วันพุธ ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้าวิเคราะห์ : 'แพทองธาร'วิบากกรรม...ยังไม่จบ!!!

แนวหน้าวิเคราะห์ : 'แพทองธาร'วิบากกรรม...ยังไม่จบ!!!

วันพุธ ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 07.00 น.

“แพทองธาร”วิบากกรรม...ยังไม่จบ!!! คดี ม.144 โยกงบทำ“ดิจิทัลวอลเล็ต”แจกเงิน 1 หมื่น วิกฤตซ้อน“ระเบิดลูกใหญ่”การเมืองไทย อาจล้มทั้งกระดาน?

จุดเริ่มต้นคดีปม“โยกงบทำดิจิทัลวอลเล็ตคดีนี้มีต้นเหตุจากการที่รัฐบาล‘แพทองธาร ชินวัตร’เสนอร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ซึ่งมีการจัดสรรงบประมาณส่วนหนึ่งไปใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000บาทซึ่งถูกมองว่าเป็นการโยกงบประมาณข้ามหมวดและแปรญัตติในลักษณะที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา144 ซึ่งเป็นมาตราที่ห้ามสมาชิกสภา รัฐมนตรี หรือบุคคลใด แทรกแซงการจัดทำงบประมาณเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ตนเองหรือผู้อื่น


โดย ป.ป.ช.จึงตั้งคณะไต่สวนต่อเนื่องมาหลายเดือน จนล่าสุด เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2568 นายสุรพงษ์ อินทรถาวร รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษก ป.ป.ช.ออกมาเปิดเผยความคืบหน้าคดีดังกล่าวว่า การไต่สวนเสร็จสิ้นแล้ว เหลือเพียงขั้นตอนเสนอให้ที่ประชุมใหญ่ป.ป.ช.พิจารณาชี้ขาด จุดนี้ ถือเป็นระเบิดเวลาที่พร้อมเขย่าระบบการเมืองไทยทั้งระบบล้มทั้งกระดาน

มาตรา144:จุดเปราะบางนักการเมืองไทย

รัฐธรรมนูญมาตรา 144 ถือเป็นหนึ่งในมาตราที่ มีโทษทางการเมืองร้ายแรงที่สุด เพราะหาก ป.ป.ช.ชี้มูลว่า มีการฝ่าฝืนจริง

จะนำไปสู่การส่งเรื่องให้ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย หากศาลวินิจฉัยว่าฝ่าฝืน รัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรี สิ้นสุดการดำรงตำแหน่งทันที และหากเป็น ส.ส. หรือส.ว. ที่ร่วมลงมติในลักษณะที่รู้เห็นเป็นใจ ก็อาจ พ้นจากตำแหน่งและถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง

ดังนั้น หากมีการชี้มูลในระดับ“คณะรัฐมนตรีทั้งคณะ” รวมถึง “คณะกรรมาธิการ และสมาชิกรัฐสภาที่เห็นชอบร่างงบ”  นั่นหมายถึง อาจเกิดการล้มทั้งกระดานของรัฐบาลและรัฐสภาไทยในคราวเดียว ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

ศาลรธน.ฟัน‘พิเชษฐ์’พ้นส.ส.ฝ่าฝืน ม.144 โยกงบ

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ส.ส.เชียงราย เขต 7พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่งสิ้นสุดสมาชิกภาพและเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นระยะเวลา 10 ปี จากกรณีเห็นชอบงบประมาณของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร 3 โครงการ โดยมีรูปแบบการดำเนินการโครงการซึ่งมีลักษณะประโยชน์ในการหาเสียง หรือสร้างความนิยมให้แก่ตนเองในเขตเลือกตั้ง ขัดต่อรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 144ที่ห้าม สส.สมาชิกวุฒิสภา (สว.) หรือกรรมาธิการ เสนอแปรญัตติ หรือทำการใดๆที่จะมีผลให้ สส. สว.กรรมาธิการ มีส่วนในการใช้งบประมาณไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม

ถือเป็นคดีนำร่องของการที่ทำให้บรรดานักการเมืองหลายคนหนาวๆร้อนๆไปตามๆกัน อะไรก็เกิดขึ้นได้กรณีฝ่าฝืน ม.144 ให้เห็นมาแล้ว

ผลสะเทือนหาก ป.ป.ช.“ชี้มูลความผิด

หากป.ป.ช.มีมติ“ชี้มูลความผิด”แพทองธารและคณะรัฐมนตรีในคดีนี้จะเกิดแรงสั่นสะเทือนอย่างน้อยใน 3 มิติสำคัญคือ:

การเมือง“รัฐบาลอนุทินเสี่ยงเข้าสู่สุญญากาศใหม่

ในกรณีที่คณะรัฐมนตรีสิ้นสภาพทั้งคณะ อำนาจบริหารจะตกอยู่ในมือ รักษาการนายกรัฐมนตรี (เช่น นายอนุทิน ชาญวีรกูล)ซึ่งจะเผชิญแรงกดดันให้ ยุบสภาทันที เพราะสังคมจะมองว่ารัฐบาลขาดความชอบธรรมโดยสิ้นเชิง

ฝ่ายนิติบัญญัติ สภาไทย อาจต้อง“รีเซ็ต

หากมีการพิจารณาว่า ส.ส. หรือ ส.ว.ที่ลงมติรับร่างงบฯโดยรู้ว่าขัดรัฐธรรมนูญ ต้องรับผิดชอบร่วม ก็เท่ากับต้อง ปลดล็อกสภาใหม่ ทั้งสองฝ่าย ซึ่งหมายถึงการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ และ“พรรคเพื่อไทย”อาจสูญเสียอำนาจทางการเมืองครั้งใหญ่

เศรษฐกิจ-ความเชื่อมั่น ตลาดผันผวนทันที

ตลาดการเงินจะสะท้อนแรงสั่นสะเทือนจากความไม่แน่นอนทางการเมืองอย่างฉับพลัน ค่าเงินบาทอ่อนตัว ความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติถดถอย เพราะการเมืองไทยจะกลับเข้าสู่ภาวะ “สุญญากาศทางอำนาจ” อีกครั้ง

มิติกลับกัน หาก ป.ป.ช.“ไม่ชี้มูล

หากที่ประชุม ป.ป.ช.มีมติไม่ชี้มูลความผิด จะเป็น ชัยชนะสำคัญทางการเมืองของ แพทองธาร ที่ช่วยฟื้นภาพลักษณ์จากคดีต่างๆในอดีต พรรคเพื่อไทย จะสามารถกลับมาใช้“ดิจิทัลวอลเล็ต”เป็นนโยบายธงหลักได้อีกครั้ง แต่ในทางกลับกัน ฝ่ายตรงข้ามจะโจมตีว่า ป.ป.ช.ทำงาน “สองมาตรฐาน” และอาจนำไปสู่การเคลื่อนไหวทางการเมืองหรือบนท้องถนนกล่าวได้ว่า“ไม่ว่าผลจะออกทางไหน”ความขัดแย้งและแรงกระเพื่อมจะเกิดขึ้นแน่นอน

บทพิสูจน์องค์กรอิสระ : ความเป็นกลางของป.ป.ช.

คดีนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของ“แพทองธาร”เท่านั้น แต่ยังเป็น บทพิสูจน์ศรัทธาในองค์กรอิสระของประเทศ โดยเฉพาะ ป.ป.ช.หากตัดสินอย่างโปร่งใส มีเหตุผลและสังคมยอมรับได้ จะช่วยฟื้นความเชื่อมั่นต่อระบบตรวจสอบถ่วงดุล  แต่หากถูกมองว่า“มีแรงจูงใจทางการเมือง”ไม่ว่ากับฝ่ายใด ย่อมกลายเป็นเชื้อไฟแห่งความแตกแยกใหม่

บทสรุปของคดี แพทองธาร คดี ม.144”จึงไม่ใช่เพียงคดีทุจริตงบประมาณธรรมดา แต่เป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ทางการเมือง ที่อาจเขย่าทั้ง รัฐบาล รัฐสภาและระบบการเมืองไทยโดยรวม  หาก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด จะเป็นเหตุการณ์ล้มทั้งกระดานครั้งประวัติศาสตร์ของการเมืองประเทศไทย แต่หากไม่ชี้มูลจะเป็นเกมฟื้นพลัง”ให้พรรคเพื่อไทย และครอบครัว‘ชินวัตร’

ช่วงส่งท้ายปี 68 ทุกสายตาต้องเกาะติดจับจ้องไปที่“ที่ประชุมใหญ่ป.ป.ช.ซึ่งกำลัง ถือชะตาการเมืองไทยไว้ในมือเหมือน “ระเบิดเวลาลูกใหญ่”ที่อาจจะเขย่าก่อนเกิดยุบสภาและการเลือกตั้งใหญ่ต้นปีหน้า 69 จะต้องไม่กระพริบตาอย่างเด็ดขาด เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ กับ 2-3 คดีใหญ่ๆทางการเมือง

- ทีมข่าวแนวหน้า

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top