รองผบ.ตร. ปูดข้อมูล! คนถือซิมกว่าพันเบอร์ ซัด'ธปท.-กสทช.' ปล่อยตร.เป็นกระโถนท้องพระโรง

รองผบ.ตร. ปูดข้อมูล! คนถือซิมกว่าพันเบอร์ ซัด'ธปท.-กสทช.' ปล่อยตร.เป็นกระโถนท้องพระโรง

วันพฤหัสบดี ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 16.36 น.

‘รองผบ.ตร.’ ปูดข้อมูลกลางวง ‘กมธ.ตำรวจ’ บางคนถือซิมมือถือกว่าพันเบอร์ จี้รัฐออกกฎหมาย ‘1 คน 1 เบอร์–1 อีแบงค์กิ้ง’ สางแก้ ‘สแกมเมอร์’ เด็ดขาด อัด ‘ธนาคาร–กสทช.’ ไม่รับผิดชอบ ปล่อยโทรหลอกวันละ 96 ล้านครั้ง ตัวเองลอยนวล โอดตำรวจกลายเป็น ‘กระโถนท้องพระโรง’ 

วันที่ 30 ตุลาคม 2568 ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ที่มีน.ส.สุณัฐชา โล่สถาพรพิพิธ ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานกมธ.ฯ เป็นประธานการประชุม ติดตามความคืบหน้าการปฏิรูปตำรวจ ภายหลังการบังคับใช้ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 โดยมีผู้แทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เข้าร่วมชี้แจง


ช่วงหนึ่งของการประชุม พล.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) และอดีตผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ตำรวจไซเบอร์) กล่าวถึงปัญหาสแกมเมอร์ว่า สาเหตุหลักอยู่ที่ 3 หน่วยงานสำคัญคือ ธนาคาร, กสทช. และตำรวจ แต่ประชาชนมักเข้าใจผิดว่าตำรวจต้องรับผิดชอบทั้งหมดทั้งที่เงินอยู่ในระบบธนาคารและโทรศัพท์มือถือของเหยื่อเอง

พล.ต.อ.กรไชย กล่าวว่า เคยเสนอให้กำหนดกฎหมาย 1 คน 1 หมายเลข และ 1 บัญชีอีแบงก์กิ้ง เพื่อควบคุมการโอนเงินที่รวดเร็วเกินไป แต่ข้อเสนอนี้ยังไม่ถูกนำไปปฏิบัติ แม้ ธปท. บอกว่า 1 เบอร์มีแค่ 1 ธนาคาร แต่ของผมเองมีเบอร์เดียวกลับมีถึง 3 ธนาคาร ซึ่งปัจจุบันมีบุคคลธรรมดาถือครองหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่เกิน 1,000 หมายเลขต่อคนโดยซื้อได้ง่ายตามร้านสะดวกซื้อ

ทั้งนี้พบว่า เด็กอายุเพียง 12 ปีก็สามารถเปิดบัญชีอีแบงก์กิ้งได้ และ กสทช. ไม่เคยกำหนดข้อจำกัด จึงเป็นช่องทางให้มิจฉาชีพใช้ซิมและบัญชีม้าโอนเงินหลอกเหยื่อ โดยเฉพาะการใช้เครื่อง  SIM BOXที่ตนเคยจับได้กว่า 200 เครื่องในปี 2565 เครื่องหนึ่งมี 32 ซิม โทรได้วันละ 16,000 ครั้ง เดือนละกว่า 4.8 แสนสายโทร รวมทั้งหมดโทรได้กว่า 96 ล้านครั้งต่อเดือน ซึ่งเป็นเครื่องมือหลักของแก๊งสแกมเมอร์จากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา

“คนที่ถือเบอร์ในไทยมีราว 40 ล้านคน แต่มีคนถูกหลอกกว่า 10 ล้านคน แค่โอนคนละพันบาทก็ทำเงินมหาศาลแล้วปัจจุบันสายโทรหลอกลวงจำนวนมากถูกยิงสัญญาณจากประเทศเพื่อนบ้านไปกลับหลายประเทศก่อนกลับเข้ามาไทยทำให้ติดตามหา IP ได้ยาก” รองผบ.ตร. กล่าว

รอง ผบ.ตร. กล่าวต่อว่า เคยเสนอให้ กสทช. จำกัด 1 คนมีได้ไม่เกิน 5 เบอร์ แต่ผ่านมา 10 ปีก็ยังไม่ดำเนินการ พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลออกกฎหมายบังคับใช้จริง ไม่ใช่แค่ ขอความร่วมมือเช่นกรณีประเทศสิงคโปร์ที่มีบทลงโทษชัดทำให้ไม่มีปัญหาสแกมเมอร์เหมือนไทย ส่วนธนาคาร ถือเป็น ต้นทางของเงิน แต่กลับใช้เวลาตรวจสอบนาน 1–2 เดือน จึงรู้ปลายทางการโอนเงิน ทำให้ยากต่อการติดตาม เช่นกรณีเหยื่อถูกหลอกโอน 7 ล้านบาทในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง 20 นาที หากธนาคารรับแจ้งความได้ทันทีและ บล็อกบัญชี ได้เลย เงินก็ยังคงอยู่ในระบบ แต่ที่ผ่านมาไม่มีการออกกฎหมายบังคับ จึงไม่มีความรับผิดชอบ

พล.ต.อ.กรไชย กล่าวด้วยว่า ธุรกรรมเล็ก ๆ เช่น ซื้อของในเกมออนไลน์ครั้งละ 31 บาท เมื่อรวมตลอดคืนอาจถึง20,000 บาท ทำให้ยอดความเสียหายทั้งระบบสูงถึง กว่า 300 ล้านบาท โดยที่ธนาคารไม่แจ้งความ เพราะมีระบบประกันคุ้มครอง บางคนไม่รู้ตัวเลยว่าถูกดูดเงินออกไปทั้งคืน ดังนั้น ต้องออกกฎหมายบังคับให้ กสทช. และธนาคารร่วมมือกับตำรวจอย่างจริงจัง หากยังปล่อยให้ทุกอย่างพึ่งเพียง คำขอความร่วมมือ สังคมไทยจะไม่มีวันหลุดพ้นจากปัญหาสแกมเมอร์ 

“ลองถามแต่ละบริษัทที่ให้บริการมือถือจะรู้ว่าที่ขายดีที่สุดคือซิมอินเตอร์เน็ต แต่ไม่มีใครกล้าเปิดเผยเพราะมันคือผลกำไร เขาไม่ได้มองความเดือดร้อนของประชาชนแต่มองที่กำไรเท่านั้น โดยไม่มีกฎหมายไปบังคับ เลยปล่อยให้เขาเล่นเอาเถิดกับรัฐบาลและประชาชน แล้วตัวเองออกมาเป็นฮีโร่ ขณะที่ตำรวจกลายเป็นเหยื่อแทน ส่วนคนที่ที่ไปทำงานเป็นสแกมเมอร์แล้วบอกว่าโดนบังคับ ผมบอกได้เลยเดินมา 100 คน มี 99.8% เต็มใจทั้งนั้น ไม่มีใครบังคับหรอก“ พล.ต.อ.กรไชย กล่าว

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top