วันอังคาร ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2568
วันนี้ 28 ตุลาคม 2568 เวลา 10.00 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มอบหมาย นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 60 ปี คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 60 ปี คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญ
ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 60 ปี คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี พ.ศ. .... ที่กระทรวงการคลังเสนอ เป็นการกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล) ชนิดราคาห้าสิบบาท เพื่อเป็นที่ระลึกในโอกาสครบ 60 ปี คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ในวันที่ 3 สิงหาคม 2568 และน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวมทั้งเผยแพร่พระเกียรติคุณของทั้งสองพระองค์ ซึ่งกระทรวงการคลังได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดทำเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกตามรูปแบบที่นำความกราบบังคมทูลประกอบพระบรมราชวินิจฉัยแล้ว สำหรับค่าใช้จ่ายในการจัดทำเหรียญกษาปณ์ดังกล่าวมาจากเงินทุนหมุนเวียนการบริหารจัดการเหรียญกษาปณ์ ทรัพย์สินมีค่าของรัฐและการทำของ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ประกอบกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่า คณะรัฐมนตรีสามารถอนุมัติหลักการของร่างกฎกระทรวง ดังกล่าวได้ และจะตรวจพิจารณาร่างกฎกระทรวงดังกล่าวให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ.2562 ต่อไป
เศรษฐกิจ-สังคม
2. เรื่อง ขออนุมัติการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ เพื่อดำเนินโครงการเช่าที่ดินกับการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่บริเวณย่านพหลโยธิน เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร เพื่อใช้เป็นที่ตั้งของอาคารที่ทำการศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ เพื่อดำเนินโครงการเช่าที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) บริเวณย่านพหลโยธิน เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร (กทม.) เพื่อใช้เป็นที่ตั้งของอาคารที่ทำการศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ระยะเวลา 14 ปี 3 เดือน ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 - 2583 โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2569 - 30 กันยายน 2583 วงเงินทั้งสิ้น 522.41 ล้านบาท ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรม (ศย.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
เดิมสำนักงานศาลยุติธรรม (ศย.) ได้ทำสัญญาเช่าที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) บริเวณย่านพหลโยธิน เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร เพื่อก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง พื้นที่ 17,513 ตารางเมตร กำหนดระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม - 30 กันยายน 2554 และต่อมาได้ต่ออายุสัญญาเช่าที่ดินโดยจัดทำเป็นบันทึกต่อท้ายสัญญาเช่าที่ดิน (ครั้งที่หนึ่ง) ระยะเวลา 14 ปี 9 เดือน (รวม 15 ปี) ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2554 - 30 มิถุนายน 2569 ซึ่งต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (6 กันยายน 2554) อนุมัติให้ ศย. ทำสัญญาเช่าที่ดินของ รฟท. และก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ทั้งนี้ เนื่องจากสัญญาเช่าที่ดินดังกล่าวจะสิ้นสุดลงในวันที่ 30 มิถุนายน 2569 ศย. จึงขอนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการเช่าที่ดินแปลงดังกล่าวต่อไปสำหรับเป็นที่ตั้งของอาคารที่ทำการศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง รวมระยะเวลา 14 ปี 3 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2569 - 30 กันยายน 2583 โดยมีอัตราค่าเช่าและค่าภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รวม 522.41 ล้านบาท ซึ่งกระทรวงการคลัง (กค.) และสำนักงบประมาณ (สงป.) พิจารณาแล้วเห็นสมควรที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติให้ ศย. ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณเพื่อทำสัญญาเช่าที่ดินกับ รฟท. ระยะเวลา 14 ปี 3 เดือน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2569 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2583 วงเงินทั้งสิ้น 522.41 ล้านบาท ตามที่ ศย. เสนอ โดย กค. มีความเห็นเพิ่มเติมว่า ขอให้ ศย. ดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวให้เป็นไปอย่างถูกต้องตามกระบวนการและขั้นตอนของกฎหมายระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป และ สงป. มีความเห็นเพิ่มเติมว่า ให้ดำเนินการตามระเบียบว่าด้วยการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ข้อ 4 (2) และสำหรับค่าเช่าที่ดินในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม - 30 กันยายน 2569 (ระยะเวลา 3 เดือน) วงเงิน 4.36 ล้านบาท เห็นสมควรให้ ศย. ใช้จ่ายจากเงินค่าธรรมเนียมศาลมาดำเนินการในโอกาสแรกก่อน ส่วนงบประมาณที่ใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป เห็นควรให้ ศย. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นที่จะต้องใช้จ่ายในแต่ละปีให้ครบถ้วนตามวงเงินในสัญญาเช่าที่ดินต่อไป โดยขอให้คำนึงถึงความครอบคลุมของทุกแหล่งเงิน ความคุ้มค่า ประหยัด และประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ เพื่อไม่ให้เกิดภาระงบประมาณเกินความจำเป็นตามนัยมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ส่วนกระทรวงคมนาคมพิจารณาแล้วไม่ขัดข้องและมีความเห็นเพิ่มเติมว่า สำหรับเงื่อนไขการเช่าที่ดินดังกล่าวให้เป็นไปตามที่ รฟท. กำหนด
3. เรื่อง ขออนุมัติวงเงินงบประมาณก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ เพื่อเช่าที่ดินวัดประดู่ (ร้าง) จังหวัดสุพรรณบุรี โฉนดเลขที่ 12036 ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
คณะรัฐมนตรีมติอนุมัติให้สำนักงานอัยการสูงสุด (อส.) ดำเนินการเช่าที่ดินวัดประดู่ (ร้าง) โฉนดเลขที่ 12036 (ทั้งแปลง) ตั้งอยู่ตำบลท่าพี่เลี้ยง อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี เนื้อที่ประมาณ 3 งาน 30 ตารางวา เพื่อเป็นที่ตั้งบ้านพักอัยการจังหวัดสุพรรณบุรีและบ้านพักรองอัยการจังหวัด ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ กำหนดระยะเวลาการเช่า 20 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2588 อัตราค่าเช่าที่ดินเป็นรายปี และปรับเพิ่มร้อยละ 15 ทุกระยะ 5 ปี จนครบอายุสัญญาเช่า วงเงินทั้งสิ้น 6,673,950 บาท และยกเว้นการปฏิบัติตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 กรณีมีเหตุความจำเป็นที่ไม่สามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณได้ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุด (อส.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. เดิมสำนักงานอัยการจังหวัดสุพรรณบุรีได้จัดทำสัญญาเช่าที่ดินวัดประดู่ (ร้าง) จังหวัดสุพรรณบุรี โฉนดเลขที่ 12036 ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อสร้างบ้านพักอัยการจังหวัดและบ้านพักรองอัยการจังหวัด เนื้อที่ 3 งาน 33 ตารางวา ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2547 ถึงวันที่ 1 ตุลาคม 2567 ซึ่งปัจจุบันสัญญาเช่าที่ดินดังกล่าวได้สิ้นสุดแล้วและสำนักงานอัยการจังหวัดสุพรรณบุรีมีความประสงค์จะต่อสัญญาเช่าที่ดินดังกล่าวออกไปอีก 20 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568* ถึงวันที่ 30 กันยายน 2588 และจะชำระค่าเช่าเป็นรายปี ดังนั้น สำนักงานอัยการสูงสุดจึงได้ขอให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติพิจารณาการต่อสัญญาดังกล่าวและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติมีมติอนุมัติตามมติมหาเถรสมาคมเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2568 ให้สำนักงานอัยการสูงสุดเช่าที่ดินวัดประดู่ (ร้าง) จังหวัดสุพรรณบุรี เนื้อที่ 3 งาน 30 ตารางวา เพื่อเป็นที่ตั้งบ้านพักอัยการจังหวัดและบ้านพักรองอัยการ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1.1 สัญญาเช่าระยะที่ 1 (อายุสัญญาเช่า 1 ปี) นับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2568 มีรายละเอียด ดังนี้
|
รายละเอียด |
รวมเป็นเงิน (บาท) |
|
ค่าเช่าที่ดิน (ชำระค่าเช่าเป็นรายปี) |
ปีละ 267,300 |
|
ค่าจัดทำสัญญาเช่า |
60 |
|
รวมค่าใช้จ่ายตลอดอายุสัญญาเช่า |
267,360 |
1.2 สัญญาเช่าระยะที่ 2 (เสนอขออนุมัติในครั้งนี้) (อายุสัญญาเช่า 20 ปี) นับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2588 มีรายละเอียด ดังนี้
|
รายละเอียด |
จำนวนเงิน (บาท) |
รวมเป็นเงิน (บาท) |
|
ค่าเช่าที่ดิน (ชำระค่าเช่าเป็นรายปีและปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 ทุกระยะ 5 ปี) |
||
|
- ระยะ 5 ปีแรก (1 ตุลาคม 2568 - 30 กันยายน 2573) |
ปีละ 267,300 |
1,336,500 |
|
- ระยะ 5 ปีที่สอง (1 ตุลาคม 2573 - 30 กันยายน 2578) |
ปีละ 307,395 |
1,536,975 |
|
- ระยะ 5 ปีที่สาม (1 ตุลาคม 2578 - 30 กันยายน 2583) |
ปีละ 353,505 |
1,767,525 |
|
- ระยะ 5 ปีที่สี่ (1 ตุลาคม 2583 - 30 กันยายน 2588) |
ปีละ 406,530 |
2,032,650 |
|
ค่าจัดทำสัญญาเช่า |
300 |
300 |
|
รวมค่าใช้จ่ายตลอดอายุสัญญาเช่า |
6,673,950 |
|
อย่างไรก็ตาม การเช่าที่ดินตามข้อ 1.2 เป็นการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่ต้องได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีก่อน ดังนั้น สำนักงานอัยการสูงสุดจึงขอเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณในครั้งนี้ และเนื่องจากเป็นการผูกพันงบประมาณที่มีระยะเกินกว่า 5 ปี (สัญญาเช่า 20 ปี) จึงต้องขอยกเว้นการปฏิบัติตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2552 กรณีมีเหตุความจำเป็นที่ไม่สามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณได้
2. กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณพิจารณาแล้วเห็นสมควรที่คณะรัฐมนตรีจะพิจารณาอนุมัติตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จำนวน 267,600 บาท สำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับไว้แล้ว ส่วนภาระงบประมาณสำหรับค่าใช้จ่ายในปีต่อๆ ไปเห็นควรให้สำนักงานอัยการสูงสุดจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นที่ต้องใช้จ่ายในแต่ละปีให้ครบถ้วนตามวงเงินในสัญญาเช่าที่ดินตามขั้นตอนต่อไป ประกอบกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติพิจารณาแล้วเห็นชอบด้วย
______________________
* อส. แจ้งว่า ได้หารือกับ พศ. แล้ว หากคณะรัฐมนตรีอนุมัติการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณตามที่ อส. เสนอขออนุมัติในครั้งนี้ อส. จะดำเนินการจัดทำสัญญาเช่าที่ดินกับ พศ. โดยให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2588
4. เรื่อง (ร่าง) ข้อเสนอเชิงนโยบาย เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการดำเนินโครงการโคบาลบูรพา
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบ (ร่าง) ข้อเสนอเชิงนโยบาย เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการดำเนินโครงการโคบาลบูรพา และมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับเรื่องดังกล่าวไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และให้รับความเห็นของสำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาเพื่อดำเนินการตามความจำเป็นเหมาะสมต่อไปด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
1. สภาเกษตรกรแห่งชาติขอให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ (ร่าง) ข้อเสนอเชิงนโยบาย เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการดำเนินโครงการโคบาลบูรพา รวมทั้งมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ โดยโครงการโคบาลบูรพาเป็นการส่งเสริมให้ปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวที่ไม่เหมาะสมไปเลี้ยงปศุสัตว์ (โคเนื้อและแพะ) ในพื้นที่จังหวะสระแก้ว ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2560 เห็นชอบในหลักการแนวทางดำเนินงานโครงการและให้ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจภายในประเทศ ภายในกรอบวงเงิน 970.50 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนแม่โคเนื้อ 30,000 ตัว ให้เกษตรกร 6,000 ราย และพันธุ์แพะเนื้อ 3,200 ตัว ให้เกษตรกร 100 ราย รวมทั้งจ่ายเงินอุดหนุนค่าปัจจัยการผลิตเพื่อให้เกษตรปรับเปลี่ยนพื้นที่นาข้าวที่ไม่เหมาะสมมาปลูกพืชอาหารสัตว์ จำนวน 40,300 ไร่ ในอัตราไร่ละ 2,000 บาท โดยกำหนดเงื่อนไขให้เกษตรกรต้องส่งลูกโคเพศเมีย/ลูกแพะเพศเมียคืนให้โครงการภายในระยะเวลาโครงการและคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2560 อนุมัติจัดสรรเงินจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร โดยอนุมัติวงเงินยืม (เงินหมุนเวียน) จำนวน 358.80 ล้านบาท เพื่อดำเนินการสร้างหรือปรับปรุงโรงเรือนเลี้ยงโคเนื้อ/เลี้ยงแพะ และจัดหาแหล่งน้ำ (บ่อบาดาล บ่อตอก หรือบ่อน้ำตื้น) อย่างไรก็ตาม การดำเนินโครงการดังกล่าวไม่สามารถบรรลุผลตามวัตถุประสงค์ของโครงการที่ต้องการแก้ไขปัญหาความยากจนและสร้างอาชีพให้กับเกษตรกร แต่กลับส่งผลกระทบตรงข้าม คือ สร้างภาระหนี้สินเพิ่มขึ้นกับเกษตรกรแทน โดยมีเกษตรกร 5,815 ราย จากเกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการ รวม 6,100 ราย ที่ยังไม่ได้รับกรรมสิทธิ์โคเนื้อและแพะซึ่งเกษตรกรที่ยังไม่ได้รับกรรมสิทธิ์ดังกล่าว จำนวน 42 รายอยู่ระหว่างดำเนินคดีแล้ว ส่วนที่เหลือกำลังเผชิญความเสี่ยงที่จะถูกดำเนินคดีทางกฎหมาย เนื่องจากไม่สามารถส่งคืนลูกโคเนื้อและแพะรวมถึงการชำระเงินยืมได้ตามสัญญาชำระเงินยืมตามแผนที่กำหนดไว้ ซึ่งมีกำหนดชำระคืนเงินยืม ในวันที่ 30 กันยายน 2568 สภาเกษตรกรแห่งชาติจึงมี (ร่าง) ข้อเสนอ นโยบายซึ่งผ่านความเห็นชอบของสภาเกษตรกรแห่งชาติในคราวประชุมครั้งที่ 6/2568 เมื่อวันที่ 27 – 29 สิงหาคม 2568 รวม 3 ข้อ ดังนี้
|
(ร่าง) ข้อเสนอเชิงนโยบาย |
มอบหมายหน่วยงาน |
|
1. ขอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ชะลอการดำเนินการทางกฎหมายกับสมาชิกสหกรณ์และคณะกรรมการสหกรณ์โคบาลบูรพาทั้ง 3 สหกรณ์ |
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมปศุสัตว์ กรมส่งเสริมสหกรณ์ และกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร |
|
2. ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดแก้ไขปัญหาผลกระทบต่อเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ “โคบาล บูรพา” จังหวัดสระแก้วอย่างเร่งด่วน |
กรมปศุสัตว์ กรมส่งเสริมสหกรณ์ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม กรมพัฒนาที่ดิน กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมชลประทาน จังหวัดสาระแก้วและกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร |
|
3. ขอให้สภาเกษตรกรแห่งชาติเข้าไปมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาผลกระทบต่อเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ “โคบาลบูรพา” จังหวัดสระแก้ว |
สภาเกษตรกรแห่งชาติ |
2. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาแล้วมีความเห็นว่าเห็นควรให้กรมปศุสัตว์ กรมส่งเสริมสหกรณ์ และคณะกรรมการโครงการโคบาลบูรพาจังหวัดสระแก้ว พิจารณารับข้อเสนอของสภาเกษตรกรแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการร่วมกัน โดยมีความเห็นเพิ่มเติม เช่น ควรพิจารณาศักยภาพการดำเนินงานและความสามารถชำระหนี้ของสหกรณ์ทั้ง 3 สหกรณ์ และหาแนวทางฟื้นฟูกิจการของสหกรณ์เพื่อให้สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด ควรรวบรวมประเด็นปัญหาและอุปสรรคระหว่างการดำเนินงาน และพิจารณาความสามารถในการคืน ลูกโคและแพะ ตลอดจนความสามารถในการชำระหนี้ของเกษตรกรเป็นรายบุคคลสำหรับใช้จัดกลุ่มเกษตรกร ตามสภาพปัญหาที่แตกต่างกันของเกษตรกรให้เป็นปัจจุบัน
ต่างประเทศ
5. เรื่อง การต่ออายุความตกลงประเทศเจ้าภาพระหว่างไทยกับสหประชาชาติในรูปแบบหนังสือแลกเปลี่ยนสำหรับการฝึกอบรมหลักสูตรกฎหมายระหว่างประเทศระดับภูมิภาคของสหประชาชาติ (United Nations Regional Course in International Law) ประจำปี 2568
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนเพื่อต่ออายุความตกลงประเทศเจ้าภาพระหว่างรัฐบาลไทยกับสหประชาชาติ ปี 2560 (หนังสือแลกเปลี่ยนฯ) ที่แก้ไขเพิ่มเติม ปี 2565 สำหรับการฝึกอบรมหลักสูตรกฎหมายระหว่างประเทศระดับภูมิภาคของสหประชาชาติ (United Nations Regional Course in International Law) (การฝึกอบรมฯ) ประจำปี 2568 (ร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ประจำปี 2568) ระหว่างวันที่ 17 พฤศจิกายน - 10 ธันวาคม 2568
2. อนุมัติให้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ประจำปี 2568 ของฝ่ายไทย ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นจะต้องแก้ไขปรับปรุงหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ปี 2568 ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนการลงนาม ให้ กต. สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง และโดยที่ฝ่ายสหประชาชาติแจ้งว่า ไม่จำเป็นต้องแสดงหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ในกรณีนี้ จึงไม่ต้องจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็มให้ผู้ลงนาม
สาระสำคัญของเรื่อง
1. คณะรัฐมนตรีมีมติ (27 มิถุนายน 2560) อนุมัติให้จัดทำความตกลงระหว่างไทยกับสหประชาชาติในรูปแบบของหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ประจำปี 2560 สำหรับการจัดฝึกอบรมฯ ระหว่างวันที่ 20พฤศจิกายน - 15 ธันวาคม 2560 ณ กรุงเทพมหานคร รวมทั้งกำหนดให้สหประชาชาติและไทยอาจตกลงกันเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อขยายความตกลงฉบับนี้ให้ครอบคลุมถึงการฝึกอบรมหลักสูตรกฎหมายระหว่างประเทศระดับภูมิภาคที่จะจัดขึ้นที่ประเทศไทยในปีต่อ ๆ ไปได้
2. คณะรัฐมนตรีมีมติ (25 กันยายน 2561 24 เมษายน 2562 30 สิงหาคม 2565 24 ตุลาคม 2566 และ 29 ตุลาคม 2567) เห็นชอบหนังสือแลกเปลี่ยนฯ สำหรับการจัดฝึกอบรมฯ ประจำปี 2561 - 2562 และ 2565 - 2567 ตามลำดับ [สำหรับปี 2563 และปี 2564 เป็นช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) (โรคโควิด - 19) จึงไม่มีการจัดฝึกอบรม] และได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมในหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ประจำปี 2565 โดยปรับเพิ่มข้อความที่เกี่ยวกับการเลื่อนหรือยกเลิกการฝึกอบรมฯ ในกรณีที่มีสภาวการณ์และข้อห่วงกังวลที่เกิดจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19 (มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2565) โดยหนังสือแลกเปลี่ยนฯ มีเนื้อหาที่สอดคล้องกับแนวปฏิบัติที่ผ่านมาของไทยมาโดยตลอด รวมทั้งมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2561 ได้อนุมัติในหลักการให้ต่ออายุความตกลงประเทศเจ้าภาพได้ หากสหประชาชาติทาบทามให้ไทยร่วมเป็นเจ้าภาพในปีต่อ ๆ ไป โดย กต. จะเสนอความตกลงประเทศเจ้าภาพเพื่อให้คณะรัฐมนตรีพิจารมาให้ความเห็นชอบ เมื่อทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้ ในเนื้อหาและถ้อยคำเรียบร้อยแล้ว
3. ที่ผ่านมา กต. เคยร่วมเป็นเจ้าภาพจัดการฝึกอบรมฯ ประจำภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก มาแล้วหลายครั้ง ครั้งล่าสุดคือปี 2567 โดยมีผู้เข้าร่วมฝึกอบรมจากภูมิภาคฯ และจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ของไทย ซึ่งทุกครั้งประสบความสำเร็จด้วยดีและได้รับคำชื่นชมจากสหประชาชาติและผู้แทนของหลายประเทศที่เข้าร่วม
4. ในปี 2568 สหประชาชาติได้ทาบทามประเทศไทยผ่านคณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เพื่อเป็นเจ้าภาพร่วมจัดการฝึกอบรมฯ เช่นที่เคยจัดเมื่อปีอื่นๆ ที่ผ่านมา กต. และสำนักงานกฎหมายสหประชาชาติจึงได้ร่วมกันพิจารณายกร่างหนังสือแลกเปลี่ยน เพื่อขอต่ออายุความตกลงประเทศเจ้าภาพขึ้น โดยสหประชาชาติได้มีหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ประจำปี 2568 ถึงฝ่ายไทย กต.จึงได้จัดทำร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ประจำปี 2568 ฉบับฝ่ายไทย เพื่อตอบหนังสือแลกเปลี่ยนฉบับดังกล่าว โดยมีสาระสำคัญเป็นการยอมรับในการต่ออายุความตกลงการฝึกอบรมระดับภูมิภาค ซึ่งมีกำหนดจะขึ้นที่กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม 2568
ทั้งนี้ กต. แจ้งว่า ร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ประจำปี 2568 เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแต่ไม่เข้าข่ายวรรคสองและวรรคสามของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา
ประโยชน์ที่ได้รับ
1. การดำเนินความร่วมมือกับสหประชาชาติในการจัดการฝึกอบรมอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากเป็นการสนับสนุนการดำเนินนโยบายด้านการต่างประเทศของไทยในเวทีพหุภาคีแล้ว ยังจะเป็นประโยชน์ในการเสริมสร้างบุคลากรที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศของไทยและต่างประเทศผ่านการถ่ายทอดองค์ความรู้การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และการสร้างเครือข่ายระหว่างนักกฎหมายระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชีย – แปซิฟิกด้วยกัน
2. การเป็นเจ้าภาพจัดการฝึกอบรมฯ อย่างสม่ำเสมอจะยกระดับให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านกฎหมายระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก ตลอดจนสะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมืออันดีระหว่างไทยกับสหประชาชาติ ซึ่งจะส่งเสริมบทบาทและภาพลักษณ์ของไทยในเวทีระหว่างประเทศ
6. เรื่อง การจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมความร่วมมือระหว่างประเทศกับ Camões - Instituto da Cooperação e da Língua, L.P. ด้านความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระดับไตรภาคีในประเทศที่สาม
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้
ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมความร่วมมือระหว่างประเทศกับ Camões - Instituto da Cooperação e da Língua, I.P. (สถาบัน Camões)* ด้านความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระดับไตรภาคีในประเทศที่สาม (ร่างบันทึกความเข้าใจฯ) ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ และ/หรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้ กต. สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสม โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง International Meeting on Triangular Cooperation ครั้งที่ 9 ณ กรุงลิสบอน สาธารณรัฐโปรตุเกส (โปรตุเกส) ในวันที่ 29 ตุลาคม 2568]
สาระสำคัญ
กต. (กรมความร่วมมือระหว่างประเทศ) และสถาบัน Camões ได้ร่วมกันจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจฯ เพื่อกำหนดกรอบความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระดับไตรภาคีประเทศที่สาม โดยให้ความสำคัญกับกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาโปรตุเกสในภูมิภาคแอฟริกาและประเทศอื่น ๆ ตามที่ทั้ง 2 ฝ่าย เห็นชอบร่วมกันในสาขาที่ต่างให้ความสนใจและสอดรับกับความต้องการของประเทศที่สาม
ประโยชน์: การจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจฯ สอดรับกับการเพิ่มบทบาทของโปรตุเกส ในการดำเนินงานความร่วมมือด้านการพัฒนาระดับไตรภาคีในภูมิภาคแอฟริกาและประเทศอื่น ๆ โดยมีประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง ซึ่งจะช่วยส่งเสริมบทบาทของไทยในฐานะประเทศผู้ให้ใหม่ในการดำเนินความร่วมมือเพื่อการพัฒนาร่วมกับคู่ร่วมมือต่าง ๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน และเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมความสัมพันธ์ไทย – โปรตุเกส เพื่อกระชับความร่วมมือในทุกระดับ
สถาบัน Camões เป็นสถาบันภาครัฐของโปรตุเกส ภายใต้ กต. โปรตุเกส มีสถานะเป็นนิติบุคคลอิสระทำหน้าที่ส่งเสริมภาษาและวัฒนธรรมโปรตุเกสในระดับสากล รวมถึงประสานงานด้านความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อการพัฒนา ทั้งในรูปแบบของความช่วยเหลือด้านเทคนิค วิชาการ และวัฒนธรรม ปัจจุบันสถาบัน Camões มีเครือข่ายศูนย์ภาษา ศูนย์วัฒนธรรม และความร่วมมือทางวิชาการในกว่า 80 ประเทศทั่วโลก เช่น แองโกลา โมซัมบิก เอธิโอเปีย บราซิล อาร์เจนตินา สหรัฐอเมริกา เยอรมนี สเปน สหราชอาณาจักร จีน อินเดีย เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย
7. เรื่อง การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท สมัยที่ 6
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบองค์ประกอบคณะผู้แทนไทย สำหรับการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท สมัยที่ 6 และเห็นชอบต่อกรอบการเจรจาและท่าทีของประเทศไทย สำหรับการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท สมัยที่ 6 ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขกรอบเจรจาฯ ที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก
สาระสำคัญของเรื่อง
1. การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท สมัยที่ 6 จะร่วมกันพิจารณาแนวทางการจัดการปรอทที่เกี่ยวกับการดำเนินงานของประเทศภาคีสมาชิก ความสัมพันธ์ระหว่างภูมิภาค และความร่วมมือองค์การระหว่างประเทศ ซึ่งจะเกิดผลดีกับประเทศไทยในการแลกเปลี่ยนข้อมูลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับปรอทและสารประกอบปรอทให้เป็นไปตามพันธกรณีของอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท รวมถึงจะรับทราบผลการดำเนินงานของภาคีสมาชิกอื่น ๆ ทั้งในระดับประเทศ ภูมิภาค และทั่วโลก
2. ประเทศไทยได้ให้ภาคยานุวัติ (Accession) ในอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท (Minamata Convention on Mercury) เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2560 ส่งผลให้อนุสัญญาฯ มีผลบังคับใช้กับประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน 2560 เป็นต้นมา อนุสัญญามินามาตะฯ มีจุดมุ่งหมายเพื่อปกป้องสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมจากการปลดปล่อยสู่บรรยากาศ และการปล่อยสู่ดินและน้ำของปรอทและสารประกอบปรอทจากกิจกรรมของมนุษย์ ปัจจุบันมีภาคีสมาชิก 153 ประเทศทั่วโลก และจัดการประชุมรัฐภาคีมาแล้วทั้งสิ้น 5 สมัย (ระหว่างปี พ.ศ. 2560-2568)
3. สำนักเลขาธิการอนุสัญญามินามาตะฯ เชิญประเทศไทยเข้าร่วมการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะฯ สมัยที่ 6 ระหว่างวันที่ 3-7 พฤศจิกายน 2568 ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส โดยจะมีการจัดประชุมกลุ่มย่อย (Contact groups) ตามความจำเป็น
4. องค์ประกอบคณะผู้แทนไทยสำหรับเข้าร่วมการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะฯ สมัยที่ 6 ระหว่างวันที่ 3-7 พฤศจิกายน 2568 ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ประกอบด้วย รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนไทย และผู้แทนกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงการต่างประเทศ
ประโยชน์และผลกระทบ
การเข้าร่วมการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอททุกสมัย ช่วยสนับสนุนให้ประเทศไทยสามารถปรับกลไกและแนวทางการจัดการปรอทและสารประกอบปรอทให้เป็นไปตามหลักสากล โดยอาศัยแบบอย่างอันดีจากประเทศภาคีสมาชิก รวมถึงความร่วมมือระดับภูมิภาคและองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เป็นไปตามพันธกรณีของอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท และความคืบหน้าของมติข้อตัดสินใจจากการประชุมรัฐภาคีของอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท ทุกสมัย นับแต่อนุสัญญามีผลใช้บังคับกับประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560
8. เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อถ้อยแถลงวิสัยทัศน์หลักภายใต้กรอบหุ้นส่วนด้านการปรับตัวของอุตสาหกรรมป้องกันประเทศในภูมิภาคอินโด – แปซิฟิก
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหม (กห.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบต่อถ้อยแถลงวิสัยทัศน์หลักภายใต้กรอบหุ้นส่วนด้านการปรับตัวของอุตสาหกรรมป้องกันประเทศในภูมิภาคอินโด - แปซิฟิก
2. ให้กระทรวงกลาโหมมีหนังสือแจ้งการรับรองถ้อยแถลงวิสัยทัศน์หลักฯ ต่อประธานกรอบหุ้นส่วนด้านการปรับตัวของอุตสาหกรรมป้องกันประเทศในภูมิภาคอินโด - แปซิฟิก
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของถ้อยแถลงวิสัยทัศน์หลักฯ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อสาระสำคัญ ให้กระทรวงกลาโหมพิจารณาดำเนินการได้ตามความเหมาะสม สาระสำคัญ
1. ถ้อยแถลงวิสัยทัศน์หลักฯ เป็นผลลัพธ์จากการหารือในการประชุมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ซึ่งสหรัฐอเมริกาเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมฯ ณ ศูนย์เอเชีย - แปซิฟิก เพื่อการศึกษาด้านความมั่นคง Daniel K. Inouye Asia-Pacific Center for Security Studies (DKI APCSS) เมืองโฮโนลูลู รัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2567 มีผู้แทนหน่วยงานด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของสหรัฐอเมริกา และมิตรประเทศในภูมิภาคอินโด - แปซิฟิก และยูโร - แอตแลนติก เข้าร่วมการประชุมฯ ในส่วนของประเทศไทยมีผู้แทนจากกระทรวงกลาโหมเข้าร่วมการประชุมฯ ในฐานะผู้สังเกตการณ์ โดยที่ประชุมฯ ได้หารือเกี่ยวกับแนวทางในการดำเนินความร่วมมือต่อการพัฒนาโครงสร้างฐานอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ (Defense Industrial Base: DIB) ในอนาคต
2. ถ้อยแถลงวิสัยทัศน์หลักฯ (Statement of Core Vision) สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
2.1 จัดตั้งกลไกการประชุมผู้แทนระดับสูง (Meetings of the Principals) เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศในภูมิภาคอินโด – แปซิฟิก
2.2 เสนอแนวทางขับเคลื่อนความร่วมมือ (Workstream) 3 ด้าน ได้แก่ 1) การผลิต(Production) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตและสร้างความยืดหยุ่นในการรองรับความต้องการด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ 2) ความยั่งยืน (Sustainment) เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านความยั่งยืนเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งและความสามารถในการปรับตัวด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ห่วงโซ่อุปทานตลอดจนระบบนิเวศที่เกี่ยวข้อง และ 3) ความสามารถในการปรับตัวของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Resilience) เพื่อเพิ่มความสามารถในการปรับตัวของห่วงโซ่อุปทาน เชื่อมต่อเครือข่ายระหว่างประเทศเพื่ออำนวยความสะดวกในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ทั้งในภาวะปกติและในภาวะวิกฤต
ประโยชน์และผลกระทบ
การรับรองถ้อยแถลงวิสัยทัศน์หลักฯ เป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับนโยบายด้านการต่างประเทศในการส่งเสริมความสัมพันธ์และสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงกับมิตรประเทศ ตลอดจน ส่งเสริมการสร้างความเข้มแข็งด้านฐานอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทย สนับสนุนการพึ่งพาตนเองและการสร้างหลักประกันด้านความมั่นคงให้กับกองทัพ อีกทั้งยังเป็นโอกาสในการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันโดยการเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศในภูมิภาคอินโด - แปซิฟิก
9. เรื่อง ข้อเสนอแนะกรณีเด็กไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทยเข้ารับการศึกษาในประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอแนะกรณีเด็กไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทยเข้ารับการศึกษาในประเทศไทยตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เสนอ และมอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) เป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว โดยให้กระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) สรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้ง จากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้ติดตามสถานการณ์เด็กไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทยเข้ารับการศึกษาในประเทศไทย ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับปัญหาสถานะบุคคล สิทธิอาศัยอยู่ในราชอาณาจักร รวมถึงด้านสาธารณสุขที่แตกต่างกัน โดยได้แบ่งเด็กต่างด้าวออกเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ (1) เด็กที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน (2) เด็กลูกหลานแรงงานต่างด้าว (3) เด็กที่เดินทางโดยลำพังด้วยเหตุผลทางการศึกษา (4) เด็กที่เดินทางไปกลับตามชายแดน (5) เด็กในพื้นที่พักพิงชั่วคราว ทั้งนี้ กลุ่มที่ (4) และ (5) ได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยงานของรัฐแล้ว สำหรับกลุ่มที่ (1) (2) และ (3) กสม. ได้มีข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน รวมทั้งแก้ไขปรับปรุงกฎหมายกฎ ระเบียบ หรือคำสั่งใดๆ เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนต่อคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้เพื่อมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ เช่น
- ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติประกาศผ่อนผันให้เด็กลูกหลานแรงงาน รวมทั้งเด็กที่เดินทางโดยลำพังด้วยเหตุผลทางการศึกษา ให้อยู่ในราชอาณาจักรได้เป็นการชั่วคราว และกำหนดเขตพื้นที่ควบคุมและอนุญาตให้เด็กที่เดินทางโดยลำพังด้วยเหตุผลทางการศึกษาออกนอกพื้นที่ควบคุมได้ และจัดทำทะเบียนประวัติและออกบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยให้กับเด็กลูกหลานแรงงานต่างด้าว รวมทั้งเด็กที่เดินทางโดยลำพัง ด้วยเหตุผลทางการศึกษา ตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร
- ให้กระทรวงศึกษาธิการจัดให้มีระบบสารสนเทศกำหนดรหัสประจำตัวผู้เรียนในศูนย์การเรียนรู้เด็กต่างด้าวให้ครอบคลุมทั่วประเทศ รวมทั้งประสานส่งข้อมูลของเด็กเหล่านี้ให้กรมการปกครองจัดทำทะเบียนประวัติคนต่างด้าว
- ให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขจัดให้มีระบบประกันสุขภาพให้แก่นักเรียนนักศึกษาต่างด้าว เพื่อให้สามารถเข้าถึงสิทธิด้านบริการสาธารณสุข รวมทั้งให้หารือสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์การขายประกันสุขภาพเพื่อให้ผู้ปกครองนักเรียนนักศึกษาในสถานศึกษาหรือศูนย์การเรียนรู้เด็กต่างด้าวสามารถเลือกซื้อประกันสุขภาพได้ตามความเหมาะสม
10. เรื่อง ข้อเสนอแนะกรณีการดำเนินโครงการฟื้นฟูชุมชนดินแดง (แฟลตดินแดง) กระทบต่อมาตรฐานการครองชีพของผู้อยู่อาศัยเดิม
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอแนะกรณีการดำเนินโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง (แฟลตดินแดง) กระทบต่อมาตรฐานการครองชีพของผู้อยู่อาศัยเดิม ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอและมอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับการเคหะแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว โดยให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์สรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการดำเนินโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง (แฟลตดินแดง) ที่กระทบต่อมาตรฐานการครองชีพของผู้อยู่อาศัยเดิม เช่น การจัดเก็บค่าสาธารณูปโภค ค่าเช่าที่จอดรถ การปรับเพิ่มค่าเช่าร้อยละ 5 หรือในอัตราที่การเคหะแห่งชาติกำหนดทุก 3 ปี โดยประชาชนไม่เห็นด้วยกับการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายและค่าบริหารจัดการตามอัตราที่กำหนด การลดขนาดห้องจากเดิม 42 ตารางเมตร เหลือ 33 ตารางเมตร ซึ่งทำให้ภาระค่าใช้จ่ายด้านที่อยู่อาศัยของผู้เช่าเดิมเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก การแก้ไขปัญหากรณีประชาชนผู้มีรายได้น้อยไม่สามารถจ่ายค่าบริหารจัดการได้ด้วยการส่งต่อไปยังบ้านพักคนชรา มูลนิธิหรือหน่วยงานประชาสงเคราะห์ที่เกี่ยวข้อง และกรณีไม่ได้ให้ประชาชนผู้มีส่วนได้เสียจากโครงการฯ มีส่วนร่วม
ในการจัดการแผงการค้าหรือพื้นที่ประกอบอาชีพ ซึ่งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเห็นว่า กรณีดังกล่าวข้างต้นมีการกระทำและละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน คณะรัฐมนตรีจึงควรพิจารณามอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการ เช่น
|
การดำเนินการ |
หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง |
|
ทบทวนการเรียกเก็บค่าสาธารณูปโภค ค่าเช่าที่จอดรถ และการปรับเพิ่มค่าเช่าห้อง ร้อยละ 5 หรือในอัตราที่การเคหะแห่งชาติกำหนดทุก 3 ปี |
การเคหะแห่งชาติ |
|
ทบทวนและหารือร่วมกับประชาชนผู้อยู่อาศัยเพื่อกำหนดแนวทางการจัดการแผงการค้าและสถานที่ค้าขายให้มีความชัดเจน |
|
|
แก้ไขระเบียบของการเคหะแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดให้มีการปรับอัตราค่าเช่าเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 5 หรือในอัตราที่การเคหะแห่งชาติกำหนดทุก 3 ปี ให้มีการกำหนดเพดานการปรับขึ้นค่าเช่าที่ชัดเจน |
|
|
สำรวจประชาชนที่อาศัยในแฟลตดินแดงซึ่งมีความยากจน มีรายได้ไม่เพียงพอกับการยังชีพเพื่อหามาตรการหรือแนวทางในการช่วยเหลือเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย |
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ |
11. เรื่อง ข้อเสนอแนะกรณีสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานปรับเปลี่ยนลักษณะการจ้างงานในตำแหน่งธุรการโรงเรียนและนักการภารโรงจากลูกจ้างชั่วคราวเป็นการจ้างเหมาบริการ ซึ่งมีลักษณะการจ้างงานที่ไม่เป็นธรรม
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอแนะกรณีสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานปรับเปลี่ยนลักษณะการจ้างงานในตำแหน่งธุรการโรงเรียนและนักการภารโรงจากลูกจ้างชั่วคราวเป็นการจ้างเหมาบริการซึ่งมีลักษณะการจ้างงานที่ไม่เป็นธรรมตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เสนอ และมอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) เป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณสำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว และให้กระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) สรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนกรณีสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานปรับเปลี่ยนลักษณะการจ้างงานในตำแหน่งธุรการโรงเรียนและนักการภารโรง จากลูกจ้างชั่วคราวเป็นการจ้างเหมาบริการซึ่งมีลักษณะการจ้างงานที่ไม่เป็นธรรม เนื่องจากในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่สามารถจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีในหมวดงบบุคลากรและงบดำเนินงานเพื่อสมทบการจ่ายค่าประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทน แต่ได้ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีในหมวดรายจ่ายอื่นไปพลางก่อน ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนสัญญาจ้างเป็นการจ้างเหมาบริการ ส่งผลให้ลูกจ้างได้รับความเดือดร้อนถูกยกเลิกประกันสังคมตามมาตรา 33 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 และกองทุนเงินทดแทน รวมถึงไม่ได้รับสิทธิการลาป่วย การลาพักผ่อน ไม่มีเงินค่าเสี่ยงภัย และได้รับเงินเดือนล่าช้า โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้หารือปัญหาดังกล่าวกับกรมบัญชีกลาง สำนักงาน ก.พ. และสำนักงบประมาณ พร้อมทั้งจัดทำข้อมูล ลักษณะการปฏิบัติงานในตำแหน่งธุรการโรงเรียนและนักการภารโรง และกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหา โดยเสนออัตราบุคลากรเพื่อทำข้อตกลงเป็นลูกจ้างชั่วคราวกับกรมบัญชีกลาง จำนวน 72,207 อัตรา โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มได้แก่ (1) กลุ่มลักษณะงานวิชาการเช่นเดียวกับข้าราชการ จำนวน 44,686 อัตรา (2) กลุ่มนักการภารโรง แม่ครัว จำนวน 27,521 อัตรา ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงาน ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้จัดทำคำของบประมาณประจำปี พ.ศ. 2569 สำหรับการจ้างลูกจ้างเสนอสำนักงบประมาณแล้ว แต่เพื่อเป็นการช่วยเหลือเยียวยาในระยะเร่งด่วนให้แก่ธุรการโรงเรียนและนักการภารโรง คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติจึงมีข้อเสนอแนะให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาจัดสรรงบประมาณสำหรับการจ้างงานลูกจ้างทั้งสองกลุ่มเป็นลูกจ้างชั่วคราวเช่นเดิม พร้อมทั้งสมทบค่าประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทน ระหว่างรอการพิจารณาอนุมัติคำขออัตรากำลังลูกจ้างชั่วคราวจากสำนักงาน ก.พ. ทั้งนี้ เพื่อคุ้มครองสิทธิในการมีรายได้ที่เพียงพอต่อการดำรงชีพและสิทธิแรงงาน ซึ่งข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติดังกล่าวนี้เป็นการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 247 (3) และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. 2560 มาตรา 26 (3) และมาตรา 42 จึงเข้าข่ายลักษณะเรื่องที่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 มาตรา 4 (1)
12. เรื่อง ข้อเสนอแนะในการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าของประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอแนะในการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าของประเทศไทย ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เสนอ และมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว โดยให้กระทรวงสาธารณสุขสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) รายงานว่า สถานการณ์การใช้บุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชน ทำให้เกิดการเสพติดนิโคตินอย่างรุนแรง ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ครอบครัว และสังคมโดยรวม รวมทั้งการจำหน่ายและการใช้บุหรี่ไฟฟ้าอย่างแพร่หลายสะท้อนถึงการขาดประสิทธิภาพในการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า เนื่องจากไทยยังไม่มีกฎหมายและนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าอย่างชัดเจนทำให้เกิดช่องว่างในการบังคับใช้ นอกจากนี้ ยังไม่มีการป้องกันการแทรกแซงของกลุ่มทุนจากการกำหนดนโยบายในการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า จึงมีข้อเสนอแนะเพื่อคุ้มครองสิทธิด้านสุขภาพของประชาชน โดยให้กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเร่งสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับอันตรายหรือผลกระทบของบุหรี่ไฟฟ้าด้วยข้อมูลที่ถูกต้องและรอบด้าน โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชนที่เป็นเป้าหมายของกลุ่มผู้จำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า เร่งพิจารณาแก้ไขพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 ให้มีมาตรการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบให้ครอบคลุมถึงบุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ยาสูบรูปแบบใหม่ รวมถึงควบคุมการผลิต การนำเข้า การจำหน่าย การโฆษณาและการใช้ทั้งในพื้นที่จริงและสื่อออนไลน์ และดำเนินการตามหลักการในมาตรา 5.3 ของกรอบอนุสัญญาขององค์การอนามัยโลกว่าด้วยการควบคุมยาสูบให้มีผลในทางปฏิบัติมากยิ่งขึ้น รวมทั้งเร่งผลักดันให้มีระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อป้องกันการแทรกแซงนโยบายจากธุรกิจบุหรี่ หรือมีมาตรการทางกฎหมายในการป้องกันการแทรกแซงนโยบายจากกลุ่มอุตสาหกรรมยาสูบและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยที่ข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติในเรื่องนี้เป็นการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 247 (3) และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. 2560 มาตรา 26 (3) จึงเข้าข่ายลักษณะเรื่องที่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 มาตรา 4 (1)
13. เรื่อง มาตรการเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตในโครงการจัดหาอาวุธปืนสวัสดิการ
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตในโครงการจัดหาอาวุธปืนสวัสดิการ ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เสนอ และมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย (มท.) เป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง สำนักงานตำรวจแห่งแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ให้ได้ข้อยุติโดยให้ มท. สรุปผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการ/ความเห็นในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ภายใน 30 วัน นับจากวันที่ได้รับแจ้งจาก สลค. เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี
สาระสำคัญของเรื่อง
1. คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) ขอให้นำมาตรการเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตในโครงการจัดหาอาวุธปืนสวัสดิการเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา โดยเห็นควรให้กระทรวงมหาดไทย (มท.) พิจารณาดำเนินการ ดังนี้ (1) การพิจารณาอนุมัติให้หน่วยงานของรัฐ ดำเนินการโครงการจัดหาอาวุธปืนสวัสดิการข้าราชการหรือโครงการในลักษณะเดียวกัน ให้พิจารณาด้วยความรัดกุม คำนึงถึงความจำเป็นและเหมาะสม (2) การต่ออายุโครงการจัดหาอาวุธปืนเป็นสวัสดิการแก่ข้าราชการ (ถ้ามี) ต้องพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายโดยเคร่งครัด และ (3) การผ่อนผันคำสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ 108/2535 เรื่อง จำกัดการออกใบอนุญาตให้บุคคลสั่ง หรือนำเข้าซึ่งอาวุธปืนบางชนิด ลงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2535 ในลักษณะที่จะให้นายทะเบียนท้องที่อนุญาตให้ร้านค้าอาวุธปืนนำเข้าอาวุธปืนสั้น โดยผ่านช่องทางโครงการจัดหาอาวุธปืนสวัสดิการข้าราชการ ต้องพิจารณาให้เท่าที่จำเป็นและต้องดำเนินการ ตามกฎหมายโดยเคร่งครัด
14. เรื่อง ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์แห่งชาติ พ.ศ. 2551
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์แห่งชาติ พ.ศ. 2551 พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปไปได้ และให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีดังกล่าว ที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอมีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์แห่งชาติ พ.ศ. 2551 และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์แห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2566 ที่กำหนดให้มีคณะกรรมการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ซึ่งมีหน้าที่และอำนาจ เช่น 1) เสนอนโยบายยุทธศาสตร์ และมาตรการในการดำเนินงานด้านพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ต่อคณะรัฐมนตรี 2) ให้ความเห็นชอบแก่คณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาและอนุมัติเกี่ยวกับแผนงานหรือโครงการเพื่อดำเนินงานตามนโยบายและแผนการบริหารด้านการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เนื่องจากได้มีการประกาศใช้บังคับพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ พ.ศ. 2558 ซึ่งได้จัดตั้งกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ และกำหนดให้คณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์มีอำนาจหน้าที่ควบคุมดูแลกองทุน และกำหนดนโยบายและมาตรการในการส่งเสริมและพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ซึ่งครอบคลุมหลักการของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีทั้งสองฉบับดังกล่าวแล้ว และเพื่อมิให้เกิดการปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐที่ซ้ำซ้อนกัน
2. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแล้วเห็นชอบด้วย โดยสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นควรให้แก้ไขเพิ่มเติมร่างข้อ 2 เป็น “ระเบียบนี้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป” เพื่อความชัดเจน และสมควรที่คณะรัฐมนตรีจะได้มีมติมอบหมายให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีแต่ละฉบับ เพื่อพิจารณาทบทวนความจำเป็นและเหมาะสมของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีที่มีอยู่ว่าเรื่องใดมีความซ้ำซ้อนกับกฎหมายหรือระเบียบอื่นใดก็ควรเสนอให้ยกเลิกเสีย หรือเรื่องใดมีกลไกที่ไม่เหมาะสมแก่กาลปัจจุบัน ก็สมควรเสนอแก้ไขหรือปรับปรุงให้ทันสมัย เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินมีประสิทธิภาพมากขึ้นและสอดคล้องกับหลักการทบทวนความเหมาะสมของกฎระเบียบตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี
15. เรื่อง (ร่าง) ข้อเสนอเชิงนโยบาย เรื่อง “การแก้ไขปัญหาการจัดการทรัพยากรน้ำระดับชุมชน ผ่านการจัดการทรัพยากรน้ำแบบมีส่วนร่วม และการสร้างกลไกการเข้าถึงงบประมาณเพื่อพัฒนาแหล่งน้ำของชุมชนอย่างยั่งยืน”
คณะรัฐมนตรีมีมติ รับทราบ(ร่าง) ข้อเสนอเชิงนโยบาย เรื่อง “การแก้ไขปัญหาการจัดการทรัพยากรน้ำระดับชุมชน ผ่านการจัดการทรัพยากรน้ำแบบมีส่วนร่วม และการสร้างกลไกการเข้าถึงงบประมาณเพื่อพัฒนาแหล่งน้ำของชุมชนอย่างยั่งยืน” และมอบหมายให้ สทนช. เป็นหน่วยงานหลัก รับเรื่องดังกล่าวไปพิจารณาร่วมกับ กษ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยให้รับความเห็นของ ทส. สงป. สทนช. และ สสน. ไปประกอบการพิจารณาเพื่อดำเนินการตามความจำเป็นเหมาะสมต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
เรื่องนี้สภาเกษตรกรแห่งชาติ (สภช.) นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ (ร่าง) ข้อเสนอเชิงนโยบายเรื่อง “การแก้ไขปัญหาการจัดการทรัพยากรน้ำระดับชุมชน ผ่านการจัดการทรัพยากรน้ำแบบมีส่วนร่วมและการสร้างกลไกการเข้าถึงงบประมาณเพื่อพัฒนาแหล่งน้ำของชุมชนอย่างยั่งยืน” [(ร่าง) ข้อเสนอเชิงนโยบายฯ] โดยมีสาระสำคัญ เช่น การกำหนดให้การบริหารจัดการน้ำโดยชุมชนแบบมีส่วนร่วม เป็นนโยบายหลักในการพัฒนาระดับตำบล โดยกำหนดสัดส่วนงบประมาณการบริหารจัดการน้ำในระดับชุมชนไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 - 10 ของงบประมาณภายใต้แผนงานบูรณาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในแต่ละปี รวมถึงเสนอให้มีการจัดตั้งกองทุนเพื่อการบริหารจัดการน้ำชุมชน เพื่อให้ชุมชนสามารถวางแผนและพัฒนาแหล่งน้ำของตนเองได้อย่างยั่งยืน และให้ สภช. ทำหน้าที่ เป็นหน่วยงานร่วมในการประสานงานระดับพื้นที่ โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตาม (ร่าง) ข้อเสนอเชิงนโยบายฯ ดังกล่าวด้วย ซึ่ง สภช. ในคราวประชุมครั้งที่ 5/2568 เมื่อวันที่ 17 - 18 มิถุนายน 2568 ได้มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว
ทั้งนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) และสำนักงบประมาณ (สงป.) พิจารณาแล้วไม่ขัดข้อง/เห็นควรรับทราบ (ร่าง) ข้อเสนอเชิงนโยบายฯ โดยมีความเห็นเพิ่มเติม เช่น ทส.เห็นควรสนับสนุนงบฯ ในการส่งเสริมให้ประชาชนสามารถใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ เพื่อนำมาใช้ในการบริหารจัดการน้ำของโครงการที่มีอยู่และโครงการก่อสร้างใหม่ พร้อมทั้งจัดทำฐานข้อมูลแผนพัฒนาเกษตรกรรมและผังน้ำชุมชนเพื่อให้การพัฒนาเกษตรกรรมหรือการปลูกพืชผลทางการเกษตรของพื้นที่สอดคล้องกับปริมาณน้ำที่มีอยู่อย่างเหมาะสม และ สงป. เห็นควรมอบหมายให้ สภช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำ (ร่าง) ข้อเสนอเชิงนโยบายฯ เสนอต่อคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเพื่อพิจารณากำหนดให้การแก้ไขปัญหาการจัดการทรัพยากรน้ำระดับชุมชนแบบมีส่วนร่วมในระดับตำบลอยู่ในแผนการจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศให้ครอบคลุมทั้งระบบ รวมทั้งรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในทุกมิติ ขณะที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) มีความเห็นเพิ่มเติมในประเด็นการจัดตั้งกองทุนเพื่อการบริหารจัดการน้ำชุมชน โดย สทนช. เห็นว่าเนื่องจากพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 มิใช่พระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยเรื่องการเงิน จึงมิได้มีบทบัญญัติใดที่ให้อำนาจเกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุนภายใต้พระราชบัญญัติดังกล่าว รวมทั้งระเบียบคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติว่าด้วยมาตรการในการส่งเสริมและสนับสนุนให้ภาคเอกชน ประชาชน และชุมชนที่เกี่ยวข้อง มีส่วนร่วมในการบริหารทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2564 ซึ่งออกตามความในมาตรา 17 (16) แห่งพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 ก็มิได้กำหนดในเรื่องดังกล่าวเช่นกัน ดังนั้น การจัดตั้งกองทุนเพื่อการบริหารจัดการน้ำชุมชนตามที่เสนออาจพิจารณากลไกอื่นของรัฐในการดำเนินการดังกล่าว และ สสน. เห็นว่า ในระยะเริ่มต้นควรเน้นการบูรณาการการดำเนินงานและการใช้ข้อมูลร่วมกันภายใต้กลไกการจัดสรรงบประมาณที่มีอยู่เพื่อให้เกิดผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรมชัดเจนก่อน และเมื่อมีความพร้อมและประสบผลสำเร็จในระดับหนึ่งแล้ว จึงพิจารณาการจัดตั้งกองทุนดังกล่าวภายใต้การหารือร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
แต่งตั้ง
16. เรื่อง การแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เสนอเป็นหลักการมอบหมายให้รัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามความในมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 จำนวน 2 ราย ตามลำดับ ดังนี้
1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
2. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (นางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์) ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ) ได้พิจารณาเห็นชอบด้วยแล้ว
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป
17. เรื่อง การแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อน เร่งรัด และติดตามนโยบายสำคัญของนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ) เสนอ คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 377/2568 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อน เร่งรัด และติดตามนโยบายสำคัญของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี
ตามที่นายกรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 ซึ่งจะแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของประเทศเพื่อคืนความเชื่อมั่นและความสุขให้กับประชาชนใน 5 ด้าน ได้แก่ด้านเศรษฐกิจ ด้านความมั่นคง ด้านสังคม ด้านภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และด้านการบริหารภาครัฐการปฏิรูปกฎหมาย รวม 15 ข้อ นั้น
เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีข้างต้นเป็นไปอย่างมีเอกภาพ นำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ตลอดจนบูรณาการการดำเนินงานของหน่วยงานของรัฐให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11 (6) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 นายกรัฐมนตรีจึงแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อน เร่งรัด และติดตามนโยบายสำคัญของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีโดยมีองค์ประกอบหน้าที่และอำนาจ ดังนี้
1. องค์ประกอบ
1.1 นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ที่ปรึกษา
1.2 รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ (ศาสตราจารย์กิตติคุณ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ)
1.3 รองศาสตราจารย์ วรากรณ์ สามโกเศศ รองประธานกรรมการ
1.4 นายนพพล ชูกลิ่น รองประธานกรรมการ
1.5 นางสาวดาวน้อย สุทธินิภาพันธุ์ รองประธานกรรมการ
1.6 นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ กรรมการ
1.7 เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ กรรมการ
1.8 เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการ
1.9 เลขาธิการคณะรัฐมนตรี กรรมการ
1.10 ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กรรมการ
1.11 เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา กรรมการ
1.12 ผู้อำนวยการสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ กรรมการ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง
1.13 ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กรรมการ
1.14 รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ได้รับมอบหมาย กรรมการ
1.15 รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ที่ได้รับมอบหมาย กรรมการ
1.16 รองปลัดกระทรวงมหาดไทยที่ได้รับมอบหมาย กรรมการ
1.17 รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขที่ได้รับมอบหมาย กรรมการ
1.18 หัวหน้าผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี กรรมการ
1.19 รองเลขาธิการ ก.พ.ร. หรือที่ปรึกษาการพัฒนา กรรมการและระบบราชการที่ได้รับมอบหมายเลขานุการ
1.20 นายอภิชน จันทรเสน กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
1.21 เจ้าหน้าที่สำนักงาน ก.พ.ร. ที่ได้รับมอบหมาย กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
2. หน้าที่และอำนาจ
2.1 ขับเคลื่อน เร่งรัด และติดตามนโยบายสำคัญของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีไปสู่การปฏิบัติจากการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และหน่วยงานอื่นของรัฐในกำกับราชการฝ่ายบริหาร โดยให้ประสานงานกับรัฐมนตรีผู้กำกับดูแลหน่วยงานนั้น หรือประสานงานกับประธานกรรมการในคณะกรรมการซึ่งปฏิบัติงานที่อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานนั้น
2.2 เสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหา/อุปสรรค เพื่อเร่งรัดดำเนินงานให้เป็นรูปธรรมต่อนายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีเพื่อมีคำสั่งหรือมติต่อไป
2.3 ประสานความร่วมมือและเชิญผู้แทนจากส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชนหรือหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือเชิญบุคคลมาชี้แจงข้อเท็จจริง ตลอดจนให้ความเห็นหรือข้อมูล เอกสารหลักฐานที่จำเป็น เพื่อประโยชน์ต่อการดำเนินงานของคณะกรรมการ
2.4 แต่งตั้งคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงาน เพื่อช่วยปฏิบัติงานได้ตามความจำเป็น
2.5 ดำเนินการอื่น ๆ ตามที่นายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย
3. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. เป็นหน่วยงานกลางในการประสาน รวบรวมข้อมูล ความคืบหน้าในการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีจากผู้ประสานงานของแต่ละส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หรือหน่วยงานอื่นของรัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และรายงานผลเพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการ
4. ให้สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (สำนักงาน ป.ย.ป.) สนับสนุนการดำเนินงานของคณะกรรมการตามที่ประธานกรรมการหรือสำนักงาน ก.พ.ร. ร้องขอ
5. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. อำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงานของคณะกรรมการคณะอนุกรรมการ และคณะทำงานที่ได้รับการแต่งตั้งตามคำสั่งนี้
6. การเบิกจ่ายเบี้ยประชุมและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงานของคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ และคณะทำงานที่ได้รับการแต่งตั้งตามคำสั่งนี้ให้เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุมกรรมการ พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม หรือระเบียบของทางราชการแล้วแต่กรณี โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณของสำนักงาน ก.พ.ร.
ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนถึงวันที่คณะรัฐมนตรีชุดใหม่หลังการเลือกตั้งทั่วไปเข้ารับหน้าที่
สั่ง ณ วันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2568
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี