วันอังคาร ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
            
								พท.ตอก รบ.“อนุทิน” ไม่ผ่าน ซัดสร้างภาพกลบความล้มเหลว ชี้ไปประชุมเอเปคได้แค่ MOU แร่หายากที่น่าสงสัย แซะผลประชุมมีแต่มรดกจาก รบ.เพื่อไทย ไม่มีอะไรเป็นของตัวเอง
วันที่ 4 พฤศจิกายน 2568 เวลา 10.45 น. ที่พรรคเพื่อไทย นายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงหัวข้อ “สร้างภาพ กลบความล้มเหลว นโยบายการต่างประเทศที่ผิดพลาด” โดยตั้งคำถามต่อรัฐบาลในสองประเด็น ได้แก่ การลงนามบันทึกความเข้าใจ (MoU) ด้านแร่หายาก (Rare Earth) และผลงานที่รัฐบาลอ้างจากการประชุมเอเปค ซึ่งทั้งหมดสะท้อนถึงการขาดวิสัยทัศน์ทางการต่างประเทศและความไม่โปร่งใสในการบริหารประเทศว่า พรรคเพื่อไทยเห็นว่าการสำรวจและพัฒนาแหล่งแร่หายากเป็นเรื่องดี เพราะสามารถนำพาไทยเข้าสู่ห่วงโซ่อุตสาหกรรมแห่งอนาคตได้ แต่สิ่งที่รัฐบาลทำกลับขาดทั้งความโปร่งใสและการวางยุทธศาสตร์รอบด้าน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและผลประโยชน์ของชาติ
นายศึกษิษฏ์ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยมองว่าการสำรวจ ศึกษา และพัฒนาแหล่งแร่หายากควรเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การลงทุนระยะยาว เพื่อวางรากฐานของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงและพลังงานสะอาด ขณะเดียวกันต้องควบคู่กับการวางแผนป้องกันผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมอย่างรอบคอบ อย่างไรก็ตาม วิธีดำเนินการของรัฐบาลกลับสร้างผลกระทบในสองด้านหลัก ได้แก่ 1. ความโปร่งใสต่อประชาชนและการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ และ 2.ความน่าเชื่อถือของประเทศและจุดยืนทางภูมิรัฐศาสตร์ในสายตานานาชาติ โดยในด้านความโปร่งใส ปกติเอกสารที่เสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะถูกส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อเวียนขอความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และหลัง ครม.มีมติรับทราบหรือเห็นชอบแล้ว เอกสารดังกล่าวจะถูกปลดชั้นความลับและเผยแพร่ในเว็บไซต์ ยกเว้นกรณีที่มีคำสั่งให้เก็บเป็นความลับ แต่ครั้งนี้ประชาชนกลับมาทราบเรื่องพร้อมกับฝ่ายสหรัฐฯ ที่เป็นผู้เปิดเผยเอกสาร ขณะที่รัฐบาลไทยกลับไม่มีคำชี้แจงใดๆ ประชาชนไม่มีโอกาสถกเถียงข้อดีข้อเสีย หรือผลกระทบของข้อตกลงเลย
นายศึกษิษฏ์ กล่าวต่อว่า ตนพยายามค้นหาข้อมูลจากช่องทางทางการแต่ไม่พบเอกสาร MoU ดังกล่าว และไม่สามารถทราบได้ว่าหน่วยงานใดให้ข้อสังเกต หรือจัดทำแผนป้องกันผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมไว้หรือไม่ ถ้าเอกสารที่ลงนามกับมหาอำนาจยังปิดเป็นความลับต่อประชาชน แล้วจะมีอะไรอีกที่รัฐบาลทำแบบลับๆ ล่อๆ โดยไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ รัฐบาลไม่ได้สานต่อการแก้ปัญหาการปนเปื้อนจากเหมืองแร่ในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งที่รัฐบาลเพื่อไทยเคยเจรจาจัดตั้งคณะทำงานร่วมกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และได้อนุมัติแนวทางฝายดักตะกอน เพื่อควบคุมการปนเปื้อนในลำน้ำชายแดนไว้แล้ว รัฐบาลชุดนี้กลับปล่อยปละละเลย ทั้งที่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อมโดยตรง
“การที่รัฐบาลออกมาระบุว่าสามารถยกเลิก MoU ได้ทุกเมื่อ เป็นการส่งสัญญาณลบต่อสายตานานาชาติ เพราะสะท้อนถึงความไม่มั่นคงทางนโยบาย นี่คือการบอกโลกหรือไม่ว่า ประเทศไทยไม่มีจุดยืน หรือเราเลือกข้างในภูมิรัฐศาสตร์นี้ไปแล้ว ความไม่ชัดเจนและการสื่อสารไม่ตรงกันระหว่างรัฐบาลกับเนื้อหาใน MoU อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรม EV และพลังงานสะอาด ซึ่งต้องอาศัยเสถียรภาพทางนโยบายในระยะยาว สุดท้ายแทนที่ประเทศและประชาชนจะได้ประโยชน์ กลับเสียทั้งความน่าเชื่อถือของรัฐบาลและชื่อเสียงของประเทศ” นายศึกษิษฏ์ กล่าว
นายศึกษิษฏ์ กล่าวว่า ในส่วนของการประชุมเอเปค รัฐบาลพยายามแสดงผลงานเกินจริง ทั้งในเรื่องการดึงดูดการลงทุน การเพิ่มโควตาขายข้าวให้จีน การเป็นเจ้าภาพประชุม World Bank – IMF Annual Meetings และการอ้างว่าประเทศไทยกลับมาสู่เรดาร์ของโลก ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการเดินตามรอยรัฐบาลเพื่อไทย ไม่ใช่ความสำเร็จของรัฐบาลชุดนี้ การดึงดูดการลงทุนเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลเพื่อไทยตั้งแต่สมัยนายเศรษฐา ทวีสิน ต่อเนื่องถึง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกฯ ส่งผลให้ไทยมีมูลค่าการลงทุนสูงสุดในประวัติศาสตร์ ปี 2568 มียอดลงทุนกว่า 795,000 ล้านบาท และปีปัจจุบันมียอดคำขอเกิน 1.14 ล้านล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมใหม่และเชื่อมโยง SMEs เข้าสู่ห่วงโซ่อุปทาน ขณะเดียวกันโควตาขายข้าวให้จีน 500,000 ตัน ก็เป็นผลจากการเจรจาที่ดำเนินต่อเนื่องมาจากสมัยนายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรมว.พาณิชย์
นายศึกษิษฏ์ กล่าวอีกว่า ส่วนการเป็นเจ้าภาพประชุม World Bank–IMF Annual Meetings นั้น เป็นผลจากการหารือของทีมที่ปรึกษาที่บ้านพิษณุโลกในรัฐบาลเพื่อไทย ซึ่งวางแผนยกระดับโลจิสติกส์ควบคู่กับการลงทุนในรถไฟรางคู่และนโยบาย 20 บาทตลอดสาย เพื่อดึงประชาชนเข้าสู่ระบบขนส่งสาธารณะ ถ้ารัฐบาลนี้บอกว่ามีมืออาชีพมาบริหาร ทำไมไม่มีอะไรเสนอเป็นของตัวเองเลย ใช้งบประมาณไปเท่าไร แต่กลับไม่ได้อะไรกลับมา ผลจากการประชุมเอเปคครั้งนี้ สิ่งที่เห็นได้ชัดคือการกลับมาพร้อม MoU แร่หายากที่เต็มไปด้วยข้อสงสัย และการพูดจาผูกมัดเรื่อง Entertainment Complex แทนที่จะมุ่งเน้นความร่วมมือในการปราบปรามทุนสีเทา หรือเร่งเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานขนส่งระหว่างประเทศ
ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่าวิสัยทัศน์ของผู้นำในการเจรจา และกำหนดจุดยืนทางภูมิรัฐศาสตร์ ยังห่างไกลจากคำว่าผ่านหรือสมบูรณ์แบบอย่างมาก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี