วันพุธ ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
‘หนู’ฮึ่ม!เอี่ยวสแกมเมอร์ฟันไม่เลี้ยง
ไม่ติดหนี้บุญคุณใคร
ไม่ไว้หน้านักการเมือง-คนดัง
ใครทำผิดกฎหมายไม่มีละเว้น
พท.ได้ทีรุมขย้ำ/จี้แก้ปัญหา
นายกฯเปิดประชุมหัวหน้าตำรวจอาเซียน ครั้งที่ 43 ตอกย้ำความเป็นผู้นำปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ในภูมิภาค พร้อมเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงร่วมกับทุกประเทศ เพื่อภูมิภาคอาเซียนที่มั่นคงและรุ่งเรือง ระบุจับตากลุ่มบุคคลมีชื่อเสียง-นักการเมือง เอี่ยวอาชญากรรมออนไลน์แบบปิดชื่อดูพฤติกรรม ไม่มีใครรอด ลั่นไม่ติดหนี้บุญคุณใคร ลุยจับดำเนินคดีมาแล้วหนุนส่งตำรวจดูงานปราบ“สแกมเมอร์เขมร”ด้าน รมว.ยุติธรรมชี้ข้อมูลยังไม่ชัด7รายชื่อนักการเมืองเอี่ยวสแกมเมอร์ ส่วนกรณี“นักการเมืองช.” เตรียมประสาน ตำรวจ ภ.9-ผู้การฯสงขลา ให้ข้อมูลสำคัญ
เมื่อเวลา009.00 น.วันที่ 4 พฤศจิกายน 2568 ที่ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมแกรนด์ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมหัวหน้าตำรวจอาเซียน ครั้งที่ 43 (The 43rd ASEAN Chiefs of National Police – ASEANAPOL) ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นเจ้าภาพจัดขึ้น ภายใต้หัวข้อ “ร่วมมือปฏิบัติการ: ปราบปรามการหลอกลวง ขัดขวางการฉ้อโกง และปกป้องประชาชน” หรือ “Collaboration in Action: Crushing Scam, Disrupting Fraud, and Protecting People” ระหว่างวันที่ 3-7 พฤศจิกายน 2568 โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับอาวุโสจากประเทศสมาชิกอาเซียน คู่เจรจา และผู้สังเกตการณ์จากหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายระหว่างประเทศ เข้าร่วมมากกว่า 200 คน โดย ในพิธีเปิดฯ ผู้เข้าร่วมประชุมได้ร่วมยืนสงบนิ่งถวายความอาลัย น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
ยินดีติมอร์-เลสเต้ร่วมเป็นสมาชิกใหม่
นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมประชุม โดยแสดงความยินดีที่ไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ASEANAPOL ครั้งนี้ พร้อมขอบคุณผู้แทนจากประเทศสมาชิกอาเซียนที่ร่วมกันแสดงเจตนารมณ์ในการเสริมสร้างสันติภาพ ความมั่นคง และความร่วมมือในภูมิภาค รวมถึงกล่าวแสดงความยินดีต่อ ติมอร์-เลสเต ในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกใหม่ของอาเซียนอย่างเป็นทางการ ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ของภูมิภาค
ยกการประชุมครั้งนี้สำคัญอย่างยิ่ง
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การประชุมในครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะอาชญากรรมข้ามชาติได้ทวีความซับซ้อนและส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง ทั้งการค้ายาเสพติด การค้ามนุษย์ อาชญากรรมทางไซเบอร์ การหลอกลวงข้ามชาติ และการหลอกลวงออนไลน์ ซึ่งทำลายเสถียรภาพของสังคม สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจ และกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน รวมถึงธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมายข่าวร้ายคือ ปัญหาดังกล่าวทำให้ภูมิภาคอาเซียนกลายเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของกลุ่มอาชญากรรมเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่ายินดีคือ ประเทศสมาชิกอาเซียนต่างตระหนักถึงปัญหา รับรู้ถึงความท้าทาย และมีความตั้งใจร่วมกันที่จะดำเนินการทุกวิถีทาง เพื่อให้ภูมิภาคอาเซียนกลับมาปลอดภัยอีกครั้ง
ไทยมุ่งเป็นผู้นำปราบอาชญากรรมข้ามชาติ
นอกจากนี้ ประชาคมโลกยังได้เข้ามามีส่วนร่วมอย่างจริงจังในการต่อสู้กับอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเมื่อเดือนที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของไทยได้ลงนามในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ พร้อมกับอีก 67 ประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ ในการประชุมสหภาพรัฐสภาโลก (Inter-Parliamentary Union) ยังได้หยิบยกประเด็น “การหลอกลวงและอาชญากรรมทางไซเบอร์” มาหารือในฐานะวาระเร่งด่วน โดยมีประเทศไทยเป็นผู้เสนอประเด็นดังกล่าว สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทยไม่เพียงต้องการเข้าร่วม แต่ต้องการเป็นผู้นำ และการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติจำเป็นต้องดำเนินการอย่างจริงจังและเป็นระบบร่วมกัน
สร้างความมั่นคงและรุ่งเรืองร่วมกัน
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการประชุมสุดยอดอาเซียนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงของภูมิภาค ทั้งในด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรอง การฝึกอบรมร่วม และการพัฒนากลไกประสานงานเพื่อรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่จากอาชญากรรมข้ามชาติ โดยประเทศไทยได้ประกาศให้ “การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ” เป็นวาระแห่งชาติ และเชื่อมั่นว่าการแก้ไขปัญหานี้ต้องอาศัยแนวทางแบบองค์รวมและบูรณาการ
นายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า การประชุม ASEANAPOL ครั้งนี้ ถือเป็นเวทีสำคัญในการแลกเปลี่ยนแนวทางปฏิบัติที่เป็นเลิศ และร่วมกันพัฒนากรอบความร่วมมือเชิงรูปธรรม เพื่อเสริมสร้างศักยภาพร่วมกันในการรับมือกับอาชญากรรมข้ามชาติในทุกมิติ พร้อมเชิญชวนให้ผู้เข้าร่วมประชุมเสนอแนวคิดใหม่ ๆ ที่จะเป็นทิศทางเชิงกลยุทธ์ให้กับความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิก เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายร่วมกัน คือ “ความมั่นคงและความรุ่งเรืองของภูมิภาคอาเซียนและประชาคมโลกโดยรวม”
ทุกหน่วยงานทำหน้าที่อย่างเต็มที่
เวลา 10.15น.นายอนุทิน เปิดเผยหลังเป็นประธานเปิดการประชุมหัวหน้าตำรวจอาเซียนครั้งที่ 43 (The 43rd ASEANAPOL Conference) ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพเน้นอาชญากรรมทางออนไลน์ และอาชญากรรมทางเทคโนโลยี รวมถึงการค้ามนุษย์ ไซเบอร์สแกมเมอร์ เป็นเรื่องที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ได้บรรจุเรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งในวันนี้เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นชัดอีกครั้งหนึ่งว่า รัฐบาลไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ทำงานด้านนี้ไม่ได้ทำอยู่ฝ่ายเดียว ยังหาความร่วมมือในประเทศภูมิภาคอาเซียนและยืนยันว่า ทุกหน่วยงานจะทำหน้าที่ด้วยความเด็ดขาดและเข้มงวด
ยันทำงานต่อเนื่องมาโดยตลอด
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมามีการยึดทรัพย์บุคคลที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก พร้อมดำเนินคดีอีกหลายข้อหา ซึ่งทำอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ต้องขอความเข้าใจจากประชาชน บางทีเห็นการนำเสนอข่าว การพาดหัวข่าวว่า ไม่ได้ทำ ไม่ได้ใส่ใจ เรื่องนี้ไม่ใช่ ซึ่งทำมาตลอด ไม่ใช่เฉพาะสองเรื่องนี้ ยังมีการปราบปรามอาชญากรรมยาเสพติด บ่อนการพนัน ทุก ๆ เรื่องที่ทำให้เกิดปัญหาของสังคมสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เท่าที่ตนทำงานร่วมกันมาและในฐานะที่รู้จักกันมานาน เป็นเพื่อนกันหมด แถวนี้ ก็ได้เห็นทุกท่านปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็ง ซื่อสัตย์สุจริต และเต็มความสามารถ เรื่องพวกนี้เราปล่อยปละละเลย ย่อหย่อน เห็นแก่พวก ไม่มี มันอยู่เหนือความสัมพันธ์ใดๆ อยู่เหนือความต้องการผลประโยชน์ใด ๆ แต่เป็นเรื่องของประเทศชาติและความปลอดภัยของประชาชนที่ทุกคนไม่มีวันจะยอมให้สิ่งเหล่านี้มาทำลายประเทศและประชาชน
ลั่นไม่ติดหนี้บุญคุณใคร-ทำผิดไม่มียกเว้น
ส่วนการปราบปรามในเรื่องนี้ มักมีบุคคลสำคัญ และนักการเมืองอยู่เบื้องหลังอาชญากรรมเหล่านี้ นายกฯ กล่าวว่า ได้มีการหารือกับผบ.ตร., เลขาธิการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และรมว.ยุติธรรม ซึ่งเดี๋ยวนี้ได้ทำงานปิดชื่อ ดูพฤติกรรม เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงการกระทำผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะไปโดนใครก็จะไม่ยกเว้น ซึ่งต้องทำความเข้าใจว่า เราไม่ได้เป็นหนี้บุญคุณใคร
“พวกผมกินเงินเดือน ภาษีจากประชาชน ดังนั้น การปกป้องหรือคุ้มครอง ทำคุณประโยชน์ให้ ก็คือ คนที่จ่ายภาษี จ่ายเงินเดือนให้กับพวกเรา นั่นก็คือ ประชาชน ขอให้เลิกกังวล เลิกพยายามคิดว่า กระแสข่าวที่ไปเกี่ยวข้องหรือขัดขวางการปราบเรื่องนี้ ขอให้มั่นใจว่าทุกท่านที่ยืนอยู่ตรงนี้ขึ้นมาด้วยความสามารถของตนเองทั้งนั้น ไม่ได้ติดใครหรือมีหนี้บุญคุณที่ต้องชำระใคร นอกจากบุญคุณประเทศ และประชาชนและเป็นหน้าที่ที่พิทักษ์ปกป้องส่วนจะมีการพูดคุยกับกัมพูชาในการเพิ่มมาตรการปราบปรามอย่างไร นายกฯ กล่าวว่า แน่นอนจะต้องพูดคุย และมีการทำงานร่วมกันมาอยู่แล้ว ไม่ได้หยุด ถึงแม้มีปัญหาอยู่ แต่ในปฏิญญาที่ลงนาม เรื่องสแกมเมอร์ เป็นเรื่องหนึ่งใน 4 ข้อที่ได้หารือกับกัมพูชาและเป็นเงื่อนไขที่สองประเทศจะต้องปฏิบัติร่วมกัน” นายอนุทิน กล่าว
หนุนส่งตร.ไทยไปดูงานที่กัมพูชา
ต่อมา เวลา 13.00 น.ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ให้สัมภาษณ์กรณี พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร. เสนอแนวคิดส่งตำรวจไทยไปสังเกตการปราบสแกมเมอร์ที่กัมพูชาว่า ก็ดี เขามีความร่วมมือกันอยู่แล้ว วันนี้ ผบ.ตร.ก็ประชุมตำรวจอาเซียนแล้ว ท่านได้ยกเรื่องสแกมเมอร์ เรื่องค้ามนุษย์และเรื่องยาเสพติดมาเป็นวาระของภูมิภาคนี้
เมื่อถามว่า มีโอกาสที่ไทยจะส่งตำรวจไปที่กัมพูชาหรือไม่ นายอนุทิน ตอบว่า ต้องมีสิครับ สื่อต้องไปถามผบ.ตร. นโยบายของรัฐบาลมีความชัดเจน ให้ตนไปสั่งข้ามหัวใครคงไม่ได้
เมื่อถามย้ำว่าพร้อมสนับสนุนเต็มที่ใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า “ใช่ครับ ทั้งเรื่องของงบประมาณ ทั้งเรื่องการสนับสนุนบูรณาการ ทรัพยากร รัฐบาลก็ทำและรัฐบาลก็รับไปปฏิบัติ”
รมว.ยธ.ชี้ข้อมูล7นักการเมืองยังไม่ชัด
พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์ รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงกรณีที่มีการเปิดข้อมูลว่ามีนักการเมือง 7 คนเกี่ยวกับการฟอกเงินว่ามีจริง และกระทรวงยุติธรรม ได้ดำเนินการตรวจสอบแล้วหรือไม่ ว่ากระทรวงยุติธรรมตรวจสอบแล้ว ยังไม่พบในส่วนของนักการเมืองทั้ง 7 คน แต่บางส่วนที่ดำเนินการตามที่เป็นข่าว ได้ตรวจสอบพบว่ามีการกระทำความผิดจริง โดยวันนี้ (4 พ.ย.) ได้ประสานงานเชิญผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา มาพูดคุย และดูรายละเอียดที่เกิดขึ้นอีกครั้ง รวมถึงได้ประสานไปถึงผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ด้วย
ประเด็น“นักการเมืองช.”ขอเช็คก่อน
เมื่อถามถึงเส้นเงินนักการเมือง ช. ใกล้จะได้ความชัดเจนแล้วหรือไม่ พล.ต.ท.รุทธพล กล่าวว่า ขอไปตรวจสอบก่อน ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงยุติธรรม โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่จับกุมคดีพนันออนไลน์ พบความเสียหาย 35,000 ล้านบาท ซึ่งกรณีที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ต้องตรวจสอบเพิ่มเติม และช่วงบ่ายวันนี้ (4 พ.ย.) หลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะกลับไปดูในรายละเอียดอีกครั้ง
พล.ต.ท.รุทธพล กล่าวด้วยว่า สำหรับเมื่อวานนี้ (3 พ.ย.) เอกอัครราชทูตจีนได้มาพบ ซึ่งให้ความสำคัญกับเรื่องประสานความร่วมมือทางด้านกฎหมาย และสแกมเมอร์ และได้พบกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ซึ่งท่านให้ความสำคัญเรื่องนี้ และให้ความสำคัญการปราบปรามเรื่องนี้อย่างจริงจัง นอกจากนี้ ยังมีโอกาสพบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพูดคุยกันด้วย
ตรวจสอบนักการเมืองที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
เมื่อถามว่า ที่จะมีการเรียกมาดูเป็นการดูคดีทั้งหมด หรือเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับนักการเมือง ช. พล.ต.ท.รุทธพล กล่าวว่า เป็นสำนวนที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองทั้งหมด ซึ่งตนจะเห็นรายละเอียดในช่วงบ่าย
ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้าได้ดูสำนวนแล้วจะมีการรื้อคดีหรือไม่ พล.ต.ท.รุทธพล กล่าวว่า ไม่รื้อ เราไม่มีอำนาจไปรื้อ แต่คงต้องประสานไปยังผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 เพื่อทำให้ถูกต้อง อะไรที่ยังไม่ได้ทำก็ควรต้องทำ
เมื่อถามว่า แสดงว่า 7 รายชื่อ มีตัวตนสามารถยืนยันตัวตนได้หมดแล้วใช่หรือไม่ รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า ในส่วนของ 7 รายชื่อ ตนไม่ยืนยัน ตนจะดูในส่วนที่จะตั้งแนวทางการสืบสวนที่ให้ดีเอสไอดูแล ซึ่ง 7 รายชื่อนี้ได้มีการสอบถามหลายท่านที่พูด ก็ยังไม่มีใครให้ข้อมูลที่ชัดเจนว่าเป็นใคร แต่จะพยายามตรวจสอบในส่วนของนักการเมืองที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เนื่องจากเป็นนโยบายสำคัญหลักของนายกรัฐมนตรีส่วนจะตั้งต้นอย่างไรในเมื่อยังไม่สามารถระบุตัวตนได้ชัดเจนว่าเป็นใครบ้าง
เตรียมประสานบิ๊กตร.ขอข้อมูลสำคัญ
พล.ต.ท.รุทธพล กล่าวว่า ต้องตรวจสอบเรื่องของเส้นเงิน หรือสิ่งที่เกี่ยวข้องต่างๆ และต้องให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย โดยนักการเมือง ช. ก็เป็นที่ทราบกันอยู่แล้ว ปรากฏในข้อเท็จจริงอยู่แล้ว โดยได้ประสานงานไปทางผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 และผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา ที่จะต้องมาพูดคุย สิ่งใดที่ยังไม่ได้ทำก็ควรจะทำ อะไรที่ไม่ถูกต้องก็ควรแก้ไข
พล.ต.ท.รุทธพล กล่าวอีกว่า เรื่องของสแกมเมอร์เป็นปัญหาหลัก ที่ผ่านมาวอร์รูมโดยการกำกับดูแลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สามารถช่วยเหลือเหยื่อที่กำลังจะโอนเงิน ซึ่งต้องยอมรับว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำงานอย่างเข้มแข็ง และมีประสิทธิภาพอย่างมาก หลังจากนี้จะหยิบยกมาเป็นโมเดลการทำงานให้กองบัญชาการตำรวจภูธรทั้ง 9 ภาค มอนิเตอร์ในเรื่องของการโอนเงินบัญชีม้า ซึ่งหากทราบแหล่งที่มาจะสามารถเข้าถึงบัญชี และพูดคุยข้อมูลกับผู้เสียหายได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี