ หากพิจารณาจำนวนผู้ประกอบการเกี่ยวกับที่พักแรมจะพบว่าร้อยละ 45 ตั้งอยู่ในจังหวัดเมืองรอง และข้อมูลของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมพบว่า ผู้ประกอบการเกี่ยวกับที่พักแรมทั่วประเทศมีจำนวน 42,227 ราย ซึ่งในจำนวนดังกล่าวเป็นผู้ประกอบการที่อยู่ในจังหวัดเมืองรอง 55 จังหวัด จำนวน 19,033 รายหรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 45 ซึ่งในจำนวนนี้กว่าร้อยละ 80 เป็นผู้ประกอบการรายย่อยที่มีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากและการจ้างงานในจังหวัดเมืองรอง

                   4. กค. จึงพิจารณาจัดทำมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศประกอบด้วย 4 มาตรการย่อย ได้แก่ (1) มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวเมืองรอง (2) มาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายด้านการฝึกอบรม ประชุม สัมมนา (Front Load) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 (3) มาตรการขยายระยะเวลาการปรับลดอัตราภาษี สำหรับกิจการบันเทิงหรือหย่อนใจ ประเภทที่ 17.01 และ (4) มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโรงแรมที่พัก มีรายละเอียดที่สำคัญ ดังนี้

                             4.1 มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว

ประเด็น

 

รายละเอียด

1. วัตถุประสงค์

เพื่อช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจภายในประเทศและสนับสนุนห่วงโซ่อุปทานด้านการท่องเที่ยว อีกทั้งสนับสนุนการบริโภคและส่งเสริมการจ้างงานในพื้นที่

2. กลุ่มเป้าหมาย

 

ผู้มีเงินได้ แต่ไม่รวมถึงห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล

 

3. ระยะเวลาดำเนินการ

ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม - 15 ธันวาคม 2568

 

4. วิธีดำเนินการ

 

    (1) กค. ดำเนินการออกกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร จำนวน 1 ฉบับ
    (2) อธิบดีกรมสรรพากรออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขของสิทธิประโยชน์ทางภาษี

5. สิทธิประโยชน์

    (1) ให้ผู้มีเงินได้ แต่ไม่รวมถึงห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลนำค่าที่พัก และค่าบริการของร้านอาหารที่จ่ายให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม - 15 ธันวาคม 2568 ในการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศมาหักลดหย่อนตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 20,000 บาท โดย
(1.1) การหักลดหย่อน 10,000 บาทแรกสามารถใช้ใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป ทั้งที่อยู่ในรูปแบบกระดาษและรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) ได้ และ
(1.2) การหักลดหย่อนเพิ่มเติมอีกไม่เกิน 10,000 บาท (ส่วนที่เกิน 10,000 บาทแรก) ให้ใช้ได้เฉพาะใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปที่อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice)

      ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด

    (2) กำหนดสิทธิประโยชน์ทางภาษีในการหักค่าใช้จ่ายได้ ดังนี้

        (2.1) ลดหย่อนได้ 1.5 เท่าของค่าที่พักและค่าบริการของร้านอาหารตามที่จ่ายจริงในจังหวัดท่องเที่ยวรอง จำนวน 55 จังหวัด และพื้นที่บางอำเภอในจังหวัด 15 จังหวัด ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร1

        (2.2) ลดหย่อนได้ 1.0 เท่าของค่าที่พักและค่าบริการของร้านอาหารตามที่จ่ายจริงในจังหวัดอื่นนอกจากจังหวัดท่องเที่ยวรอง

 

                    4.2 มาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายด้านการฝึกอบรม ประชุม สัมมนาประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 (Front Load)

 

ประเด็น

รายละเอียด

1. วัตถุประสงค์

เพื่อให้มีการเร่งรัดการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายด้านการฝึกอบรม ประชุม สัมมนาประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2569

2. กลุ่มเป้าหมาย

ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และ อปท.

3. ระยะเวลาดำเนินการ

เดือนตุลาคม 2568 - เดือนมกราคม 2569

4. วิธีดำเนินการ

      (1) ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และ อปท. เร่งรัดการเบิกค่าใช้จ่ายด้านการฝึกอบรม ประชุม สัมมนาประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ในส่วนของการพัฒนาบุคลากรของหน่วยงานไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 ของวงเงินฝึกอบรม ประชุม สัมมนา ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2568 - เดือนมกราคม 2569 โดยให้พิจารณาดำเนินการในเมืองท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยเฉพาะจังหวัดท่องเที่ยวรองเป็นลำดับแรก

      (2) กำหนดให้การขับเคลื่อนมาตรการดังกล่าวเป็นหนึ่งในตัวชี้วัด
ผลการปฏิบัติราชการ (
Key Performance Indicator: KPI) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ของหัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ (เฉพาะรัฐวิสาหกิจที่ดำเนินงานตามปีงบประมาณ) และ อปท. โดยให้รายงานผล
การเบิกจ่ายดังกล่าวต่อคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐต่อไป

       (3) มอบหมายให้ กค. โดยกรมบัญชีกลาง พิจารณาความเหมาะสมของอัตราค่าเช่าที่พัก และค่าอาหารสำหรับการจัดฝึกอบรมในประเทศให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันต่อไป

                  

                   4.3 มาตรการขยายระยะเวลาการปรับลดอัตราภาษีสำหรับกิจการบันเทิงหรือหย่อนใจ ประเภทที่ 17.01 [มาตรการปรับลดอัตราภาษีสำหรับกิจการบันเทิงหรือหย่อนใจ ประเภทที่ 17.01 ในอัตราตามมูลค่าร้อยละ 5 (จากเดิมร้อยละ 10) ภายใต้กฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 40) พ.ศ. 2567 จะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2568]

ประเด็น

รายละเอียด

1. วัตถุประสงค์

เพื่อสนับสนุนนโยบายรัฐบาลและกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคท่องเที่ยวและบริการให้สอดคล้องกับนโยบายสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวของรัฐบาล

2. กลุ่มเป้าหมาย

ผู้ประกอบกิจการบันเทิงหรือหย่อนใจ ประเภทที่ 17.01 ไนต์คลับ ดิสโกเธค ผับ บาร์ ค็อกเทลเลาจน์ รวมถึงสถานที่ที่จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์โดยจัดให้มีการแสดงดนตรีหรือการแสดงอื่นใดเพื่อการบันเทิงซึ่งปิดทำการหลังเวลา 24.00 นาฬิกา

3. ระยะเวลาดำเนินการ

ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 31 ธันวาคม 2569

4. วิธีดำเนินการ

กค. ดำเนินการออกกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....

5. สิทธิประโยชน์

ทางภาษี

ขยายเวลาปรับลดอัตราภาษีตามมูลค่าจากร้อยละ 10.0 เป็นร้อยละ 5.0ออกไปอีก 1 ปี โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 31 ธันวาคม 2569สำหรับกิจการบันเทิงหรือหย่อนใจ ประเภทที่ 17.01

 

                  

                   4.4 มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโรงแรมที่พัก

ประเด็น

รายละเอียด

1. วัตถุประสงค์

เพื่อดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลที่จะเร่งฟื้นความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวโดยการจูงใจให้ภาคเอกชนปรับปรุงโรงแรมที่พักและแหล่งท่องเที่ยวผ่านกลไกภาษี

2. กลุ่มเป้าหมาย

บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจ ตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม

3. ระยะเวลาดำเนินการ

สำหรับรายจ่ายที่จ่ายไปตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2568 - วันที่ 31 มีนาคม 2569

4. วิธีดำเนินการ

กค. ดำเนินการตราพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) จำนวน 1 ฉบับ และออกประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ ..) จำนวน 1 ฉบับ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขของสิทธิประโยชน์ทางภาษี

5. สิทธิประโยชน์

ทางภาษี

ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม หักรายจ่ายการต่อเติม เปลี่ยนแปลง ขยายออก หรือทำให้ดีขึ้นซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการ แต่ไม่ใช่เป็นการซ่อมแซมให้คงสภาพเดิม
ได้ 2 เท่าโดยยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับเงินได้เป็นจำนวน ร้อยละ 100 ของรายจ่ายดังกล่าวตามจำนวนที่จ่ายจริง
สำหรับทรัพย์สิน ดังนี้ (1) อาคารถาวรที่มีไว้ใช้ในการประกอบกิจการโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม และ
(2) เครื่องตกแต่งหรือเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นส่วนประกอบและยึดติดกับอาคาร
ตาม (1) เป็นการถาวร ทั้งนี้ ให้ใช้สิทธิตามส่วนเฉลี่ยเป็นจำนวนเท่ากันของจำนวนเงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 20 รอบระยะเวลาบัญชีต่อเนื่องกัน (ทยอยหักรายจ่ายเท่าที่ 2 เป็นระยะเวลา 20 ปี ซึ่งเป็นระยะเวลาของการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินที่เป็นอาคารถาวร)

 

                   5. โครงการสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบกิจการโรงแรม สถาบันการเงินเฉพาะกิจ ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ได้จัดทำโครงการสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบกิจการโรงแรมที่ต้องการแหล่งเงินทุนเสริมสภาพคล่อง โดย กค. อยู่ระหว่างพิจารณา เสนอโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) GSB พลิกฟื้นธุรกิจไทยของธนาคารออมสิน วงเงินโครงการรวม 100,000 ล้านบาท ซึ่งได้แบ่งวงเงิน จำนวน 10,000 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูและปรับปรุงธุรกิจท่องเที่ยว (Renovation) รวมถึง Supply Chain ด้วยแล้ว นอกจากนี้ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม จัดทำโครงการค้ำประกันสินเชื่อให้กับผู้ประกอบกิจการ ดังกล่าว เพื่อปรับปรุงสถานประกอบการ โรงแรมที่พัก และดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้อง

                   6. กค. ได้จัดทำประมาณการสูญเสียรายได้และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ตามมาตรา 27 และมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ด้วยแล้ว โดยคาดการณ์ว่ามาตรการข้างต้นจะทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้ จำนวน 5,439.55 ล้านบาท

                   ทั้งนี้ กค. คาดการณ์ว่ามาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศจะช่วยให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวไปยังจังหวัดท่องเที่ยวรองมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการที่มีความเชื่อมโยงกับธุรกิจท่องเที่ยวมีรายได้เพิ่มขึ้น จ้างงานเพิ่มขึ้น รายได้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น ช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุนและการจ้างงานต่อไปในอนาคต ทั้งนี้ การดำเนินมาตรการดังกล่าว คาดว่าจะช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจ ปี 2568 ขยายตัวเพิ่มขึ้นช่วงร้อยละ 0.04 – 0.05 เมื่อเทียบกับกรณีที่ไม่มีการดำเนินมาตรการ และปี 2569 ขยายตัวเพิ่มขึ้นช่วงร้อยละ 0.03 – 0.04 เมื่อเทียบกับกรณีที่ไม่มีการดำเนินมาตรการ

__________________________

1 อ้างอิงจากประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 456) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข
การยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้ที่ได้จ่ายไปในการเดินทางท่องเที่ยวหรือการจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศ และกำหนดเขตพื้นที่เพิ่มเติมจากจังหวัด ท่องเที่ยวรอง ประกาศ ณ วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 โดยพื้นที่บางอำเภอในจังหวัดท่องเที่ยวหลัก เช่น อำเภอเขาพนม อำเภอปลายพระยา และอำเภอลำทับ ในจังหวัดกระบี่ อำเภอบ้านบึง อำเภอพนัสนิคม อำเภอพานทอง และอำเภอหนองใหญ่ ในจังหวัดชลบุรี และอำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ อำเภอกุยบุรี อำเภอทับสะแก อำเภอบางสะพาน และอำเภอบางสะพานน้อยในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์

 

4. เรื่อง มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศ

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ ดังนี้

                   1. เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศ

                   2. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .....

                   สาระสำคัญของเรื่อง

                   1. คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (คณะกรรมการฯ) ในคราวประชุมครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2568 ซึ่งมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการรองนายกรัฐมนตรี (นายเอกนิติฯ) เป็นรองประธานกรรมการ ได้มีมติเห็นชอบในหลักการของมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศตามที่ กค. เสนอ ซึ่งประกอบด้วย 4 มาตรการย่อย ได้แก่ 1) มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว  2) มาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายด้านการฝึกอบรม ประชุม สัมมนา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 (Front Load) 3)  มาตรการขยายระยะเวลาการปรับลดอัตราภาษีสำหรับกิจการบันเทิงหรือหย่อนใจ ประเภทที่ 17.01 และ 4) มาตรการภาษี เพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโรงแรมที่พัก ทั้งนี้ ที่ประชุมควรให้มีการดำเนินมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศ ในส่วนของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเพิ่มเติม เพื่อส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามา
มีส่วนร่วมในการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ

                   2. กค. พิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อเป็นการเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยวภายในประเทศในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 และดำเนินการตามคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภาในด้านนโยบายเศรษฐกิจสำคัญเพื่อฟื้นความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยว  โดยการจัดทำมาตรการกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวไทยหันกลับมาเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปี 2568 จึงเห็นควรเสนอมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศ  (สำหรับนิติบุคคล)  พร้อมทั้งได้ยกร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ... มาพร้อมกันด้วย เพื่อจะได้เริ่มดำเนินการพร้อมกับมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวตามข้อ 1. โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้

                   มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศ (สำหรับนิติบุคคล)

ประเด็น

รายละเอียด

1. วัตถุประสงค์

Ÿ เพื่อส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทในการกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจภายในประเทศและสนับสนุนห่วงโซ่อุปทานด้านการท่องเที่ยว รวมทั้งสนับสนุนการบริโภคและส่งเสริมการจ้างงานในพื้นที่

2. กลุ่มเป้าหมาย

Ÿบริษัทและห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล

3. ระยะเวลาดำเนินการ

Ÿ ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2568  ถึงวันที่ 15 ธันวาคม 2568

4. วิธีการดำเนินการ

Ÿ ตราพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....

Ÿ ออกประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ ..) กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี

5. สิทธิประโยชน์ทางภาษี

Ÿ ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสำหรับเงินที่ได้จ่ายไปเป็นค่าห้องสัมมนา ค่าห้องพัก ค่าขนส่ง หรือรายจ่ายอื่น
ที่เกี่ยวข้องในการอบรมสัมมนา
ภายในประเทศที่จัดขึ้นให้แก่ลูกจ้าง
และค่าบริการของผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจ
นำเที่ยวและมัคคุเทศก์เพื่อการอบรมสัมมนาดังกล่าว  ที่จ่ายไปตั้งแต่วันที่
 29 ตุลาคม 2568 ถึงวันที่ 15 ธันวาคม 2568 โดยจะต้องจ่ายให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและได้รับใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป
ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice)  เว้นแต่ค่าขนส่งจะจ่ายให้แก่ผู้ที่มิใช่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มก็ได้ ซึ่งถ้าจ่ายให้แก่ผู้ที่มิใช่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม จะต้องได้รับใบรับในรูปแบบ
ใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt)

Ÿ กำหนดสิทธิประโยชน์ทางภาษีในการหักค่าใช้จ่ายได้ ดังนี้

          1) หักรายจ่ายได้ 2 เท่าของรายจ่ายตามที่จ่ายจริง สำหรับการอบรมสัมมนาที่จัดในจังหวัดท่องเที่ยวรอง

          2) หักรายจ่ายได้ 1.5 เท่าของรายจ่ายตามที่จ่ายจริง สำหรับ
การอบรมสัมมนาที่ไม่ได้จัดขึ้นในจังหวัดท่องเที่ยวรอง (จังหวัดท่องเที่ยวหลัก)

          3) ให้หักรายจ่ายได้ 1.5 เท่าของรายจ่ายตามที่จ่ายจริง ในกรณี
ไม่สามารถแยกได้ว่าเกิดขึ้นในท้องที่ใด เนื่องจากการจัดอบรมสัมมนา
ครั้งหนึ่ง ๆ เกิดขึ้นในพื้นที่ต่อเนื่องกัน และให้หักรายจ่ายที่สามารถแยก
ได้ว่าเกิดขึ้นในท้องที่ใดตาม 1) หรือ 2) แล้วแต่กรณี

ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากร

กำหนด

6. พื้นที่ในการให้สิทธิประโยชน์

Ÿ จังหวัดท่องเที่ยวรอง ประกอบด้วยทั้งจังหวัดท่องเที่ยวรองตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร           (ฉบับที่ 792) พ.ศ. 2568 และอำเภอตามข้อ 10 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 456) โดยแบ่งเป็นพื้นที่ทั้งจังหวัด 55 จังหวัด และพื้นที่บางอำเภอในจังหวัด 15 จังหวัด

Ÿ จังหวัดพื้นที่อื่นนอกจากจังหวัดท่องเที่ยวรอง เช่น จังหวัดภูเก็ต
จังหวัดชลบุรี กรุงเทพมหานคร

                   3. กค. ได้จัดทำประมาณการการสูญเสียรายได้และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ตามมาตรา 27 และมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561  แล้ว โดยคาดว่า จะมีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลใช้สิทธิประมาณ 1,500 ราย โดยมีจำนวนเงินรวมประมาณ 315 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ภาษีเงินได้นิติบุคคลประมาณ 63 ล้านบาท

 

5. เรื่อง มาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ (มาตรการฯ) เพื่อให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติและใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานครอบคลุมทั้งเงินงบประมาณและเงินนอกงบประมาณให้สอดคล้องกับเป้าหมายในภาพรวมของประเทศตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ

                   สาระสำคัญ

                   1. ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 มีงบประมาณที่หน่วยงานของรัฐจะต้องดำเนินงาน รวมจำนวนทั้งสิ้น 4,101,596.41 ล้านบาท ดังนี้

 

รายการ

งบประมาณ (ล้านบาท)

1.1 งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569

3,780,600.00

      - รายจ่ายประจำ

      - รายจ่ายลงทุน

2,918,863.71

861,736.29

 

1.2 เงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568

320,996.41

รวม

4,101,596.41

 

ประกอบกับในปัจจุบันสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันชะลอตัวลง ภาครัฐจึงต้อง มีบทบาทสำคัญในการช่วยลดผลกระทบจากปัจจัยภายนอกผ่านการกระตุ้นการลงทุน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจและสนับสนุนเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2568 และปี 2569 รวมถึงเป็นแนวทางให้หน่วยรับงบประมาณดำเนินการให้สอดคล้องกับเป้าหมายในภาพรวมของประเทศ

                   2. กค. จึงเห็นควรให้ปรับเป้าหมายการใช้จ่ายและการเบิกจ่ายเพื่อให้มีเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่ 1 – 2 (Front - Loaded) รวมทั้งกำหนดแนวทางเร่งรัดให้หน่วยรับงบประมาณดำเนินการให้สอดคล้องกับ Front - Loaded และให้เสนอต่อคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (คณะกรรมการฯ) เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ซึ่งคณะกรรมการฯ ในคราวประชุมครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2568 ได้มีมติเห็นชอบมาตรการฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 เพื่อมอบหมายให้หน่วยงานของรัฐใช้เป็นแนวทางดำเนินงานของเงินงบประมาณและเงินนอกงบประมาณให้สอดคล้องกับเป้าหมายในภาพรวมของประเทศ และมอบหมายให้ กค. นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว

                   3. กค. เห็นสมควรกำหนดมาตรการฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ดังนี้

                             3.1 เงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีของปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ให้หน่วยงานของรัฐเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีของปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ที่ก่อหนี้ผูกพันแล้ว ให้แล้วเสร็จภายใน
ไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 สำหรับเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีของปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ที่อยู่ระหว่างกระบวนการ จัดซื้อจัดจ้าง ให้เร่งรัดการก่อนนี้ผูกพันให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 1 และเบิกจ่ายให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

                             3.2 เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 กค. เห็นควรกำหนดเป้าหมายการเบิกจ่ายและการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ดังนี้

                                      (1) กำหนดเป้าหมายการเบิกจ่ายและการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ดังนี้

หน่วย : ร้อยละ

 รายการ

เป้าหมายทั้งปี

ไตรมาสที่ 1

ไตรมาสที่ 2

ไตรมาสที่ 3

ไตรมาสที่ 4

ใช้จ่าย

เบิกจ่าย

ใช้จ่าย

เบิกจ่าย

ใช้จ่าย

เบิกจ่าย

ใช้จ่าย

เบิกจ่าย

ใช้จ่าย

เบิกจ่าย

ภาพรวม

100

93

38

33

61

55

81

76

100

93

รายจ่ายประจำ

100

98

38

37

61

60

84

83

100

98

รายจ่ายลงทุน

100

75

36

20

59

38

69

55

100

75

 

                                      (2) กค. เห็นสมควรให้หน่วยรับงบประมาณดำเนินการเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ ดังนี้

                                                (2.1) รายจ่ายที่ต้องดำเนินการหรือเบิกจ่ายโดยสำนักงานในส่วนภูมิภาค ให้หน่วยรับงบประมาณเร่งดำเนินการส่งเงินจัดสรรต่อไปยังสำนักงานในส่วนภูมิภาค ภายใน 5 วัน
นับแต่วันที่ได้รับอนุมัติเงินจัดสรร

                                                (2.2) รายจ่ายลงทุนรายการปีเดียวที่เป็นการซื้อครุภัณฑ์ให้เร่งรัดการก่อนนี้ผูกพันและการเบิกจ่ายให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 1 สำหรับรายการ ที่เป็นการจ้างให้เร่งรัดการก่อหนี้ผูกพันตั้งแต่ไตรมาสที่ 1

                                                (2.3) รายจ่ายลงทุนรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ให้เร่งรัดการก่อหนี้ผูกพันให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 2

                                                (2.4) เพื่อเร่งรัดการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างให้แล้วเสร็จโดยเร็ว คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ (คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาฯ) ได้ยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบ กค. ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 (ระเบียบ กค. ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างฯ) เพื่อลดระยะเวลาการดำเนินกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง โดยให้หน่วยรับงบประมาณปฏิบัติตามหนังสือคณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาฯ ด่วนที่สุด ที่ กค (กวจ) 0405.4/680 ลงวันที่ 8 ตุลาคม 2568 เรื่อง มาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายเงินงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ ประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2569 ทั้งนี้ ในการบริหารสัญญาให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติตามหนังสือคณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาฯ ด่วนที่สุด ที่ กค (กวจ) 0405.4/ว 681 ลงวันที่ 8 ตุลาคม 2568 เรื่อง ระยะเวลาในการตรวจรับพัสดุตามระเบียบ กค.ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างฯ

                                                (2.5) ในการเบิกจ่ายเงินให้หน่วยรับงบประมาณปฏิบัติตามระเบียบ กค. ว่าด้วยการเบิกเงินจากคลัง การรับเงิน การจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงิน และการนำเงินส่งคลัง พ.ศ. 2562 ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 5 วันทำการ นับแต่วันที่ได้ตรวจรับทรัพย์สินหรือตรวจรับงานถูกต้องแล้วหรือนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากหน่วยงานย่อยสำหรับหน่วยงานของรัฐอื่นให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กฎหมาย ระเบียบ หรือหลักเกณฑ์ของหน่วยงานของรัฐนั้นกำหนดไว้โดยเคร่งครัด

                             (3) ให้หัวหน้าหน่วยรับงบประมาณที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีกำกับดูแลบริหารจัดการเร่งรัดการดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด พร้อมทั้งรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานของงบประมาณรายจ่ายลงทุน ระบุปัญหาอุปสรรค และแนวทางแก้ไขต่อกรมบัญชีกลางภายในวันที่ 5 ของเดือนถัดไปเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป

                             (4) ให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับดูแลให้หน่วยงานของรัฐในกำกับเร่งรัดการเบิกจ่ายให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยให้นำผลการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณ และการเบิกจ่ายงบประมาณไปใช้ประกอบการพิจารณาในการประเมินผลการปฏิบัติราชการของหัวหน้าหน่วยรับงบประมาณด้วย

                             (5) ให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 โดยนำผลการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 มาพิจารณาให้สอดคล้องกับศักยภาพของหน่วยรับงบประมาณ

                   3.3 มาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ

                             (1) กำหนดเป้าหมายการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 ของกรอบงบลงทุน และขอให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจพิจารณากำหนดเป้าหมายการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจในระดับไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 เป็นตัวชี้วัดของผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจ

                             (2) ขอความร่วมมือให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงเจ้าสังกัดกำกับดูแลให้รัฐวิสาหกิจดำเนินการ ดังนี้

                                      (2.1) งบลงทุนรายการปีเดียวที่เป็นการซื้อครุภัณฑ์ให้เร่งรัดการก่อหนี้ผูกพันและการเบิกจ่ายให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 1 สำหรับรายการที่เป็นการจ้างให้เร่งรัดการก่อหนี้ผูกพันให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 1

                                      (2.2) งบลงทุนรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ ให้เร่งรัดการก่อหนี้ผูกพันให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 2

                                      (2.3) งบลงทุนที่เสนอขอใหม่ในปีบัญชี 2569 ให้เตรียมความพร้อมเพื่อให้สามารถลงนามสัญญาได้ทันทีเมื่อได้รับการจัดสรรงบประมาณ

                             (3) ให้รัฐวิสาหกิจพิจารณาเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนให้เร็วขึ้น โดยปรับเพิ่มแผนการเบิกจ่ายในช่วงไตรมาสที่ 1 – 2 ของปีบัญชี 2569 (Front - Loaded) เพื่อหลีกเลี่ยงการกระจุกตัวของการเบิกจ่ายงบลงทุนในช่วงไตรมาสสุดท้ายรวมถึงเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนโดยเฉพาะงบลงทุนที่ได้ผูกพันสัญญาไว้แล้ว และเร่งการเบิกจ่ายในส่วนของรายการนำเข้า (Import Content) เพื่อสนับสนุนความสมดุลของกลไกการนำเข้า - ส่งออก ที่ส่งผลต่อค่าเงินบาทของประเทศไทยในขณะนี้ ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจ มีความประสงค์จะปรับปรุงงบลงทุนในระหว่างปีขอให้พิจารณาดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 1 ของปีบัญชี 2569

                             (4) ให้กระทรวงเจ้าสังกัดและคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจกำกับติดตามการดำเนินงานและการเบิกจ่ายงบลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมายอย่างเคร่งครัดและให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงในการดำเนินโครงการและการเบิกจ่ายงบลงทุนด้วยโดยนำประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาไปประกอบการพิจารณา เพื่อให้การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจเป็นไปตามเป้าหมายและมีประสิทธิภาพ

                   4. การกำหนดมาตรการฯ จะทำให้หน่วยรับงบประมาณมีแนวทางในการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ รวมทั้งกระตุ้นให้หน่วยรับงบประมาณบริหารงบประมาณและเบิกจ่ายเงินได้ตามเป้าหมายที่กำหนด และสอดคล้องกับแผนการใช้จ่ายเงินของหน่วยรับงบประมาณ ซึ่งจะทำให้เม็ดเงินจากระบบงบประมาณรายจ่ายประจำปีลงสู่เศรษฐกิจรวดเร็วขึ้น

                   5. นายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้นำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบมาตรการฯ ดังกล่าวแล้ว ดังนั้น เรื่องนี้จึงเข้าลักษณะเรื่องที่เสนอคณะรัฐมนตรีได้ตามนัยมาตรา 4 (12) แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548

                   ทั้งนี้ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ขอให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงยุติธรรม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และสภากาชาดไทยเสนอความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีโดยด่วนด้วยแล้ว

 

6. เรื่อง ขอความเห็นชอบในหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 และขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ ดังนี้

                   1. เห็นชอบหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568

                   2. อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 6,169.986 ล้านบาท (งบกลางฯ ปี 2569) เพื่อจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 โดยให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เป็นหน่วยรับงบประมาณและจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยผ่านธนาคารออมสินให้เบิกจ่ายในงบเงินอุดหนุน ลักษณะเงินอุดหนุนทั่วไป รวมทั้งให้สามารถถัวจ่ายข้ามจังหวัดได้

                   สาระสำคัญ

                   1. กรมอุตุนิยมวิทยาได้ประกาศว่า ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝนเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 และได้เกิดสถานการณ์อุทกภัย ดินถล่ม น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่ง และน้ำท่วมขัง ซึ่งภัยพิบัติดังกล่าวส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน ที่อยู่อาศัย พื้นที่การเกษตร และสิ่งสาธารณประโยชน์ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมากและเป็นบริเวณกว้าง ตลอดจนส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของประชาชน ประกอบกับในคราวประชุมคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (คอภ.) ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันจันทร์ที่
6 ตุลาคม 2568 ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้มีข้อสั่งการให้ดำเนินการ ช่วยเหลือเยียวยาประชาชนเป็นการเร่งด่วน

                   2. ปภ. ได้ตรวจสอบและยืนยันจำนวนครัวเรือนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์อุทกภัยในครั้งนี้ จำนวน 685,554 ครัวเรือน โดยมีพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ/พื้นที่ประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัย/พื้นที่ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน รวม 65 จังหวัด ดังนี้

ภาค

จังหวัด

ภาคเหนือ

จำนวน 15 จังหวัด ได้แก่ กำแพงเพชร เชียงราย เชียงใหม่ ตาก น่าน พะเยา พิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ แพร่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง ลำพูน สุโขทัย อุตรดิตถ์

ภาคตะวันออก

เฉียงเหนือ

จำนวน 19 จังหวัด ได้แก่ กาฬสินธุ์ ขอนแก่น ชัยภูมิ นครพนม นครราชสีมา บึงกาฬ มหาสารคาม มุกดาหาร ยโสธร ร้อยเอ็ด เลย ศรีสะเกษ สกลนคร สุรินทร์ หนองคาย หนองบัวลำภู อำนาจเจริญ อุดรธานี อุบลราชธานี

ภาคกลาง

จำนวน 14 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี ชัยนาท นครปฐม นครสวรรค์ นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา ราชบุรี สมุทรปราการ สระบุรี สิงห์บุรี สุพรรณบุรี อ่างทอง อุทัยธานี

ภาคตะวันออก

จำนวน 8 จังหวัด ได้แก่ จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ตราด นครนายก ปราจีนบุรี ระยอง สระแก้ว

ภาคใต้

จำนวน 9 จังหวัด ได้แก่ กระบี่ ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ พังงา ภูเก็ต ยะลา ระนอง        สุราษฎร์ธานี สตูล

                   3. มท. ได้จัดทำหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้

                             3.1 หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการจ่ายเงินช่วยเหลือ เช่น

                              3.1.1 เป็นกรณีอุทกภัยที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อที่อยู่อาศัยในช่วงฤดูฝนปี 2568 ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2568 ทั้งกรณีน้ำท่วม ดินถล่ม น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่ง รวมถึงการระบายน้ำจนส่งผลกระทบทำให้ไม่สามารถดำรงชีวิตได้

                              3.1.2 เป็นที่อยู่ที่ประสบอุทกภัย ตามข้อ 3.1.1 และได้รับผลกระทบกรณีใดกรณีหนึ่ง ดังต่อไปนี้

                                                (1) ที่อยู่อาศัยประจำถูกน้ำท่วมขัง ไม่เกิน 7 วัน และทรัพย์สินได้รับความเสียหาย

                                                (2) ที่อยู่อาศัยประจำถูกน้ำท่วมขัง เกินกว่า 7 วันขึ้นไป

                              3.1.3 ต้องเป็นบ้านที่อยู่อาศัยประจำในพื้นที่ที่ได้ประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัยและหรือประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินและ (1) มีหนังสือรับรองผู้ประสบภัยที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นออกให้ตามพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 (2) ผ่านการประชาคมหมู่บ้านของแต่ละพื้นที่ประสบสาธารณภัย (3) ผ่านการตรวจสอบและยืนยันข้อมูลจากคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือ ผู้ประสบภัยพิบัติอำเภอ (ก.ช.ภ.อ.) และคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจังหวัด (ก.ช.ภ.จ.)

                             3.1.4 กรณีที่ประสบภัยหลายครั้ง ให้ได้รับความช่วยเหลือเพียงครั้งเดียว

                             3.2 อัตราการจ่ายเงินช่วยเหลือเป็นรูปแบบเหมาจ่ายอัตราเดียวครัวเรือนละ 9,000 บาท โดยให้ธนาคารออมสินจ่ายเงินให้แก่ผู้ประสบภัยที่มีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือโดยตรง ผ่านรูปแบบการโอนเงินเข้าบัญชีผ่านระบบพร้อมเพย์ (PromptPay)

ทั้งนี้ ให้จังหวัดที่ประสบภัยเร่งรัดดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องตามหลักเกณฑ์และช่วยเหลือให้แล้วเสร็จ ภายใน 90 วัน หลังจากได้รับการจัดสรรงบประมาณ

                   4. ในการดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 6,169.986 ล้านบาท

                   5. มท. แจ้งว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความเห็น เช่น

                   (1) สำนักงบประมาณ (สงป.) แจ้งว่า นายกรัฐมนตรีเห็นชอบให้ มท. ใช้จ่ายงบกลางฯ ปี 2569 รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 6,169.986 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 ตามที่ ปภ. ได้ตรวจสอบและยืนยันจำนวนครัวเรือนที่ขอรับการช่วยเหลือครั้งนี้ และ คอภ. ได้เห็นชอบในหลักการไว้แล้ว และในส่วนของเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินช่วยเหลือให้เป็นไปตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) ให้ความเห็นชอบ ตามนัยข้อ 3 (2) ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อแก้ไขหรือเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายในบางกรณี พ.ศ. 2559 (ระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอใช้งบกลางฯ) และเห็นควรให้ มท. โดย ปภ. ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ให้มีความชัดเจน ถูกต้อง ครบถ้วน ครอบคลุมพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยตามข้อเท็จจริงอย่างเคร่งครัด และไม่มีความซ้ำซ้อนอย่างรอบคอบ รวมทั้งปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องอย่างครบถ้วน

                   (2) กค. (สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง) พิจารณาแล้วเห็นว่าอัตราของเงินช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 ที่ มท. เสนอเป็นอัตราที่เหมาะสมแล้ว

                   (3) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาแล้ว เห็นควรกำชับจังหวัดที่ประสบภัยให้เร่งตรวจสอบความถูกต้องและความซ้ำซ้อนของครัวเรือนที่มีสิทธิได้รับความช่วยเหลือให้แล้วเสร็จโดยเร็วเพื่อไม่ให้เกิดความล่าช้า

 

7. เรื่อง ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา          

                   คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร (สผ.) และสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา (สว.) เสนอ และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป

                   รวมทั้ง มอบหมายให้กระทรวงแรงงานเป็นหน่วยงานหลักรับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาดังกล่าวไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณา ศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ภายใน 30 วัน นับจากวันที่ได้รับแจ้งจาก สลค. เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป

                    สาระสำคัญของเรื่อง

                   1. ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้เสนอ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมให้ความคุ้มครอง แก่แรงงานที่ทำงานกับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และหน่วยงานของรัฐให้ได้รับค่าตอบแทนการทำงาน มีวันหยุดประจำสัปดาห์ วันหยุดตามประเพณี วันหยุดพักผ่อนประจำปี วันลาป่วย วันลาคลอด วันและเวลาทำงาน เวลาพักไม่น้อยกว่ากฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน (เดิมไม่ได้กำหนดไว้ ทำให้แรงงานที่ทำงานกับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจองค์การมหาชน และหน่วยงานของรัฐ ไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน) แก้ไขเพิ่มเติมกำหนดวันลาคลอดบุตรไม่เกิน
120 วัน โดยได้รับค่าจ้างในวันทำงานตลอดระยะเวลาที่ลา แต่ไม่เกิน 60 วัน
(เดิมกำหนดวันลาคลอดบุตรไม่เกิน 98 วัน โดยได้รับค่าจ้างในวันทำงาน ตลอดระยะเวลาที่ลา แต่ไม่เกิน 45 วัน) กำหนดเพิ่มเติมให้ลูกจ้างที่ลาคลอดบุตร มีสิทธิลาต่อเนื่องเพื่อเลี้ยงดูบุตรที่เจ็บป่วยได้อีกไม่เกิน 15 วัน โดยได้รับค่าจ้างในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างสำหรับวันที่ลา (เดิมไม่ได้กำหนดไว้) และกำหนดเพิ่มเติมให้ลูกจ้างมีสิทธิลาเพื่อช่วยเหลือคู่สมรสซึ่งคลอดบุตรครรภ์หนึ่งได้ไม่เกิน 15 วัน โดยได้รับค่าจ้าง (เดิมไม่ได้กำหนดไว้) รวมถึงแก้ไขเพิ่มเติมให้อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานสามารถประกาศกำหนดหลักเกณฑ์การยื่นแบบแสดงสภาพการจ้างและสภาพการทำงานของนายจ้างซึ่งมีลูกจ้าง รวมกันตั้งแต่ 10 คน ขึ้นไปเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานตรวจแรงงาน (เดิมกำหนดให้พนักงานตรวจแรงงาน ส่งแบบตามที่อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกำหนดให้นายจ้างภายในเดือนธันวาคมของทุกปี เพื่อเป็นการลดขั้นตอนการดำเนินการของพนักงานตรวจแรงงาน) ซึ่งร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาและอยู่ระหว่างดำเนินการนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย และประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายต่อไป

                   2. คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร เห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมหลักการและเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติฯ บางประการและคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ได้มีข้อสังเกตเกี่ยวกับ ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ เช่น ให้กระทรวงการคลังดำเนินการจัดทำแบบสัญญาจ้างเหมาบริการ รูปแบบใหม่ สำนักงบประมาณควรพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้สอดคล้องกับกรอบอัตรากำลัง  สิทธิประโยชน์ของการจ้างเหมาบริการที่เพิ่มขึ้น สำนักงาน ก.พ. ควรพิจารณาการจัดกรอบอัตรากำลังให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ปัจจุบัน กรมบัญชีกลางควรพิจารณาแก้ไขปัญหาเรื่องการจ้างเหมาบริการของส่วนราชการที่จ้างงานผิดประเภทและไม่ตรงตามเจตนารมณ์ ของรูปแบบสัญญา กระทรวงแรงงานควรจัดทำคำชี้แจง สร้างความรับรู้เพื่อให้หน่วยงานของรัฐ นำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้องและตรงตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย จัดทำคำชี้แจงเพื่อประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และเข้าใจให้กับนายจ้าง ลูกจ้าง เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามกฎหมายได้ รวมทั้ง พิจารณาศึกษาการปรับขยายสิทธิให้ครอบคลุมถึงการลาของลูกจ้างเพื่อดูแลบุตรบุญธรรมการจ่ายค่าจ้างในวันลาเพื่อคลอดบุตรสำหรับลูกจ้างหญิงมีครรภ์ที่เหลืออีก 60 วัน และการจ่ายค่าจ้างสำหรับวันลาต่อเนื่องเพื่อเลี้ยงดูบุตรส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 50 ควรให้พิจารณาแก้ไขกฎหมายให้จ่ายจากกองทุนประกันสังคมเพื่อให้ลูกจ้างได้รับสิทธิอย่างครบถ้วน กระทรวงสาธารณสุขควรส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้พร้อมมีบุตรได้มีบุตรเพิ่มขึ้น และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ควรส่งเสริมให้มารดาสามารถเลี้ยงดูบุตรตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 เดือนและควรเพิ่มสวัสดิการให้กับสตรีมีครรภ์และเงินช่วยเหลือเพื่อเลี้ยงดูบุตร ตลอดจนกระทรวงมหาดไทยควรกำกับดูแลและส่งเสริมสนับสนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กมีคุณภาพมาตรฐาน และมีจำนวนเพียงพอ

 

8. เรื่อง ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต  กรณีศึกษาการกำกับดูแลและตรวจสอบโรงงานกำจัดกากอุตสาหกรรมของกรมโรงงานอุตสาหกรรม

                    คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต กรณีศึกษาการกำกับดูแลและตรวจสอบโรงงานกำจัดกากอุตสาหกรรมของกรมโรงงานอุตสาหกรรมตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) เสนอ  และให้กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง  กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข  สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติ โดยให้ อก. สรุปผลการพิจารณา/การดำเนินการ/ความเห็นในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ภายใน 30 วัน นับจากวันที่ได้รับแจ้งจาก สลค. เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป

                   สาระสำคัญของเรื่อง

                   คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) ขอให้นำข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต กรณีศึกษาการกำกับดูแลและตรวจสอบโรงงานกำจัดกากอุตสาหกรรม ของกรมโรงงานอุตสาหกรรม (ข้อเสนอแนะฯ) เสนอคณะรัฐมนตรีทราบ โดยมีข้อเสนอแนะให้หน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการ เช่น รัฐบาลควรมีมาตรการทางภาษีเพื่อสนับสนุนให้กับโรงงานที่ประกอบกิจการกำจัดกากอุตสาหกรรม รัฐบาลควรเร่งรัดและผลักดันร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลและตรวจสอบโรงงานกำจัดกากอุตสาหกรรม กรมโรงงานอุตสาหกรรมควรแก้ไขปรับปรุงวิธีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่โดยเพิ่มกระบวนการอภิปรายสาธารณะหรือการประชุมเชิงปฏิบัติการ ทั้งนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีหนังสือแจ้งกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) ตามมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ด้วยแล้ว

 

9. เรื่อง ข้อเสนอแนะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการคุมขังในสถานที่คุมขังตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ. 2566 และอนุบัญญัติที่เกี่ยวข้อง

                   คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอแนะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการคุมขังในสถานที่คุมขังตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ. 2566  และอนุบัญญัติที่เกี่ยวข้อง ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) เสนอ  และมอบหมายให้กระทรวงยุติธรรม (กรมราชทัณฑ์ ) เป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ได้ข้อยุติโดยให้ ยธ. สรุปผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการ/ความเห็นในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.)  ภายใน 30 วัน นับจากวันที่ได้รับแจ้งจาก สลค. เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป

                   สาระสำคัญของเรื่อง

                   1. คณะกรรมการป้องกันและการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.)

ขอให้นำข้อเสนอแนะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการคุมขังในสถานที่คุมขังตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ. 2566  (ระเบียบกรมราชทัณฑ์ฯ พ.ศ. 2566) และอนุบัญญัติที่เกี่ยวข้อง เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเห็นควรให้กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) (กรมราชทัณฑ์) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการเกี่ยวกับระเบียบกรมราชทัณฑ์ฯ พ.ศ. 2566 และอนุบัญญัติที่เกี่ยวข้อง ใน 2 ประเด็น คือ (1) พิจารณาว่าการดำเนินการตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ฯ พ.ศ. 2566 ต้องไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา รวมทั้งกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง และ (2) พิจารณากระบวนการออกระเบียบกรมราชทัณฑ์ฯ พ.ศ. 2566  ว่าได้ดำเนินการครบถ้วนตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้หรือไม่ รวมทั้งในการกำหนดนโยบายเกี่ยวกับการบริหารโทษและการคุมขังในสถานที่คุมขังให้มีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ กรมราชทัณฑ์ควรคำนึงถึงประเด็นต่าง ๆ  เช่น การปล่อยตัวผู้ถูกคุมขังหรือให้มีการคุมขังนอกเรือนจำต้องคำนึงถึงการสร้างสมดุลระหว่างวัตถุประสงค์ของการลงโทษกับการแก้ปัญหาคนล้นคุกด้วย

                  

10. เรื่อง มาตรการเพื่อป้องกันมิให้ภาษีที่ควรจะได้รับรั่วไหลจากการประกอบกิจการในเขตปลอดอากร

                   คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการเพื่อป้องกันมิให้ภาษีที่ควรจะได้รับรั่วไหลจากการประกอบกิจการในเขตปลอดอากร ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) เสนอ  และให้กระทรวงการคลัง (กค.) เป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงยุติธรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ได้ข้อยุติ โดยให้ กค. สรุปผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการในภาพรวมแล้วส่งให้ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.)  ภายใน 30 วัน นับจากวันที่ได้รับแจ้งจาก สลค. เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป

                   สาระสำคัญของเรื่อง

                   คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) ขอให้นำมาตรการเพื่อป้องกันมิให้ภาษีที่ควรจะได้รับรั่วไหลจากการประกอบกิจการในเขตปลอดภาษีอากรเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา เพื่อให้การป้องกันและปราบปรามทุจริตเกี่ยวกับภาษีศุลกากรมีประสิทธิภาพ โปร่งใสและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ก่อให้เกิดความน่าเชื่อถือในภาพรวมของประเทศ ป้องกันการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ ส่งเสริมการพัฒนาและบริหารประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้ามากยิ่งขึ้นในด้านต่าง ๆ และเพิ่มประสิทธิภาพในการนำเงินภาษีเข้ารัฐได้มากขึ้น โดยมีประเด็นปัญหาและข้อเสนอ เช่น (1) การใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐและความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหน้าที่กับผู้ประกอบการ เช่น ควรกำหนดมาตรการตรวจสอบผู้ประกอบการให้มีความเข้มงวดและเป็นระบบมากยิ่งขึ้น ควรมีการนำมาตรการตรวจสอบและติดตามพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ศุลกากรมาใช้ควบคู่กันโดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศทันสมัย ควรจัดตั้งหน่วยงานอิสระที่มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ศุลกากรในเขตปลอดอากรโดยเฉพาะ (2) ช่องว่างทางกฎหมายที่เปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ใช้ดุลพินิจโดยไม่มีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน เช่น ควรพัฒนาและนำและระบบปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) เทคโนโลยีการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Analytics) มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลด้านการนำเข้าและส่งออกควรกำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ ควรจัดให้มีเครื่องมือสนับสนุนด้านราคาสำหรับเจ้าหน้าที่ศุลกากรเพื่อใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาข้อเท็จจริงและความถูกต้องของราคาที่สำแดง (3) ประสิทธิภาพของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ใช้ติดตามการขนส่งสินค้าในเขตปลอดอากร เช่น ควรมีการพัฒนาและนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ในการบันทึกข้อมูลศุลกากรอย่างเป็นระบบ ควรมีการนำระบบติดตามสินค้าแบบเรียลไทม์มาใช้ในการติดตามตำแหน่งและสภาพของสินค้าแบบเรียลไทม์กรณีที่พบความผิดปกติในการขนส่งสินค้าควรมีการนำเทคโนโลยีสำหรับการควบคุมและติดตามยานพาหนะและตู้คอนเทนเนอร์ที่ใช้ในการขนส่งสินค้ามาใช้ในเขตปลอดอากร (4) การขาดแคลนบุคลากรและกำลังเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอในการกำกับดูแลเขตปลอดอากร โดยควรมีการนำเทคโนโลยีมาช่วยเสริมศักยภาพและลดภาระงานของเจ้าหน้าที่

 

11. เรื่อง  แจ้งผลการวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดิน (กรณีการไม่ออกใบอนุญาตผลิตสุราแช่ชนิดเบียร์)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดิน (ผผ.) (กรณีการไม่ออกใบอนุญาตผลิตสุราแช่ชนิดเบียร์) ตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน (ผผ.) เสนอ และให้กระทรวงการคลัง (กค.) เป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์  กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน)  และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติ โดยให้ กค. สรุปผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการ/ความเห็นในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ภายใน 30 วัน นับจากวันที่ได้รับแจ้งจาก สลค. เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป

                   สาระสำคัญของเรื่อง

                   ผู้ตรวจการแผ่นดิน (ผผ.) ได้เสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบและพิจารณาผลการวินิจฉัยของ ผผ. กรณีกระทรวงการคลัง (กค.)โดยกรมสรรพสามิตไม่ออกใบอนุญาตผลิตสุราแช่ชนิดเบียร์ให้กับบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง (ผู้ร้องเรียน) โดยมีข้อเสนอแนะ เช่น (1) ให้มีการพิจารณาทบทวนแนวทางการพิจารณากฎกระทรวงการผลิตสุรา พ.ศ. 2565 ให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 มาตรา 153 โดยไม่กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่อาจเป็นการเลือกปฏิบัติหรือผูกขาดทางเศรษฐกิจโดยไม่เป็นธรรมหรือสร้างภาระเกินสมควร (2) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำมาตรการสนับสนุนประชาชนฐานรากให้เข้าถึงแหล่งทุนและตลาดอย่างเป็นธรรมเพื่อส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนเบียร์  (3) ให้รัฐบาลแต่งตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาที่ชัดเจน โปร่งใส และเป็นธรรม

 

ต่างประเทศ

12. เรื่อง ร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างรัฐบาลของรัฐสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับรัฐบาลนิวซีแลนด์ และร่างพิธีสาร 1 แนบท้ายความตกลงฯ

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ ดังนี้

  1. เห็นชอบร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างรัฐบาลของรัฐสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับรัฐบาลนิวซีแลนด์ (ร่างความตกลงฯ) และร่างพิธีสาร 1 แนบท้ายความตกลงฯ และหากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวในประเด็นที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดผลประโยชน์ของประเทศไทย ขอให้ คค. ดำเนินการต่อไปได้โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง
  2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมร่วมลงนามในร่างความตกลงฯ และร่างพิธีสาร 1 แนบท้ายความตกลงฯ
  3. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ออกหนังสือ มอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม สำหรับ
    การลงนามในร่างความตกลงฯ และร่างพิธีสาร 1 แนบท้ายความตกลงฯ  
  4. มอบหมายให้ กต. เป็นการดำเนินการจัดหนังสือถึงเลขาธิการอาเซียนแจ้งว่าได้ดำเนินกระบวนการต่าง ๆ ที่จำเป็นเพื่อให้ร่างความตกลงฯ และร่างพิธีสาร 1 แนบท้ายความตกลงฯ  มีผลบังคับใช้
    เสร็จสมบูรณ์
    •  

1.การจัดทำและลงนามร่างความตกลงฯ เป็นเป้าหมายหนึ่งภายใต้แผนยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งของอาเซียน ปี 2559 - 2568 โดยที่ประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียนครั้งที่ 30 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567
ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย ได้มีมติเห็นชอบร่างสุดท้ายของร่างความตกลงฯ และร่างพิธีสาร 1 แนบท้าย
ความตกลงฯ และให้ลงนามร่างเอกสารทั้งสองฉบับข้างต้นแบบเวียนภายในปี 2568 โดยให้สำนักเลขาธิการอาเซียนดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องทางกฎหมายให้แล้วเสร็จก่อนประเทศสมาชิกอาเซียนดำเนินการตามกระบวนการภายในสำหรับการลงนาม และประสานเรื่องกำหนดวันลงนาม

2. ในการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการขนส่งของอาเซียน ครั้งที่ 59 (the Fifty - Ninth ASEAN Senior Transport Officials Meeting: STOM) เมื่อเดือนพฤษภาคม 2568 ณ เมืองย่างกุ้ง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้จัดพิธีลงนามร่างความตกลงฯ ในช่วงการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน - นิวซีแลนด์ เพื่อเฉลิมฉลองโอกาสครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน – นิวซีแลนด์ ในเดือนตุลาคม 2568 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย โดยมีราชอาณาจักรกัมพูชา (ประเทศผู้ประสานงานหลัก) มาเลเซียและนิวซีแลนด์ ร่วมพิธีลงนาม และให้ประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นลงนามแบบเวียนให้แล้วเสร็จ ก่อนพิธีลงนามดังกล่าว

3. ประเทศสมาชิกอาเซียนและนิวซีแลนด์ได้ตกลงที่จะจัดทำความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างรัฐบาลของรัฐสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับรัฐบาลนิวซีแลนด์ (ร่างความตกลงฯ) และร่างพิธีสาร 1 แนบท้ายความตกลงฯ ขึ้น เพื่อกำหนดข้อบทต่าง ๆ เกี่ยวกับสิทธิการบินและการบริการเดินอากาศระหว่างกัน ซึ่งมีสาระสำคัญในภาพรวมเช่นเดียวกับร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศที่ประเทศไทยจัดทำกับประเทศอื่น ๆ เนื่องจากเป็นไปตามมาตรฐานขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization : ICAO) ซึ่งไม่ขัดหรือแย้งกับกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องของประเทศไทยโดยร่างความตกลงฯ
มีการกำหนดสิทธิและข้อตกลงในการดำเนินการบริการเดินอากาศระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนและนิวซีแลนด์ในประเด็นต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมและขยายเครือข่ายความเชื่อมโยงทางอากาศในภูมิภาคอาเซียนให้กว้างขวางและครอบคลุมพื้นที่มากยิ่งขึ้น เช่น สิทธิรับขนการจราจรที่ได้รับอนุญาต การกำหนดสายการบินใบพิกัดเส้นทางบิน ข้อกำหนดด้านความปลอดภัย เงื่อนไขการกำหนดค่าภาระ/พิกัดค่าขนส่ง เงื่อนไขการยกเว้นภาษีศุลกากร การอนุญาตการทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน เป็นต้น ส่วนร่างพิธีสาร 1 แนบท้ายความตกลงฯ มีการกำหนดจำนวนเที่ยวบินที่แต่ละฝ่ายจะได้รับ รวมถึงเงื่อนไขต่าง ๆ ของแต่ละประเทศในการดำเนินบริการภายใต้ร่างความตกลงฯ

ทั้งนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาแล้วเห็นชอบ และกระทรวงการต่างประเทศพิจารณาแล้วไม่ขัดข้องต่อสารัตถะโดยรวมของร่างความตกลงฯ และร่างพิธีสาร 1 แนบท้ายความตกลงฯ
โดยเห็นว่าร่างเอกสารดังกล่าวเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย อย่างไรก็ตาม กระทรวงคมนาคมและสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยยืนยันว่า เอกสารดังกล่าวไม่เข้าลักษณะตามที่มีการกำหนดขอบเขตหรือความหมายไว้ในมาตรา 178 วรรคสองและวรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงไม่ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา

 

13. เรื่อง การลงนามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) เสนอ ดังนี้

                   1. เห็นชอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายลงนามในอนุสัญญาดังกล่าว ระหว่างวันที่ 25 – 26 ตุลาคม 2568 ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม

                   2. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) จัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมลงนามในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์

                   3. ให้คณะรัฐมนตรีนำเรื่องเสนอรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ก่อนแสดงเจตนาให้มีผลผูกพันต่อไป

                   4. เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ เพื่อศึกษาพันธกรณีและเตรียมความพร้อมในการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ

                   5. เห็นชอบให้ กต. สามารถพิจารณาจัดทำคำประกาศหรือถ้อยแถลงขณะแสดงเจตนาให้มีผลผูกพันได้ตามความเหมาะสม และให้นำส่งสัตยาบันสารของหนังสือสัญญาให้แก่เลขาธิการสหประชาชาติเพื่อเก็บรักษา เมื่อรัฐสภามีมติเห็นชอบหนังสือสัญญาแล้ว

                   สาระสำคัญของเรื่อง

                   เรื่องนี้เป็นการขอความเห็นชอบต่ออนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ ซึ่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับมาตรการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ซึ่งรัฐภาคีที่เข้าร่วมการลงนามต้องนำมาตรการตามอนุสัญญานี้มาบัญญัติใช้ภายใต้กฎหมายภายในของประเทศตน โดยอนุสัญญาดังกล่าวได้กำหนดหลักการที่สำคัญ เช่น การกำหนดให้การเข้าถึงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารทั้งหมดหรือบางส่วน โดยไม่มีสิทธิ เมื่อกระทำโดยเจตนาเป็นความผิดและมีความรับผิดทางอาญา (อาทิ การปลอมแปลงที่เกี่ยวข้องกับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร การกระทำผิดที่เกี่ยวข้องกับสื่อที่แสดงการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางออนไลน์หรือการแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากเด็ก) การกำหนดกระบวนการฟ้องคดีการพิจารณาพิพากษา และการลงโทษ การกำหนดหลักเกณฑ์ในการใช้อำนาจศาลเพื่อหลีกเลี่ยงช่องว่างทางกฎหมายที่อาจทำให้ผู้กระทำความผิดหลุดพ้นจากการรับโทษ การกำหนดให้มีมาตรการความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อประโยชน์ในสืบสวนสอบสวน การฟ้องคดี และกระบวนการ พิจารณาคดีเกี่ยวกับความผิด (อาทิ การส่งข้อมูลส่วนบุคคลระหว่างรัฐภาคี การส่งผู้ร้ายข้ามแดนการจัดตั้งเครือข่าย 24/7) การกำหนดมาตรการป้องกันเพื่อลดโอกาสของอาชญากรรมไซเบอร์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน หรืออนาคต การกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางวิชาการและการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเพื่อประโยชน์ของรัฐภาคีกำลังพัฒนา (อาทิ ดำเนินโครงการวิจัยและการฝึกอบรมแลกเปลี่ยนข้อมูลทางกฎหมาย) รวมทั้งมีการกำหนดกลไกการอนุวัติการเพื่อปรับปรุงขีดความสามารถและการให้ความร่วมมือระหว่างรัฐภาคี (อาทิ กำหนดให้มีการประชุมทั่วไป เพื่อการติดตามผลการดำเนินงาน และปรับปรุงอนุสัญญาให้ทันต่อสถานการณ์) และขออนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายลงนามในอนุสัญญาดังกล่าว ระหว่างวันที่ 25 – 26 ตุลาคม 2568 ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม รวมทั้ง ขอความเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ ซึ่งมีปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นประธานกรรมการ มีหน้าที่และอำนาจพิจารณาความสอดคล้องของการดำเนินการตามพันธกรณีอนุสัญญากับกฎหมายภายในที่เกี่ยวข้อง

 

14. เรื่อง ร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมรัฐมนตรีเอเปคและการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ประจำปี 2568

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้

                   1. เห็นชอบต่อ (1) ร่างถ้อยแถลงร่วมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ 36 ค.ศ.2025 (2) ร่างปฏิญญาคยองจูของผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ค.ศ. 2025 (3) ร่างข้อริเริ่มปัญญาประดิษฐ์ของเอเปค  (4) รางกรอบความร่วมมือเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางประชากร และ (5) ร่างถ้อยแถลงผู้นำว่าด้วยความร่วมมือในอุตสาหกรรมวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไข ร่างเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ขอให้กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงพาณิชย์ ดำเนินการได้โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีก

                   2.ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมรับรองถ้อยแถลงร่วมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ 36 ค.ศ.2025

                   3. ให้นายกรัฐมนตรี หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี ร่วมรับรองปฏิญญา  คยองจูของผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ค.ศ. 2025 ข้อริเริ่มปัญญาประดิษฐ์ของเอเปค กรอบความร่วมมือ เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางประชากร และถ้อยแถลงผู้นำว่าด้วยความร่วมมือในอุตสาหกรรมวัฒนธรรม และความคิดสร้างสรรค์

                   สาระสำคัญของเรื่อง

                   1. ความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (Asia-Pacific Economic Cooperation: APEC) หรือ “เอเปค” เป็นกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจชั้นนำในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุน การรวมตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาค และการเติบโตที่ยั่งยืนและครอบคลุม ปัจจุบันมีสมาชิก 21 เขตเศรษฐกิจ รวมถึงไทย ซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปคครั้งล่าสุดเมื่อปี 2565

                   2. สาธารณรัฐเกาหลีเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปคในปี 2568 และกำหนดจัดการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ 36 ระหว่างวันที่ 29 - 30 ตุลาคม 2568 และการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 32 ระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม – 1 พฤศจิกายน 2568 ณ เมืองคยองจู สาธารณรัฐเกาหลี โดยจะรับรองเอกสารผลลัพธ์เป็น (1) ถ้อยแถลงร่วมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ 36 ค.ศ. 2025 (2) ปฏิญญาคยองจูของผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ค.ศ. 2025 (3) ข้อริเริ่มปัญญาประดิษฐ์ของเอเปค (4) กรอบความร่วมมือเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางประชากร และ
(5) ถ้อยแถลงผู้นำว่าด้วยความร่วมมือในอุตสาหกรรมวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์

                   ประโยชน์และผลกระทบ

                   การดำเนินการตามร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมรัฐมนตรีเอเปคและการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ประจำปี 2568 ทั้ง 5 ฉบับ จะช่วยส่งเสริมความร่วมมือเพื่อการเติบโตที่เข้มแข็ง ยืดหยุ่น ยั่งยืนและครอบคลุมของเขตเศรษฐกิจสมาชิกเอเปคและของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในภาพรวม ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการต่างประเทศของไทย สานต่อผลลัพธ์ของการเป็นเจ้าภาพเอเปคของไทยเมื่อปี 2565 และสะท้อนบทบาทที่สร้างสรรค์ของไทยในการร่วมมือกับประชาคมระหว่างประเทศเพื่อจัดการกับความท้าทายและส่งเสริมผลประโยชน์ร่วมกัน

 

15. เรื่อง การรับสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์ - เลสเต เข้าเป็นสมาชิกอาเซียน

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้

                   1. เห็นชอบต่อการรับสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์ - เลสเต(ติมอร์ - เลสเต) เข้าเป็นสมาชิกอาเซียน รวมทั้งให้ความเห็นชอบต่อร่างภาคยานุวัติสารต่อกฎบัตรสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) (Instrument of Accession to the Charter of the Association of Southeast Asian Nations) และร่างปฏิญญาว่าด้วยการรับติมอร์ - เลสเตเข้าเป็นสมาชิกอาเซียน (ร่างปฏิญญาฯ) (Declaration on the Admission of the Democratic Republic of Timor-Leste into the Association of Southeast Asian Nations)

                   2. ให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมลงนามในร่างปฏิญญาฯ อย่างเต็มรูปแบบของติมอร์ - เลสเต

                   3. ให้รัฐมนตรีที่รับผิดชอบองค์กรเฉพาะสาขาของอาเซียนร่วมจัดทำภาคยานุวัติสารของติมอร์ - เลสเต ในการเข้าเป็นภาคีตราสารทางกฎหมายของอาเซียนทั้ง 241 ฉบับ เพื่อให้เป็นไปตามแผนการดำเนินงาน (Roadmap) โดยหากภาคยานุวัติสารฉบับใดทำให้ไทยมีพันธกรณีหรือข้อผูกพันเพิ่มเติม ขอให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณาขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเป็นรายฉบับอีกครั้งต่อไป

                   สาระสำคัญของเรื่อง

                   เรื่องนี้เดิมคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (21 กุมภาพันธ์ 2566) รับทราบการสมัครเป็นสมาชิกอาเซียนของสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์ - เลสเต (ติมอร์ - เลสเต) และผู้นำอาเซียนได้เห็นชอบในหลักการที่จะรับติมอร์ - เลสเต เข้าเป็นสมาชิกอาเซียน และต่อมา คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (9 พฤษภาคม 2566) เห็นชอบแผนการดำเนินงานสำหรับการเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนของติมอร์ - เลสเต ทั้งนี้ การเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนอย่างเป็นทางการของติมอร์ - เลสเต นั้น ติมอร์ - เลสเต จะเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนได้เมื่อได้ลงนามภาคยานุวัติสารกฎบัตรอาเซียน ดังนั้น ในครั้งนี้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) จึงได้ขอให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อการรับติมอร์ - เลสเตเข้าเป็นสมาชิกอาเซียน รวมทั้งให้ความเห็นชอบ ต่อร่างภาคยานุวัติสารต่อกฎบัตรอาเซียนและร่างปฏิญญาว่าด้วยการรับติมอร์ - เลสเต เข้าเป็นสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อให้ผู้นำอาเซียนลงนามร่างปฏิญญาฯ ร่วมกับผู้นำติมอร์ - เลสเต เพื่อประกาศรับติมอร์ - เลสเต เข้าเป็นสมาชิกอาเซียน (ลำดับที่ 11) อย่างเป็นทางการในวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ สหพันธรัฐมาเลเซีย ในการนี้ กต. แจ้งว่า ร่างปฏิญญาฯ เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ และเป็นหนังสือสัญญา ตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แต่ไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ทั้งนี้ ภายหลังจากติมอร์ - เลสเต เป็นสมาชิกอาเซียนแล้ว ติมอร์ - เลสเต จะต้องภาคยานุวัติความตกลงอื่น ๆ ของอาเซียนกับคู่เจรจาที่มีอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้น กต. จึงขอให้รัฐมนตรีที่รับผิดชอบองค์กรเฉพาะสาขาของอาเซียนร่วมจัดทำภาคยานุวัติสารของติมอร์ – เลสเต ในการเข้าเป็นภาคีตราสารทางกฎหมายของอาเซียน จำนวน 241 ฉบับ

 

16. เรื่อง การขอรับความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้

                   1. ร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง (ร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ) จำนวน 23 ฉบับ โดยหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างเอกสารในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ขอให้ กต. หรือส่วนราชการเจ้าของเรื่องพิจารณาดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีอีก

                   2. ให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างเอกสารดังกล่าว

                   สาระสำคัญ

                   1. การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้องจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 - 28 ตุลาคม 2568 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย กต. จึงขอเสนอร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ ตามที่ได้ประสานและรวบรวมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) กรมประชาสัมพันธ์ (กปส.) รวมทั้งสิ้น 23 ฉบับ ดังนี้

                   (1) ร่างปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย สะอาด ดีต่อสุขภาพ และยั่งยืน

                   (2) ร่างปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมสิทธิในการพัฒนาและสิทธิในสันติภาพ เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาที่ครอบคลุมและยั่งยืน

                   (3) ร่างปฏิญญาผู้นำอาเซียนว่าด้วยการปราบปรามการฟอกเงิน

                   (4) ร่างปฏิญญาผู้นำอาเซียนว่าด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือในการระบุตัวและจับกุมผู้ต้องหาในคดีอาญา

                   (5) ร่างปฏิญญาผู้นำอาเซียนว่าด้วยการใช้กีฬาเพื่อป้องกันแนวคิดรุนแรงสุดโต่ง

                   (6) ร่างปฏิญญาผู้นำอาเซียนว่าด้วยการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ

                   (7) ร่างปฏิญญากัวลาลัมเปอร์ว่าด้วยการใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่างปลอดภัยและมีความรับผิดชอบสำหรับอาเซียน

                   (8) ร่างปฏิญญาบันดาร์เสรีเบกาวันว่าด้วยความมุ่งมั่นของรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียนในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์สื่อและสารนิเทศ

                   (9) ร่างปฏิญญาว่าด้วยการจัดตั้งเครือข่ายความปลอดภัยด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของอาเซียน

                   (10) ร่างปฏิญญาว่าด้วยวิสัยทัศน์การพัฒนาแร่ธาตุอาเซียน

                   (11) ร่างปฏิญญาว่าด้วยการรับรองแผนงานข้อริเริ่มเพื่อการรวมตัวของอาเซียน ฉบับที่ 5
(ค.ศ. 2026 - 2030)

                   (12) ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมสุดยอดอาเซียน - ญี่ปุ่น ครั้งที่ 28 ว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือและการดำเนินการตามมุมมองอาเซียนต่ออินโด - แปซิฟิก (เอโอไอพี)

                   (13) ร่างแถลงการณ์ร่วมผู้นำอาเซียน - อินเดียว่าด้วยการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

                   (14) ร่างแถลงการณ์ร่วมผู้นำอาเซียน - ออสเตรเลียว่าด้วยการป้องกันความขัดแย้งการบริหารสถานการณ์วิกฤตและโครงสร้างสถาปัตยกรรมภูมิภาคที่อาเซียนมีบทบาทนำ

                   (15) ร่างแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วมผู้นำอาเซียน - นิวซีแลนด์ในโอกาสครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน - นิวซีแลนด์

                   (16) ร่างแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วมผู้นำอาเซียน – สหรัฐอเมริกาเพื่อส่งเสริมอาเซียนและอเมริกา
ที่เข้มแข็งปลอดภัย และมั่งคั่งยิ่งขึ้น

                   (17) ร่างปฏิญญากรุงกัวลาลัมเปอร์ในโอกาสครบรอบ 20 ปี ของการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก

                   (18) ร่างแถลงการณ์ผู้นำการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกว่าด้วยการต่อต้านการหลอกลวงทางออนไลน์และปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติที่เกี่ยวข้อง

                   (19) ร่างแถลงการณ์ผู้นำการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกว่าด้วยเศรษฐกิจดิจิทัลที่ครอบคลุม

                   (20) ร่างแถลงการณ์ผู้นำการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกว่าด้วยการมีส่วนร่วมอย่างทั่วถึงและความยั่งยืน

                   (21) ร่างแถลงการณ์ผู้นำการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกว่าด้วยการส่งเสริมการปฏิบัติล่วงหน้าในการเตรียมพร้อมและตอบสนองต่อภัยพิบัติในระดับพื้นที่

                   (22) ร่างแถลงการณ์ผู้นำการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือ
ด้านวัฒนธรรม

                   (23) ร่างแถลงการณ์ผู้นำการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือ
ด้านพลังงาน

                   กต. แจ้งว่า ร่างเอกสารผลลัพธ์ทั้ง 23 ฉบับ จะเป็นประโยชน์กับประเทศไทยในการส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนและกับประเทศนอกภูมิภาคในประเด็นที่ประเทศไทยต้องการเพิ่มพูนศักยภาพ เช่น การเสริมสร้างความปลอดภัยและความมั่นคง การต่อต้านการหลอกลวงทางออนไลน์และปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ การท่องเที่ยวเศรษฐกิจดิจิทัล และการตอบสนองต่อภัยพิบัติ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและเป็นสิ่งที่ประเทศไทยดำเนินการอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว โดยไม่ก่อให้เกิดพันธกรณีทางกฎหมายต่อไทยแต่อย่างใด ดังนั้น จึงไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ และไม่เป็นหนังสือ สัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

 

17. เรื่อง ร่างแถลงการณ์ของผู้นำอาเซียน+3 ว่าด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการเงินระดับภูมิภาค

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการต่อร่างแถลงการณ์ของผู้นำอาเซียน+3 ว่าด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการเงินระดับภูมิภาค โดยหากมีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มเติม ปรับปรุงและแก้ไขเอกสารดังกล่าวในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ขอให้กระทรวงการคลังดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก และให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรองร่างแถลงการณ์ฯ โดยไม่มีการลงนามร่างแถลงการณ์ฯ ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ

                   สาระสำคัญของเรื่อง

                   มาเลเซียและสาธารณรัฐประชาชนจีนในฐานะประธานร่วมอาเซียน+3 ปี 2568 มีกำหนดจัดการประชุมสุดยอดอาเซียน+3 (ASEAN Plus Three Summit) ครั้งที่ 28 (การประชุมฯ) ในวันที่ 27 ตุลาคม 2568
ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย โดยในการประชุมฯ ผู้นำจะมีการรับรองร่างแถลงการณ์ของผู้นำอาเซียน+3 ว่าด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการเงินระดับภูมิภาค (ASEAN Plus Three Leaders’ Statement on Strengthening Regional Economic and Financial Cooperation)(ร่างแถลงการณ์ฯ) เป็นเอกสารผลลัพธ์ของการประชุม ทั้งนี้ ร่างแถลงการณ์ฯ มีเนื้อหาแสดงกรอบทิศทางยุทธศาสตร์ของอาเซียน+3 ในการเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการเงินระดับภูมิภาคเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนระดับโลกและมุ่งเน้นการบูรณาการทางเศรษฐกิจ การเสริมสร้างกลไกทางการเงินของภูมิภาค และการพัฒนาที่ยั่งยืน

                   ประโยชน์และผลกระทบ

                   ร่างแถลงการณ์ฯ เป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียน+3 ในการส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการเงินเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินของภูมิภาค และเตรียมรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ โดยการพัฒนาที่ครอบคลุมและยั่งยืนทั่วภูมิภาค

 

18. เรื่อง การให้ความเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ผู้นำของการประชุมสุดยอดความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ครั้งที่ 5

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ผู้นำของการประชุมสุดยอดความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP) ครั้งที่ 5 (ร่างแถลงการณ์ฯ) และหากร่างแถลงการณ์ดังกล่าว มีการปรับปรุงแก้ไขที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ขอให้ พณ. สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก รวมทั้งให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างเอกสารดังกล่าว ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ

                   สาระสำคัญ

                   ร่างแถลงการณ์ผู้นำของการประชุมสุดยอดความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP) (ร่างแถลงการณ์ฯ) เป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองในระดับผู้นำของภาคีความตกลง RCEP ที่แสดงความมุ่งมั่นในการยึดถือข้อผูกพันภายใต้กฎและหลักการขององค์การการค้าโลกเพื่อเป็นกรอบความร่วมมือและการบูรณาการเศรษฐกิจของภูมิภาค เสริมสร้างความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนทางการค้าโลก และเสริมสร้างสถาบัน RCEP ในการส่งเสริมการค้าและการขยายตัวของการค้าในภูมิภาคอย่างเต็มศักยภาพ รวมถึงการเตรียมการสำหรับการทบทวนปรับปรุงความตกลง RCEP ในปี 2570

                   ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศ (กรมอาเซียน) (กต.) และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า ร่างแถลงการณ์ฯ ไม่มีรูปแบบ บริบท หรือถ้อยคำ ที่มุ่งจะก่อให้เกิดผลผูกพันภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ และไม่มีการลงนามในร่างแถลงการณ์ดังกล่าว ดังนั้น จึงไม่เข้าข่ายลักษณะเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

 

19. เรื่อง ขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารแนวทางการเจรจายกระดับความตกลงการค้าเสรีอาเซียน – สาธารณรัฐเกาหลี

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ ดังนี้

                   1. เห็นชอบต่อร่างเอกสารแนวทางการเจรจายกระดับความตกลงการค้าเสรี อาเซียน - สาธารณรัฐเกาหลี

                   2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ให้ความเห็นชอบต่อร่างเอกสารแนวทางการเจรจายกระดับความตกลงการค้าเสรีอาเซียน - สาธารณรัฐเกาหลี เพื่อเสนอให้ผู้นำอาเซียนและสาธารณรัฐเกาหลีประกาศเริ่มการเจรจายกระดับความตกลงการค้าเสรีอาเซียน - สาธารณรัฐเกาหลี ในการประชุมสุดยอดอาเซียน - สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 26 ในวันที่ 27 ตุลาคม 2568 ณ ประเทศมาเลเซีย ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญ และไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ขอให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีก

                   สาระสำคัญ               

                   1. อาเซียนกับสาธารณรัฐเกาหลีได้ลงนามกรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2548 เพื่อเป็นกรอบและแนวทางสำหรับการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรีอาเซียน - สาธารณรัฐเกาหลี (ASEAN - Korea Free Trade Agreement: AKFTA) โดย AKFTA ประกอบด้วยความตกลงว่าด้วยกลไกระงับข้อพิพาท การค้าบริการ การลงทุน และการค้าสินค้ามีผลใช้บังคับสำหรับไทย ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2552  1 กันยายน 2552 และ 1 มกราคม 2553 ตามลำดับ

                   2. เนื่องจาก AKFTA มีผลใช้บังคับมาแล้วกว่า 10 ปี อาเซียนและสาธารณรัฐเกาหลีจึงเห็นควรที่จะต้องมีการยกระดับความตกลงฯ ในภาพรวม โดยเริ่มจากการจัดทำการศึกษาร่วมเพื่อพิจารณาความเป็นไปได้ในการยกระดับ AKFTA เมื่อปี 2565 เพื่อพิจารณาประเด็นที่ควรมีการปรับปรุง รวมถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการยกระดับความตกลงดังกล่าว

                   3. ต่อมา ที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 21 เมื่อเดือนกันยายน 2567 มีมติเห็นชอบให้เริ่มการเจรจายกระดับ AKFTA ในปี 2569 เพื่อปรับปรุงข้อบท ที่มีอยู่ใน AKFTA ฉบับเดิมให้ทันสมัยมากขึ้น รวมทั้งเพิ่มเติมข้อบทที่สอดรับกับการค้าสมัยใหม่และความตกลงการค้าเสรีฉบับใหม่ ๆ ที่ตอบสนองต่อพัฒนาการเศรษฐกิจโลก และได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่จัดทำเอกสารแนวทางการเจรจายกระดับความตกลงการค้าเสรีอาเซียน - สาธารณรัฐเกาหลีเพื่อใช้เป็นพื้นฐานสำหรับการเจรจายกระดับความตกลงดังกล่าว โดยล่าสุดเจ้าหน้าที่ของอาเซียนและสาธารณรัฐเกาหลีได้ร่วมกัน จัดทำร่างเอกสารแนวทางฯ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

                   4. ร่างเอกสารแนวทางการเจรจายกระดับความตกลงการค้าเสรีอาเซียน – สาธารณรัฐเกาหลี มีเนื้อหาครอบคลุม 15 หัวข้อ ได้แก่ 1) การปรับปรุงประเด็นที่มีอยู่ใน AKFTA ฉบับเดิม 10 หัวข้อ และ 2) ประเด็นที่เพิ่มเติมใหม่ 4 หัวข้อ ได้แก่ เศรษฐกิจดิจิทัล ความเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน การคุ้มครองผู้บริโภคและการแข่งขัน
การพัฒนาที่ยั่งยืนและเศรษฐกิจสีเขียว

                   ประโยชน์และผลกระทบ

                   ร่างเอกสารแนวทางการเจรจายกระดับความตกลงการค้าเสรีอาเซียน – สาธารณรัฐเกาหลี จะเป็นประโยชน์ในการเป็นแนวทางการเจรจาให้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน – สาธารณรัฐเกาหลีมีความทันสมัยและเป็นสากลมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงกฎระเบียบภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน - สาธารณรัฐเกาหลี ให้มีมาตรฐาน มีความทันสมัย สอดคล้องกับบริบทระหว่างประเทศมากขึ้นทั้งมาตรฐาน ด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช และมาตรฐานกฎระเบียบทางเทคนิค กระบวนการตรวจสอบ และรับรองสินค้า อุตสาหกรรม รวมถึงยังได้กำหนดให้มีกระบวนการทำงานที่โปร่งใส การมีข้อบทที่เสริมสร้างการอำนวยความสะดวกทางการค้า การพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการระหว่างประเทศภาคี รวมทั้งยังให้ความสำคัญ กับบทบาทของวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) เพิ่มมากขึ้น

 

20. เรื่อง ขอความเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาผู้นำอาเซียนว่าด้วยวิสัยทัศน์ด้านอาหาร เกษตร และป่าไม้ สู่ปี 2045 (ASEAN Leaders’ Declaration on the Vision for Food, Agriculture and Forestry towards 2045)

                   คณะรัฐมนตรีมติเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาผู้นำอาเซียนว่าด้วยวิสัยทัศน์ด้านอาหาร เกษตร และป่าไม้ สู่ปี 2045 (ASEAN Leaders’ Declaration on the Vision for Food, Agriculture and Forestry towards 2045) (ร่างปฏิญญาฯ) โดยหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างเอกสารในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ขอให้ส่วนราชการเจ้าของเรื่องดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก รวมทั้งให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างปฏิญญาฯ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ

                   สาระสำคัญ

                   ร่างปฏิญญาฯ เป็นกรอบการดำเนินงานของประเทศสมาชิกอาเซียนในการขับเคลื่อนความร่วมมือด้านอาหาร เกษตร และป่าไม้ ไปสู่ความยั่งยืนในระยะยาวภายใต้วิสัยทัศน์อาเซียน ค.ศ. 2045 (ซึ่งระบุให้อาเซียนเป็นประชาคมที่มีความเข้มแข็งและยั่งยืน) โดยเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นของประเทศสมาชิกอาเซียน ที่จะร่วมกันส่งเสริมเกษตรกรรมที่ยั่งยืน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล เสริมสร้างความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสนับสนุนการลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบเพื่อให้ระบบอาหารของภูมิภาคมีความมั่นคง ยืดหยุ่น และยั่งยืนมากยิ่งขึ้น โดยใช้วิธีการแบบองค์รวมที่บูรณาการมิติทางสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม

 

21. เรื่อง ร่างปฏิญญามะละกาว่าด้วยการสร้างมูลค่ามรดกทางวัฒนธรรม (Malaka Declaration on Cultural Heritage Value Creation)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างปฏิญญามะละกาว่าด้วยการสร้างมูลค่ามรดกทางวัฒนธรรม (Malaka Declaration on Cultural Heritage Value Creation) (ร่างปฏิญญาฯ) ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 โดยหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนถ้อยคำของเอกสารดังกล่าวที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสาระสำคัญหรือที่ไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ก่อนจะมีการรับรองเอกสารดังกล่าว ให้ วธ. สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง รวมทั้งอนุมัติให้นายกรัฐมนตรีร่วมรับรองร่างปฏิญญาฯ ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 ตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เสนอ

                   สาระสำคัญ

                   วธ. รายงานว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยว ศิลปะ และวัฒนธรรมแห่งมาเลเซีย ได้ขอความร่วมมือรัฐมนตรีอาเซียนที่กำกับดูแลงานด้านวัฒนธรรมและศิลปะ (ASEAN Ministers Responsible for Culture and Arts: AMCA) ให้การเห็นชอบร่างปฏิญญาฯ ทั้งนี้ ร่างปฏิญญาฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการส่งเสริมความร่วมมือระดับภูมิภาคเพื่อปกป้อง ส่งเสริม และสร้างมูลค่าในเชิงเศรษฐกิจจากมรดกทางวัฒนธรรมที่รุ่มรวยของอาเซียนซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจ สร้างรายได้และตำแหน่งงานในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม รวมทั้งแสดงถึงความมุ่งมั่นที่จะบูรณาการมรดกทางวัฒนธรรมเข้ากับการพัฒนาที่ยั่งยืนและครอบคลุม และสนับสนุนขีดความสามารถในระดับท้องถิ่น การอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม

 

แต่งตั้ง

22. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ(กระทรวงการคลัง)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้ง นายบุญชอบ วิเศษปรีชา ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง รองอธิบดีกรมธนารักษ์ ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านการบริหารเหรียญกษาปณ์และทรัพย์สินมีค่า (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ และรองนายกรัฐมนตรี (นายเอกนิติ  นิติทัณฑ์ประภาศ) ได้ให้ความเห็นชอบด้วยแล้ว

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

 

23. เรื่อง การแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ เป็นหลักการมอบหมายให้รัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ตามความในมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ตามลำดับ ดังนี้  

                   1. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)

                   2. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นางศุภจี สุธรรมพันธุ์)

                   ทั้งนี้  ตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป

 

24. เรื่อง  การแต่งตั้งคณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 13

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ การแต่งตั้งคณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์  ครั้งที่ 13 โดยให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อเนื่องนับจากวันที่ 3 ตุลาคม 2568
ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า) ได้พิจารณาเห็นชอบด้วยแล้ว โดยมีคณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 13 (คงเดิม) ดังนี้

                   1. รองนายกรัฐมนตรี                                                      ประธานกรรมการกำกับการบริหารราชการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

                   2. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา                      รองประธานกรรมการ

                   3. ปลัดกระทรวงการคลัง                                                 กรรมการ

                   4. อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีแพ่งหรือผู้แทน                            กรรมการ

                   5. อธิบดีอัยการ สำนักงานการบังคับคดีหรือผู้แทน                      กรรมการ

                   6. ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ                                        กรรมการ

                   7. ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย                                     กรรมการและเลขาธิการ

                   หน้าที่และอำนาจ (คงเดิม)

                   1. วางนโยบาย อำนวยการเกี่ยวกับการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 13

                   2. จัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 13 ให้บรรลุเป้าหมายด้วยดี เป็นไปตามกฎธรรมนูญสหพันธ์ และเป็นผลดีที่สุดแก่ประเทศชาติ

                   3. ประสานงาน ปฏิบัติการและดูแลทั่วไปเกี่ยวกับการเตรียมงานทั้งปวง และคณะกรรมการฝ่ายต่างๆ

                   4. จัดสรรและบริหารงบประมาณที่ใช้ในการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 13 เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

                   5. ติดต่อประสานงาน ตลอดจนการขอรับการสนับสนุนในการเตรียมงานและจัดการแข่งขันจากหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานเอกชน

                   6. รายงานการดำเนินงานให้แก่คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ และจัดทำรายงานเสนอเมื่อเสร็จสิ้นการแข่งขัน

                   7. เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย จึงให้ประธานกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ มีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการฝ่ายได้ตามความจำเป็นเหมาะสม รวมทั้งกำกับดูแลและควบคุมการดำเนินงานของคณะกรรมการฝ่าย คณะกรรมการสาขา

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 4 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป

 

25. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) เสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง รวม 9 คน เนื่องจากประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี ดังนี้

                   1. นายนพดล เฮงเจริญ                      ประธานกรรมการ

                   2. นายกฤษฎา บุณยสมิต          กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

                   3. นายชาญชัย แสวงศักดิ์                   กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

                   4. นายต่อพงศ์ กิตติยานุพงศ์                กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

                   5. นายนันทวัฒน์ บรมานันท์                กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

                   6. นายนิพนธ์ ฮะกีมี                          กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

                   7. นายประสงค์ วินัยแพทย์                  กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

                   8. นายสุรพล นิติไกรพจน์           กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

                   9. นายฤทัย หงส์สิริ                          กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป และรองนายกรัฐมนตรี (นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ) ได้ให้ความเห็นชอบแล้ว

 

26. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการองค์การเภสัชกรรม

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เสนอให้คณะกรรมการองค์การเภสัชกรรมมีจำนวนกรรมการเกินกว่าสิบเอ็ดคนแต่ไม่เกินสิบห้าคน (นับรวมประธานกรรมการ กรรมการอื่นที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง และผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรมซึ่งเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง) ตามมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติองค์การเภสัชกรรม พ.ศ. 2509 และมาตรา 6 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และแต่งตั้ง นายพงศธร พอกเพิ่มดี (ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข) เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการองค์การเภสัชกรรม แทน นายโอภาส การย์กวินพงศ์ (ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข) ประธานกรรมการเดิมที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากขอลาออก

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป และผู้ที่ได้รับแต่งตั้งเข้าแทนนี้ย่อมอยู่ในตำแหน่งได้เพียงเท่ากำหนดเวลาของผู้ซึ่งตนแทน ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (นายโสภณ ซารัมย์) ได้พิจารณาเห็นชอบด้วยแล้ว

 

27. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการต่างประเทศ)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 6 ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่างและสับเปลี่ยนหมุนเวียน ดังนี้

                   1. นายพลพงศ์ วังแพน ตำแหน่ง อธิบดีกรมอาเซียน ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

                   2. นางจิราพร จิรำไพกูล ตำแหน่ง เอกอัครราชทูตประจำกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอัมมาน ราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดน

                   3. นายพิษณุ โสภณ ตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงลิมา สาธารณรัฐเปรู ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูตประจำกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

                   4. นายธนพ ปัญญาพัฒนากุล ตำแหน่ง ผู้ช่วยปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูตประจำกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

                   5. นายณัฐพงศ์ สิทธิชัย ตำแหน่ง อัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูตประจำกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

                   6. นางสาวปฤณัต อภิรัตน์ ตำแหน่ง กงสุลใหญ่ สถานกงสุลใหญ่ ณ นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต คณะผู้แทนถาวรไทยประจำอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตาสาธารณรัฐอินโดนีเซีย

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ซึ่งการแต่งตั้งข้าราชการให้ไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศในลำดับที่ 1 – 2 ได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้รับแล้ว

 

28. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงแรงงาน)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงแรงงาน ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ดังนี้

                   1. นางสาวบุปผา เรืองสุด เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

                   2. นายสมาสภ์ ปัทมะสุคนธ์ รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป และรองนายกรัฐมนตรี (นายโสภณ ซารัมย์) ได้ให้ความเห็นชอบด้วยแล้ว

 

29. เรื่อง ขอยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี กรณีการแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญเฉพาะราย (นายชูศักดิ์ รู้ยิ่ง) และแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง กระทรวงมหาดไทย

                   คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงมหาดไทย เสนอ ดังนี้

                   1. ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2568 กรณีการแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญเฉพาะราย (นายชูศักดิ์ รู้ยิ่ง)

                   2. อนุมัติแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง กระทรวงมหาดไทย จำนวน 1 ราย ตามมาตรา 57 (2) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 กฎ ก.พ. ว่าด้วยการย้าย การโอน หรือการเลื่อนข้าราชการพลเรือนสามัญไปแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญตำแหน่งประเภทบริหารในหรือต่างกระทรวงหรือกรม พ.ศ. 2567 ให้ นายชูศักดิ์ รู้ยิ่ง พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดสกลนคร และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดตาก

                    ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

 

30. เรื่อง  การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงการคลัง)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ  แต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน 1 ราย คือ นายปริเยศ  พิริยะมาสกุล  ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง  (นายวรภัค ธันยาวงษ์)  ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป

 

31. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงการต่างประเทศ)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ  แต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน 2 ราย ดังนี้

                   1. นายศรัณย์ เจริญสุวรรณ ให้ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรี

                   2. นางจุฬามณี ชาติสุวรรณ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรี

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป

 

32. เรื่อง  การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับทรงคุณวุฒิ  (กระทรวงมหาดไทย)

 

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอแต่งตั้ง  นางวรสุดา รัตนสุคนธ์ ตำแหน่งผู้ช่วยปลัดกระทรวง (นักบริหาร ระดับต้น) สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผน ระดับทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป  ซึ่งเป็นวันที่สำนักงาน ก.พ. ได้รับคำขอประเมินพร้อมด้วยเอกสารหลักฐานประกอบการขอประเมินครบถ้วนสมบูรณ์

 

33. เรื่อง การแต่งตั้งผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอแต่งตั้ง นายนรินทร์ เผ่าวณิช  ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย  โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป  และเห็นชอบอัตราเงินเดือน ซึ่งกระทรวงการคลังได้ให้ความเห็นชอบผลตอบแทนแล้ว           

 

34. เรื่อง ขออนุมัติต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอการต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของ นายฉันทานนท์ วรรณเขจร ข้าราชการพลเรือนสามัญตำแหน่ง เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งได้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวครบการต่อเวลา 1 ปี (ครั้งที่ 1) เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2568 ต่อไปอีก 1 ปี (ครั้งที่ 2) ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2569
และรองนายกรัฐมนตรี (ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า) ได้ให้ความเห็นชอบด้วยแล้ว

 

35. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เสนอแต่งตั้ง นางเพ็ญนภา กัญชนะ ข้าราชการพลเรือนสามัญตำแหน่ง รองเลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป และรองนายกรัฐมนตรี (นายโสภณ ซารัมย์) ได้ให้ความเห็นชอบด้วยแล้ว

 

36. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงสาธารณสุข)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 3 ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ดังนี้

                   1. นายธิติ แสวงธรรม ผู้ช่วยปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

                   2. นายวิทิต สฤษฎีชัยกุล รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

                   3. นายอดิสรณ์ วรรธนะศักดิ์ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป และรองนายกรัฐมนตรี (นายโสภณ ซารัมย์) ได้ให้ความเห็นชอบด้วยแล้ว

 

37. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอแต่งตั้ง นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป และรองนายกรัฐมนตรี (ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า) ได้ให้ความเห็นชอบด้วยแล้ว

 

38.  เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการเมือง  (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ แต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จำนวน 4 ราย ดังนี้

                   1. นายเอกรัฐ  พลซื่อ

                   2. นางสาวชลิตา  โผนสู้ศึก

                   3. นายพรชัย อินทร์สุข

                   4. ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา

                   ทั้งนี้  ตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป

 

39. เรื่อง  การแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)

                    คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ แต่งตั้งบุคคลเป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี จำนวน 10 ราย ดังนี้

                   1. นายอารี ไกรนรา

                   2. นายนพพล ชูกลิ่น

                   3. นายเบญจรงค์ สุวรรณคีรี

                   4. พลเอก นเรศรักษ์ ฐิตะฐาน

                   5. นายวิชาวัฒน์ อิศรภักดี

                   6. นางสาวเพชรดาว โต๊ะมีนา

                   7. นางสาวกิริฎา เภาพิจิตร

                   8. นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์

                   9. นายสิรภพ ดวงสอดศรี

                   10. นายสุรพงศ์ นำชัยรุจิพงศ์

                   โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้ง

                  

40. เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงวัฒนธรรม)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอแต่งตั้ง นางสาวศุภพานี โพธิ์สุ เป็นข้าราชการการเมือง ดำรงตำแหน่ง เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และรองนายกรัฐมนตรี (นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ) กำกับการบริการราชการกระทรวงวัฒนธรรม ได้ให้ความเห็นชอบด้วยแล้ว

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป

 

41. เรื่อง  การแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)

                    คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ แต่งตั้งบุคคลเป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี จำนวน 4 ราย ดังนี้

                   1. นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์

                   2. นางสาวณมาณิตา กลับบ้านเกาะ

                   3. พลตำรวจตรี มนตรี  แป้นเจริญ

                   4. นางสาวอรทัย  เกิดทรัพย์

                   โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้ง

 

42. เรื่อง การแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ เป็นหลักการมอบหมายให้รัฐมนตรี เป็นผู้รักษาราชการการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ตามความในมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ได้แก่ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)

                   ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า) ปฏิบัติหน้าที่แทน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ) กำกับการบริหารราชการกระทรวงพาณิชย์ ได้เห็นชอบด้วยแล้ว

                   ทั้งนี้  ตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป

 

43. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เสนอแต่งตั้ง พลตำรวจโท อิทธิพร โพธิ์ทอง ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (นายสุชาติ ชมกลิ่น)

                   ทั้งนี้  ตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป

 

44. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงมหาดไทย)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ แต่งตั้งข้าราชการการเมืองตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยและตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ดังนี้

1) นายณัฏฐพล จรัสรพีพงษ์                          ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายทรงศักดิ์ ทองศรี)

2) นางจิดาภา สุนทรธนากุล                          ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย [ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายทรงศักดิ์ ทองศรี)]

3) ร้อยตำรวจเอกณัชธพงศ์ ประเสริฐโสภา ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย [ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์)

4) นายวิศรุต ปู่เพ็ง                                    ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นางสาวศศิธร กิตติธรกุล)

                   ทั้งนี้  ตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป

- 006

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top