แนะรัฐบาลใช้ 'ASEAN Summit – APEC' ชวน 'นานาชาติ' ปราบสแกมเมอร์

แนะรัฐบาลใช้ 'ASEAN Summit – APEC' ชวน 'นานาชาติ' ปราบสแกมเมอร์

วันพุธ ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 15.48 น.

นักวิชาการธรรมศาสตร์ แนะ “อนุทิน” ใช้โอกาสเข้าร่วมประชุม “ASEAN Summit -APEC” ประกาศตัวต่อนานาชาติ “ไทย” พร้อมเป็น “ศูนย์กลางปราบสแกมเมอร์กัมพูชา” ระดมความร่วมมือ-งบประมาณ-ทรัพยากร-เทคโนโลยี ชักชวนทุกประเทศร่วมแก้ปัญหาระดับโลก ระบุผลพวงจากความรู้สึกไม่ปลอดภัยในภูมิภาค ทำให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติยกเลิกทริปส์ฤดูหนาวประเทศไทยแล้ว 65% ประเมิน “เกาหลีใต้” คว่ำบาตร “กัมพูชา” อ่วมแน่ 

ดร.ไพบูลย์ ปีตะเสน อาจารย์ประจำศูนย์เกาหลีศึกษา และอดีตประธานศูนย์เกาหลีศึกษา สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า นอกเหนือจากที่ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้ที่ประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภา (IPU) สมัยที่ 151 มีมติบรรจุร่างข้อมติว่าด้วยอาชญากรรมองค์กรข้ามชาติและอาชญากรรมไซเบอร์ และภัยคุกคามแบบผสมผสานต่อประชาธิปไตยและความมั่นคงของมนุษย์ ลงเป็นวาระเร่งด่วนในการประชุมใหญ่ IPU แล้ว ประเทศไทยในฐานะที่มีภูมิประเทศใกล้ชิดกับกัมพูชาควรจะต้องแสดงบทบาทการเป็นศูนย์กลางการแก้ไขปัญหานี้ด้วย


ทั้งนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีประเทศไทย และรัฐบาลไทย สามารถใช้โอกาสจากการประชุม 2 เวทีใหญ่ระดับนานาชาติ ที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนนี้ เพื่อประกาศจุดยืนความพร้อมที่จะเป็นศูนย์กลาง หรือฮับ (HUB) ในการแก้ไขปัญหาสแกมเมอร์ ได้แก่ การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน (ASEAN Summit) ครั้งที่ 47 ที่กำลังจะจัดขึ้น ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ของมาเลเซีย ระหว่างวันที่ 26 – 28 ต.ค. 2568 และการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (APEC) ที่จะจัดขึ้น ณ เมืองคยองจู ประเทศเกาหลีใต้ ระหว่างวันที่ 29 ต.ค. - 1 พ.ย. 2568 ซึ่งในเวทีหลังนี้ คาดว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และ สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีประเทศจีน จะเข้าร่วมด้วย 

ทั้งนี้ สาระสำคัญในการประกาศจุดยืนของประเทศไทยคือ พร้อมรับการสนับสนุนปัจจัยต่างๆ จากนานาชาติ ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณ บุคลากร เทคโนโลยี องค์ความรู้ รวมถึงหากหน่วยงานของนานาชาติประสงค์จะเข้ามาตั้งศูนย์ปรามปรามต่อต้านสแกมเมอร์โดยใช้พื้นที่ของไทยก็ควรสนับสนุน และนายกรัฐมนตรีอาจมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีเข้าไปมีส่วนช่วยในการบัญชาการ เพื่อให้เกิดภาพการทำงานร่วมกัน

“ประเทศไทยควรจะจับมือกับเกาหลีใต้ เพราะเกาหลีใต้เป็นประเทศที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งจีนและอเมริกา เราควรเสนอกับเกาหลีใต้ว่า ยินดีที่จะเป็นเซ็นเตอร์หรือเป็นฮับ (HUB) ในการบริหารจัดการปัญหาสแกมเมอร์ เชื่อว่าถ้าเราประกาศออกไปแบบนี้ทุกประเทศพร้อมจะลงขันแน่นอน ที่สำคัญคือ เราควรสื่อสารว่าการดำเนินการนี้ไม่เกี่ยวกับปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา และเราไม่ได้ต่อว่าประเทศกัมพูชา แต่เรากำลังช่วยกันจู่โจมสแกมเมอร์ ซึ่งหากทั่วโลกกดดัน เชื่อรัฐบาลกัมพูชาก็ไม่กล้าปฏิเสธ” ดร.ไพบูลย์ กล่าว

ดร.ไพบูลย์ กล่าวต่อไปด้วยว่า ประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการแสดงเจตจำนงและประกาศตัวเป็น HUB ในการจัดการปัญหาสแกมเมอร์ คือ ภาพลักษณ์ที่ดีขึ้นของไทยในเวทีโลก เพราะไทยเคยเป็นฐานที่ตั้งของสแกมเมอร์มาก่อนในกรณีก๊กอาน และในช่วงเวลานี้ ก็มีการปล่อยข่าวว่าสแกมเมอร์ในกัมพูชากำลังหลบหนีการจับกุมเข้ามายังฝั่งไทย แม้จะเป็นข้อมูลที่ยังไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัด แต่ไทยก็อาจได้รับผลกระทบ ฉะนั้นการที่ไทยประกาศตัวเป็น HUB ในการแก้ไขปัญหา จะก่อให้เกิดความเชื่อมั่นในเวทีนานาชาติและเกิดภาพลักษณ์ที่ดีถึงการเอาจริงเอาจังว่าไทยไม่เป็นส่วนหนึ่งของสแกมเมอร์อย่างเด็ดขาด 

“นอกจากจะเป็นการประกาศจุดยืนในเวทีระหว่างประเทศแล้ว ยังถือเป็นการประกาศความเอาจริงเอาจังให้กับคนไทยที่อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายสแกมเมอร์ให้หยุดการกระทำ เพราะการกวาดล้างจับกุมจากที่มีไทยเป็น HUB คือ ความร่วมมือระดับโลก ไม่ใช่แค่เฉพาะทางการไทยแบบที่ผ่านมา ส่วนตัวเชื่อว่านอกจากจะสามารถคลี่คลายปัญหาภายนอกได้แล้ว ยังจะสามารถช่วยจัดการปัญหาภายในได้ด้วย” ดร.ไพบูลย์ กล่าว

นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าวอีกว่า สาเหตุที่มั่นใจว่าหลายประเทศจะสนับสนุนประเทศไทย เนื่องจากขณะนี้ปัญหาสแกมเมอร์กระทบและเป็นปัญหาระดับโลก ทุกประเทศได้รับความเดือดร้อน เช่น ญี่ปุ่น ขณะนี้ก็กำลังจะคว่ำบาตรกัมพูชา รวมถึงประเทศอื่นๆ ในยุโรปด้วย สำหรับประเทศไทย พบว่าสถานการณ์ท่องเที่ยวกำลังได้รับผลกระทบเชิงลบจากสแกมเมอร์กัมพูชา จากการพูดคุยกับตัวแทนสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) พบว่าขณะนี้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาในช่วงฤดูหนาว ได้แจ้งยกเลิกการเดินทางไปแล้วราว 65% เนื่องจากมีความกังวลและหวาดวิตกเรื่องความปลอดภัย ซึ่งนักท่องเที่ยวไม่ได้มองว่าปัญหาอยู่แค่ที่ประเทศกัมพูชา แต่มองว่ามีความเสี่ยงทุกพื้นที่ทั้งภูมิภาค

ดร.ไพบูลย์ กล่าวต่อถึงกรณีที่เกาหลีใต้มีท่าทีจะคว่ำบาตรกัมพูชาว่า สิ่งที่จะส่งผลอย่างมากต่อกัมพูชา คือกัมพูชาจะไม่ได้รับความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาอย่างเป็นทางการ (ODA) ที่ประเทศพัฒนาแล้วจะมอบให้กับประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งที่ผ่านมาเกาหลีใต้ได้สนับสนุนงบประมาณเหล่านี้ให้กัมพูชาเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยรัฐบาลที่ผ่านมาของ ยุน ซอก ยอล ที่ให้การสนับสนุนอย่างมหาศาล เช่น โครงการลุ่มแม่น้ำโขงที่ให้การสนับสนุนหลักพันล้านบาท รวมถึงโครงการอื่นๆ ที่เป็นโครงการต่อเนื่อง เช่น โครงการเพื่อการศึกษา โครงการด้านสาธารณสุข ด้านคมนาคม ด้านพลังงาน ด้านสิ่งแวดล้อม ฯลฯ 

“ขณะนี้เกาหลีใต้กำลังเดินโครงการในเฟสสอง คือระงับตัดความช่วยเหลือโครงการ ODA ไปหลายโครงการ แต่อีกหนึ่งสิ่งที่จะส่งผลกระทบมหาศาลต่อกัมพูชา คือนักท่องเที่ยวเรือนแสนที่เคยเดินทางไปเที่ยวกัมพูชาตามโบราณสถานต่างๆ ก็ได้ถูกยกเลิกไปหมดแล้วจนถึงสิ้นปี สนามบินที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ ของกัมพูชาก็แทบจะร้างผู้คน กระทรวงต่างประเทศของเกาหลีใต้ ได้มีคำสั่งห้ามพลเมืองเดินทางไปในบางพื้นที่ของกัมพูชา และไทยก็ดูเหมือนจะโดนหางเลขเรื่องนี้ไปด้วย ไทยก็ต้องปรับกลยุทธ์การทำงานและการสื่อสารใหม่ในเวทีระหว่างประเทศว่าไทยไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และจะเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาด้วย” นักวิชาการธรรมศาสตร์

 

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top