วันอังคาร ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
วันนี้ 11 พฤศจิกายน 2568 เวลา 10.00 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการขอขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ของต่างประเทศภายใต้ความตกลงระหว่างประเทศ พ.ศ. .…
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการขอขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ของต่างประเทศภายใต้ ความตกลงระหว่างประเทศ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้พิจารณาตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาด้วยแล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ร่างกฎกระทรวงการขอขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ของต่างประเทศฯ ที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ เป็นผลสืบเนื่องจาก การเจรจาความตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรป โดยสหภาพยุโรปผลักดันให้ประเทศไทยต้องมีการคุ้มครอง สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ด้วยวิธีการแลกเปลี่ยนรายการระหว่างประเทศคู่เจรจา กระทรวงพาณิชย์ พิจารณาแล้วเห็น ว่า ประเทศไทยยังไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายรองรับวิธีการแลกเปลี่ยนรายการสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ภายใต้ความตกลงระหว่างประเทศเป็นการเฉพาะ จึงได้ยกร่างกฎกระทรวงดังกล่าว อันเป็นเรื่องเร่งด่วนตามนโยบายของรัฐบาลให้บรรลุผลได้ตามกำหนด ซึ่งคาดว่าการเจรจาครั้งถัดไปจะมีขึ้นภายในไตรมาสแรกของปี พ.ศ. 2569 โดยร่างกฎกระทรวงดังกล่าวมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการที่เกี่ยวกับการขอขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ของต่างประเทศด้วยวิธีการแลกเปลี่ยนรายการสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ ภายใต้ความตกลงระหว่างประเทศขึ้นเป็นการเฉพาะ โดยกำหนดขอบเขตการบังคับใช้กฎกระทรวง เพื่อรองรับการขอขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ของต่างประเทศ ภายใต้ความตกลงระหว่างประเทศที่ประเทศไทยอยู่ระหว่างการเจรจากับคู่เจรจาและความตกลงที่มีผลผูกพันแล้ว แต่มีความประสงค์จะขอขึ้นทะเบียนระหว่างกันเพิ่มเติม กล่าวคือ เมื่อประเทศไทยและคู่เจรจามีการสรุปรายการ สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ด้วยวิธีการแลกเปลี่ยนรายการสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ภายใต้ความตกลงระหว่างประเทศเรียบร้อยแล้ว คู่เจรจาแต่ละฝ่ายจะต้องนำรายการที่แลกเปลี่ยนไปดำเนินการตามขั้นตอนของคู่เจรจาอีกฝ่ายสำหรับคู่เจรจาที่จะขอขึ้นทะเบียนในประเทศไทยจะต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ ทางภูมิศาสตร์ พ.ศ. 2546 ในขั้นตอนของการยื่นคำขอ การตรวจสอบคำขอ การประกาศโฆษณาการคัดค้าน การโต้แย้งคำคัดค้าน การขึ้นทะเบียน และการอุทธรณ์ ก่อนนำรายการสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ที่ผ่านกระบวนการดังกล่าวไประบุไว้ในภาคผนวก (Annex) ของความตกลงระหว่างประเทศนั้น ๆ จึงยังไม่มีผลเป็นการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ต่างประเทศอย่างอัตโนมัติ อย่างไรก็ตาม ร่างกฎกระทรวงดังกล่าวได้กำหนดในรายละเอียดบางอย่างแตกต่างจากพระราชบัญญัติคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ พ.ศ. 2546 เช่น การกำหนดช่องทางในการยื่นคำขอหรือคำโต้แย้งคำคัดค้าน การยกเว้นการชำระค่าธรรมเนียมคำขอและยกเว้นการเรียกเก็บเอกสารประกอบการยื่นคำขอหรือคำโต้แย้งคำคัดค้านเป็นภาษาอังกฤษ ผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ที่กำหนดไว้เป็นการเฉพาะ เพื่ออำนวยความสะดวกในดำเนินการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ตามรายการของประเทศคู่เจรจาในทางปฏิบัติได้ โดยหากร่างกฎกระทรวงมีผลบังคับใช้แล้วจะส่งผลให้การขอขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ของต่างประเทศ ด้วยวิธีการแลกเปลี่ยนรายการ มีขั้นตอนการดำเนินการ ดังต่อไปนี้
1.1 คู่เจรจายื่นคำขอขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ ตามที่ได้มีการสรุปรายการสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ด้วยแบบพิมพ์เป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษตามที่อธิบดีกรมทรัพย์สินทาง ปัญญาประกาศกำหนด ผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ ตามข้อ 5 และข้อ 6 แห่ง กฎกระทรวงดังกล่าว (ปัจจุบันยังต้องยื่นคำขอด้วยแบบพิมพ์ภาษาไทยผ่านช่องทางตามปกติ ได้แก่ ยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ กรมทรัพย์สินทางปัญญา หรือสำนักพาณิชย์จังหวัด หรือส่งโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับถึงพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ กรมทรัพย์สินทางปัญญา หรือยื่นผ่านระบบ e-Filing) ทั้งนี้ การยื่นคำขอดังกล่าวได้รับยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียม และเอกสารประกอบ ได้แก่ สำเนา บัตรประจำตัวประชาชน หรือสำเนาหนังสือเดินทาง หรือสำเนาหนังสือรับรองนิติบุคคล และหนังสือแต่งตั้ง ตัวแทนหรือหนังสือมอบอำนาจ ตามข้อ 7 แห่งกฎกระทรวงดังกล่าวด้วย (ปัจจุบัน ต้องชำระค่าธรรมเนียมและยื่นเอกสารประกอบดังกล่าวให้ครบถ้วน)
1.2 ในกรณีจัดทำคำขอเป็นภาษาอังกฤษให้จัดทำคำแปลภาษาไทยของเอกสารประกอบคำขอที่จำเป็นต่อการประกาศโฆษณา ได้แก่ รายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าที่ใช้สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ที่ขอขึ้นทะเบียน ที่ตั้งแหล่งภูมิศาสตร์ และความสัมพันธ์ระหว่างสินค้ากับแหล่งภูมิศาสตร์ ตามข้อ 6 แห่งกฎกระทรวงดังกล่าว (ปัจจุบัน การยื่นเอกสารประกอบคำขอที่เป็นภาษาต่างประเทศต้องจัดให้มีคำแปลภาษาไทยทั้งหมด)
1.3 พนักงานเจ้าหน้าที่และนายทะเบียนยังคงต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ พ.ศ. 2546 ดังนี้
1.3.1 พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบคำขอและรับฟังความเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องในกรณีที่จำเป็น แล้วทำรายงานเสนอความเห็นต่อนายทะเบียน ตามมาตรา 11 และมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ พ.ศ. 2546
1.3.2 นายทะเบียนประกาศโฆษณาเป็นเวลา 90 วัน เพื่อให้ผู้มีส่วนได้เสียคัดค้าน ตามมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ พ.ศ. 2546
1.3.3 กรณีมีการคัดค้านจากผู้มีส่วนได้เสีย ตามมาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ พ.ศ. 2546 คู่เจรจาสามารถยื่นคำโต้แย้งคำคัดค้าน ผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ ตามข้อ 9 แห่งกฎกระทรวงดังกล่าวได้ (ปัจจุบัน ยังต้องยื่นคำโต้แย้งคำคัดค้านด้วยแบบพิมพ์ภาษาไทยด้วยช่องทางตามปกติ)
1.3.4 นายทะเบียนวินิจฉัยคำคัดค้านและคำโต้แย้ง โดยคู่เจรจาสามารถอุทธรณ์คำสั่งได้ ตามมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ พ.ศ. 2546 ประกอบข้อ 11 แห่งกฎกระทรวงดังกล่าว
1.4 เมื่อไม่มีการคัดค้าน หรือมีคำวินิจฉัยหรือคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกคำคัดค้านแล้ว คู่เจรจาทั้งสองฝ่ายจะรวบรวมรายการสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์เพื่อจัดทำเป็นภาคผนวก (Annex) ของความตกลงระหว่างประเทศ และรายการสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ตามภาคผนวก (Annex) จะได้รับความคุ้มครองตั้งแต่วันที่ข้อบทของความตกลงระหว่างประเทศมีผลใช้บังคับ โดยให้นายทะเบียนขึ้นทะเบียน สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ตั้งแต่วันดังกล่าวเป็นต้นไป ตามมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ พ.ศ. 2546 ประกอบกับข้อ 10 แห่งกฎกระทรวงดังกล่าว
1.5 สำหรับกรณีที่ประเทศไทยยุติการเจรจาความตกลงระหว่างประเทศให้ถือว่ามีการถอนคำขอขึ้นทะเบียนโดยอัตโนมัติ ตามข้อ 12 แห่งกฎกระทรวงดังกล่าว
2. การมีหลักเกณฑ์และวิธีการที่เกี่ยวกับการขอขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ของต่างประเทศด้วยวิธีการแลกเปลี่ยนรายการสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ภายใต้ความตกลงระหว่างประเทศขึ้นเป็นการเฉพาะตามร่างกฎกระทรวงนี้ เป็นการรองรับการคุ้มครองสิ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ด้วยวิธีการแลกเปลี่ยนรายการสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ภายใต้ความตกลงระหว่างประเทศที่จะมีขึ้นในอนาคต ซึ่งจะเอื้อให้ประเทศไทยและประเทศคู่เจรจาสามารถสรุปผลการเจรจาจัดทำความตกลงระหว่างประเทศได้โดยราบรื่น อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มโอกาสทางการค้าและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยรวมทั้งเป็นการส่งเสริมอัตลักษณ์ชุมชน โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกร ผู้ผลิตผู้ประกอบการจากสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ไทยที่ได้รับการคุ้มครองและยอมรับในระดับนานาชาติ ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสให้แก่สินค้าท้องถิ่นของไทยมากยิ่งขึ้น อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม
3. กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นต่อร่างกฎกระทรวงดังกล่าวตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 ประกอบกับกฎกระทรวงกำหนดร่างกฎที่ต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นและวิเคราะห์ผลกระทบ พ.ศ. 2565 ข้อ 2 (1) โดยดำเนินการผ่านระบบกลางทางกฎหมาย (ww.law.go.th) และเว็บไซต์กรมทรัพย์สินทางปัญญา (www.ipthailand.go.th) ระหว่างวันที่ 1 – 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 เป็นระยะเวลา 15 วัน โดยมีผู้แสดงความเห็นผ่านระบบกลางทางกฎหมายจำนวน 3 ราย รวมถึงได้จัดทำรายงานสรุปผลการรับฟังความคิดเห็น และรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย โดยได้เผยแพร่เอกสารดังกล่าวผ่านทางช่องทางดังกล่าว
4. กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมทรัพย์สินทางปัญญาได้จัดทำประมาณการ การสูญเสียรายได้และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับตามมาตรา 27 และมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติวินัยทางการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 โดยคาดว่าร่างกฎกระทรวงดังกล่าวจะทำให้ภาครัฐสูญเสียรายได้ค่าธรรมเนียมประมาณ 98,000 บาท อย่างไรก็ตาม สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทยที่ยื่นขอรับความคุ้มครองในประเทศคู่เจรจาผ่านความตกลงระหว่างประเทศ จะได้รับประโยชน์จากการยกเว้น ค่าธรรมเนียมในการขอขึ้นทะเบียนเช่นเดียวกัน
เศรษฐกิจ-สังคม
2. เรื่อง นโยบายและมาตรการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ (กากถั่วเหลืองและปลาป่น)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบตามที่คณะกรรมการนโยบายอาหาร (คณะกรรมการฯ) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบการกำหนดนโยบายและมาตรการนำเข้ากากถั่วเหลืองเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมผลิตเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ คราวละ 3 ปี ตั้งแต่ปี 2569 – 2571 โดยให้คงมาตรการนำเข้ากากถั่วเหลืองเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมผลิตเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ เช่นเดียวกับ ปี 2568 ทุกกรอบการค้าและจากประเทศนอกความตกลง ยกเว้นกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงข้อผูกพันในกรอบระยะเวลา ปี 2569 – 2571 ให้กำหนดนโยบาย
และมาตรการตามข้อผูกพันของกรอบ ปี 2569 – 2571 [ตามข้อ 2.2 (1)]
2. รับทราบการกำหนดนโยบายและมาตรการนำเข้าปลาป่น ปี 2569 [ตามข้อ 2.2 (2)]
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ที่ผ่านมาการผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์ของประเทศไทย (ไทย) โดยเฉพาะกากถั่วเหลืองและปลาป่นยังคงมีปริมาณจำกัด และไม่สามารถรองรับความต้องการบริโภคของอุตสาหกรรมปศุสัตว์ที่มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นได้ทั้งหมด โดยมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย เช่น ปัญหาด้านพื้นที่เพาะปลูกและการขาดแคลนแรงงาน ดังนั้น ไทยจึงมีความจำเป็นต้องนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ (กากถั่วเหลืองและปลาป่น) จากต่างประเทศเพิ่มเติมเป็นประจำทุกปี ประกอบกับไทยมีความต้องการใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ที่มีคุณภาพเพิ่มมากขึ้น เช่น การนำเข้าปลาป่นที่มีโปรตีนมากกว่าร้อยละ 60 เพื่อให้ผลผลิตจากอุตสาหกรรมปศุสัตว์มีคุณภาพดียิ่งขึ้นเป็นไปตามความต้องการของตลาด ดังนั้น คณะกรรมการนโยบายอาหาร (คณะกรรมการฯ) ในคราวประชุม ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2568 [รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในขณะนั้น (นายพิชัย นริพทะพันธุ์) เป็นประธาน] จึงเห็นชอบการกำหนดนโยบายและมาตรการนำเข้ากากถั่วเหลือง (ปี 2569 - 2571) และการกำหนดนโยบายและมาตรการนำเข้าปลาป่น (ปี 2569) โดยให้คงนโยบายและมาตรการนำเข้าเช่นเดียวกับปี 2568 ทุกกรอบการค้าและจากประเทศนอกความตกลง ยกเว้นกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงข้อผูกพันในกรอบระยะเวลาดังกล่าวให้กำหนดนโยบายและมาตรการตามข้อผูกพันของกรอบ ซึ่งถือเป็นการดำเนินการต่อเนื่องจากที่คณะรัฐมนตรีเคยมีมติ (17 ธันวาคม 2567)
2. กระทรวงการคลัง (กค.) โดยกรมศุลกากรได้ออกประกาศที่เกี่ยวข้องกับอัตราภาษีการนำเข้าของวัตถุดิบอาหารสัตว์ และ พณ. (กรมการค้าต่างประเทศ) ได้ออกประกาศและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าและการออกหนังสือรับรองแสดงการรับสิทธิชำระภาษีของวัตถุดิบอาหารสัตว์ ซึ่งจะสิ้นสุดการบังคับใช้ในวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ดังนั้นเพื่อให้อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ อุตสาหกรรมปศุสัตว์และสัตว์น้ำสามารถเตรียมความพร้อมในการจัดหาและวางแผนการนำเข้ากากถั่วเหลืองและปลาป่นให้มีวัตถุดิบอาหารสัตว์เพียงพอ กับความต้องการใช้ภายในประเทศ โดยไม่กระทบต่อการผลิตสินค้าปศุสัตว์และประมงของประเทศ รวมถึงดำเนินการออกประกาศและระเบียบของ พณ. และ กค. ให้มีผลบังคับใช้ได้ทันการนำเข้าในวันที่ 1 มกราคม 2569 คณะกรรมการฯ จึงได้กำหนดนโยบายและมาตรการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ (กากถั่วเหลืองและปลาป่น) ปี 2569 – 2571 ทุกกรอบการค้าและจากประเทศนอกความตกลง ซึ่งคณะกรรมการฯ ในคราวประชุมครั้งที่ 1/2568 (ครั้งที่ 83) เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2568 [รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในขณะนั้น (นายพิชัย นริพทะพันธุ์) เป็นประธาน] ได้มีมติ ดังนี้
2.1 รับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (17 ธันวาคม 2567) ที่ให้ พณ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปติดตามและจัดทำรายงานฯ แล้วให้รายงานผลต่อคณะกรรมการฯ เพื่อพิจารณานโยบายและมาตรการนำเข้ากากถั่วเหลืองในปี 2569 ให้เหมาะสม
2.2 การกำหนดนโยบายและมาตรการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ (กากถั่วเหลืองและปลาป่น) เนื่องจากการผลิตถั่วเหลือง กากถั่วเหลือง และปลาป่นในประเทศ ยังคงไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ในภาคปศุสัตว์และสัตว์น้ำ ประกอบกับการนำเข้ากากถั่วเหลืองต้องมีการวางแผนการนำเข้าล่วงหน้า ดังนั้น เพื่อให้เกิดความมั่นคงทางด้านอาหารคณะกรรมการฯ จึงเห็นชอบการกำหนดนโยบายและมาตรการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ (กากถั่วเหลืองและปลาป่น) ดังนี้
(1) กากถั่วเหลือง พิกัดอัตราศุลกากรประเภทย่อย 2304.00.29 รหัสสถิติ 001 เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมผลิตเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ คราวละ 3 ปี ตั้งแต่ปี 2569 – 2571 เช่นเดียวกับการกำหนดนโยบายและมาตรการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ (ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปลาป่น และกากถั่วเหลือง) ปี 2564 – 2566 [คณะรัฐมนตรีมีมติ (6 ตุลาคม 2563) (ตามข้อ 5.9)] โดยให้คงมาตรการนำเข้ากากถั่วเหลือง ปี 2569 – 2571 เช่นเดียวกับปี 2568 [คณะรัฐมนตรีมีมติ (17 ธันวาคม 2567) (ตามข้อ 2)] ทุกกรอบการค้า และจากประเทศนอกความตกลง ยกเว้นกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงข้อผูกพันในกรอบระยะเวลา ปี 2569 -2571 ให้กำหนดนโยบายและมาตรการตามข้อผูกพันของกรอบ ปี 2569 – 2571 ดังนี้
|
กรอบการค้า |
รายละเอียด |
|
(1) การนำเข้าภายใต้องค์การการค้าโลก World Trade Organization (WTO)] |
- ในโควตา* อัตราภาษีร้อยละ 2 ไม่จำกัดปริมาณและช่วงเวลาการนำเข้า ผู้มีสิทธินำเข้าทั้งสิ้น 11 ราย (เช่น สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย สมาคมผู้ผลิตไก่เพื่อส่งออกไทย สมาคมผู้เลี้ยงเป็ดเพื่อการค้าและการส่งออก สมาคมปศุสัตว์ไทย สมาคมส่งเสริมผู้ใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ สมาคมพ่อค้าพืชผลไทย และสมาคมการค้าสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมแปรรูป) โดย - นอกโควตา อัตราภาษีร้อยละ 119 ไม่จำกัดปริมาณและช่วงเวลาการนำเข้า |
|
(2) เขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) |
ภาษีร้อยละ 0 ไม่จำกัดปริมาณและช่วงเวลาการนำเข้า |
|
(3) ความตกลงการค้าเสรีไทย – ออสเตรเลีย (TAFTA) |
|
|
(4) ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้น ไทย – นิวซีแลนด์ (TNZCEP) |
|
|
(5) การนำเข้าภายใต้ความตกลง หุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ใกล้ชิด ไทย - ญี่ปุ่น (JTEPA) |
- ในโควตา ภาษีร้อยละ 0 - นอกโควตา ภาษีร้อยละ 119 โดยมีการบริหารการนำเข้าตาม WTO |
|
(6) เขตการค้าเสรีอาเซียน - สาธารณรัฐเกาหลี (AKFTA) |
|
|
(7) ความตกลงการค้าเสรี |
|
|
(8) ความตกลงว่าด้วยการค้า ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐ ประชาธิปไตยประชาชนลาว (Laos - Thailand PTA) |
- ในโควตา ภาษีร้อยละ 10 - นอกโควตา ภาษีร้อยละ 119 โดยมีการบริหารการนำเข้าตาม WTO
|
|
(9) ประเทศนอกความตกลง |
ภาษีร้อยละ 6 และค่าธรรมเนียมพิเศษ ตันละ 2,519 บาท |
หมายเหตุ : *ให้ผู้มีสิทธินำเข้าสนับสนุนรับซื้อกากถั่วเหลืองที่ผลิตจากเมล็ดถั่วเหลืองในประเทศของโรงงานสกัดน้ำมันถั่วเหลืองทั้งหมดไม่ต่ำกว่าราคาขั้นต่ำที่กำหนด (ให้กรมการค้าภายในพิจารณาให้สอดคล้องกับราคารับซื้อขั้นต่ำเมล็ดถั่วเหลืองเกรดสกัดน้ำมันที่คณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชกำหนดโดยความเห็นชอบของประธานกรรมการนโยบายอาหาร) โดยทำสัญญาปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าวกับ พณ. และ กษ. และต้องรายงานปริมาณการนำเข้า การจำหน่าย และการใช้กากถั่วเหลืองนำเข้า ตามแบบรายงาน ที่กรมการค้าภายในกำหนดเป็นประจำทุกเดือน
(2) ปลาป่น โปรตีนต่ำกว่าร้อยละ 60 พิกัดอัตราศุลกากร 2301.20.10 ต้องขออนุญาตนำเข้า และปลาป่นโปรตีนร้อยละ 60 ขึ้นไป พิกัดอัตราศุลกากร ประเภทย่อย 2301.20.20ไม่จำกัดปริมาณและช่วงเวลานำเข้า โดยให้คงมาตรการนำเข้าปลาป่น ปี 2569 เช่นเดียวกับปี 2568 [คณะรัฐมนตรีมีมติ (17 ธันวาคม 2567)] ทุกกรอบการค้าและจากประเทศนอกความตกลงยกเว้นกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงข้อผูกพันในกรอบระยะเวลา ปี 2569 ให้กำหนดนโยบายและมาตรการตามข้อผูกพันของกรอบ ปี 2569 ดังนี้
|
กรอบการค้า |
รายละเอียด |
|
(1) เขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) |
ภาษีร้อยละ 0 |
|
(2) เขตการค้าเสรีอาเซียน - จีน (ACFTA) (ยกเว้นเมียนมา) |
|
|
(3) ความตกลงเพื่อจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน - ออสเตรเลีย - นิวซีแลนด์ (AANZFTA) |
|
|
(4) ความตกลงการค้าเสรีไทย - ออสเตรเลีย (TAFTA) |
|
|
(5) ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นไทย - นิวซีแลนด์ (TNZCEP) |
|
|
(6) การนำเข้าภายใต้ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดไทย - ญี่ปุ่น (JTEPA) |
|
|
(7) ความตกลงการค้าเสรีไทย – ชิลี (TCFTA) |
|
|
(8) เขตการค้าเสรีอาเซียน - สาธารณรัฐเกาหลี (AKFTA) |
ภาษีร้อยละ 5 |
|
(9) ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน - ฮ่องกง (AHKFTA) |
- โปรตีนต่ำกว่าร้อยละ 60 ภาษีร้อยละ 3 - โปรตีนร้อยละ 60 ขึ้นไป ภาษีร้อยละ 5 |
|
(10) ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) |
- โปรตีนต่ำกว่าร้อยละ 60 ภาษีร้อยละ 7.5 - โปรตีนร้อยละ 60 ขึ้นไป ภาษีร้อยละ 11.3 |
|
(11) โครงการให้สิทธิพิเศษแก่ประเทศพัฒนาน้อยที่สุดโดยการยกเลิกภาษีนำเข้า และโควตา (DFQF) |
โปรตีนร้อยละ 60 ขึ้นไป ภาษีร้อยละ 0
|
|
(12) ประเทศนอกความตกลง
|
- โปรตีนต่ำกว่าร้อยละ 60 ภาษีร้อยละ 6 - โปรตีนร้อยละ 60 ขึ้นไป ภาษีร้อยละ 15 |
ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เห็นชอบ/ไม่ขัดข้อง โดยมีความเห็นเพิ่มเติม เช่น สศช. เห็นว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรให้ความสำคัญกับการดำเนินโครงการส่งเสริมและพัฒนาการปลูกถั่วเหลืองภายในประเทศอย่างต่อเนื่องทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว รวมทั้งติดตามประเมินผลระดับผลผลิตและผลลัพธ์ระหว่างดำเนินการอย่างเข้มข้น เพื่อสรุปบทเรียนและปรับปรุงแก้ไขการดำเนินงานให้เกิดผลเป็นรูปธรรม
3. เรื่อง แนวทางการบริหารจัดการการนำเข้าสินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2569
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.) เสนอ ดังนี้
1. การกำหนดมาตรการการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ไม่มีกระบวนการผลิตที่เกี่ยวข้องกับการเผา ตามมติ นบขพ. เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2568
2. การกำหนดมาตรการการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายใต้กรอบองค์การการค้าโลก [World Trade Organization (WTO)] ในโควตา และข้าวสาลีสำหรับการผลิตอาหารสัตว์ปี 2569 ตามมติ นบขพ. เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2568
สาระสำคัญของเรื่อง
ที่ผ่านมาการผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์ของประเทศไทย (ไทย) โดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ยังคงมีปริมาณจำกัด และไม่สามารถรองรับความต้องการบริโภคของอุตสาหกรรมปศุสัตว์ได้ทั้งหมด โดยมีเหตุอันเนื่องมาจากหลายปัจจัย เช่น ปัญหาด้านพื้นที่เพาะปลูกและการขาดแคลนแรงงาน ที่ทำให้ไทยมีความจำเป็นต้องนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์จากต่างประเทศเพิ่มเติมเป็นประจำทุกปี เพื่อบริหารจัดการอุปสงค์และอุปทานการผลิตอาหารสัตว์ในประเทศให้เกิดความสมดุล ทั้งห่วงโซ่ ประกอบกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ข้ามพรมแดนโดยส่งเสริมการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศที่ไม่ใช้การเผาควบคู่กับการกำกับดูแลการเผา พื้นที่เพาะปลูกทางการเกษตรในประเทศ รวมถึงเป็นการปรับสมดุลการค้า และลดผลกระทบที่จะเกิดจากนโยบายการค้าของสหรัฐอเมริกา ดังนั้น คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.) จึงขอให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการนำเข้าสินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2569 ซึ่งประกอบด้วย (1) มาตรการนำเข้า ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ไม่มีกระบวนการผลิตที่เกี่ยวข้องกับการเผา (2) การกำหนดมาตรการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายใต้กรอบองค์การการค้าโลก [World Trade Organization (WTO)] ในโควตาและข้าวสาลีสำหรับอาหารสัตว์ โดยต้องรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศปริมาณ 3 ส่วน ต่อการนำเข้า 1 ส่วน และ (3) การกำหนดปริมาณและอัตราภาษีการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายใต้กรอบ WTO โดยให้มีการกำหนดมาตรการดังกล่าวปีต่อปี ดังนี้
|
หัวข้อ |
เดิม (ปี 2568) (เป็นไปตามกรอบ WTO) |
ในครั้งนี้ (ปี 2569) |
|
ผู้นำเข้า |
ให้องค์กรคลังสินค้า (อคส.) เป็นผู้นำเข้าเพียงผู้เดียว |
ให้ อคส. และผู้นำเข้าทั่วไปนำเข้า |
|
อัตราภาษี และปริมาณ |
ในโควตา ร้อยละ 20 ปริมาณ 54,700 ตัน |
ในโควตา ร้อยละ 0 ปริมาณ 1 ล้านตัน |
|
นอกโควตา อัตราภาษีร้อยละ 73 และค่าธรรมเนียมพิเศษ ตันละ 180 บาท ไม่จำกัดปริมาณ |
||
ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เห็นชอบในหลักการ/ไม่ขัดข้อง โดยมีความเห็นเพิ่มเติม เช่น สศช. เห็นว่า กษ. พณ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณาการกำหนดกลไกตรวจสอบย้อนกลับการนำเข้าสินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรโดยเร็วหลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ เพื่อดำเนินการกำหนดแนวทางการตรวจสอบย้อนกลับและการดำเนินงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะทำให้การบังคับใช้มาตรการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ไม่มีกระบวนการผลิต ที่เกี่ยวข้องกับการเผามีความชัดเจน และนำไปสู่การปฏิบัติที่ถูกต้อง
4. เรื่อง มาตรการรักษาเสถียรภาพราคาและส่งเสริมการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2568/69 รวมทั้งนโยบายและมาตรการนำเข้าสินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และวัตถุดิบทดแทน ปี 2569
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.) เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาและส่งเสริมการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2568/69 จำนวน 3 มาตรการ (4 โครงการ) วงเงินงบประมาณทั้งสิ้น 244.50 ล้านบาท ดังนี้
|
โครงการ |
วงเงิน (ล้านบาท) |
|
(1) มาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2568/69 จำนวน 2 โครงการ ดังนี้ (1.1) โครงการชดเชยดอกเบี้ยในการเก็บสต็อกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2568/69 (1.2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปี 2568/69 |
55.00
20.00
35.00 |
|
(2) มาตรการเพิ่มช่องทางการตลาด จำนวน 1 โครงการ ดังนี้ โครงการเพิ่มช่องทางการตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2568/69 |
51.50 51.50 |
|
(3) มาตรการส่งเสริมการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จำนวน 1 โครงการ ดังนี้ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2568/69 |
138.00 138.00 |
|
รวมทั้งสิ้น |
244.50 |
2. รับทราบนโยบายและมาตรการนำเข้าสินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายใต้กรอบความตกลงอื่นนอกเหนือกรอบองค์การการค้าโลก (World Trade Organization: WTO)
สาระสำคัญของเรื่อง
1. นบขพ. ในคราวประชุมครั้งที่ 4/2568 เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2568 ได้มีมติ (1) เห็นชอบนโยบายและมาตรการนำเข้าสินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายใต้กรอบความตกลงอื่นนอกเหนือกรอบองค์การการค้าโลก (World Trade Organization: WTO) และวัตถุดิบทดแทน ปี 2569 และ (2) เห็นชอบมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาและส่งเสริมการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2568/69 จำนวน 4 โครงการ วงเงินงบประมาณทั้งสิ้น 244.50 ล้านบาท ซึ่งการดำเนินโครงการทั้ง 4 โครงการ ถือเป็นการดำเนินการเพื่อให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และผู้ประกอบการค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่มีมาอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการที่ขอเสนอในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์และวิธีการดำเนินงานในลักษณะเช่นเดียวกับในปีที่ผ่านมา (ปีการผลิต 2567/68) โดยมีรายละเอียดที่แตกต่างกันบางประการ เช่น (1) โครงการเพิ่มช่องทางการตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้มีการปรับรูปแบบการดำเนินงาน โดยให้กรมการค้าภายในเป็นหน่วยงานหลักในการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณาและอนุมัติผู้ประกอบการนอกพื้นที่ที่ประสงค์จะเข้าร่วมรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รวมถึงกำหนดจุดรับซื้อในพื้นที่ที่มีความพร้อม เพื่อให้การดำเนินงานเป็นระบบมากขึ้น จากเดิมที่องค์การคลังสินค้า เป็นหน่วยดำเนินงานหลัก (2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ในปีการผลิต 2568/69 ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้มีการปรับอัตราดอกเบี้ยของเงินกู้ตามโครงการ จากเดิม ในปีการผลิต 2567/68 อัตราดอกเบี้ยตามโครงการอยู่ที่ร้อยละ 4.50 ต่อปี เป็น อัตราดอกเบี้ยลูกค้านิติบุคคลชั้นดี (MLR) บวกอัตราชั้นความเสี่ยง (ซึ่งปัจจุบัน MLR เท่ากับร้อยละ 6.125) โดยสถาบันเกษตรกรผู้กู้รับภาระอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ร้อยละ 1 ต่อปี และรัฐบาลสนับสนุนดอกเบี้ยแก่ ธ.ก.ส. ในอัตราร้อยละ 3.50 ต่อปี เป็นระยะเวลาไม่เกิน 12 เดือน เท่าเดิม สำหรับดอกเบี้ยส่วนที่เหลือ ธ.ก.ส. รับภาระเอง ทั้งนี้ ภาระงบประมาณในการดำเนินมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาและส่งเสริมการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปีการผลิต 2568/69 มีวงเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้น จำนวน 244.50 ล้านบาท โดยใช้แหล่งเงินจากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร จำนวน 71.50 ล้านบาท และงปประมาณตามมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 จำนวน 173 ล้านบาท ซึ่งเป็นวงเงินและแหล่งเงินเช่นเดียวกับปีการผลิต 2567/68 ในปีก่อนหน้า
2. กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กระทรวงอุตสาหกรรม และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พิจารณาแล้วเห็นชอบ/เห็นควรอนุมัติ/ไม่ขัดข้อง โดย สศช. และ ธปท. มีความเห็นเพิ่มเติมที่สอดคล้องกันว่า พณ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาตรการ/โครงการในลักษณะดังกล่าวให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการอย่างแท้จริง ควรประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการในปีที่ผ่านมาอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง เพื่อสรุปบทเรียนและใช้เป็นข้อมูลประกอบการปรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการจัดทำลดการพึ่งพางบประมาณภาครัฐ และช่วยให้การใช้งบประมาณมีความคุ้มค่าและเป็นประโยชน์ต่อการออกแบบมาตรการในระยะต่อไป
5. เรื่อง ขออนุมัติขยายระยะเวลาโครงการ โครงการเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา จังหวัดเชียงใหม่ และขออนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ งานจ้างก่อสร้างอุโมงค์ส่งน้ำและอาคารประกอบ พร้อมส่วนประกอบอื่น อุโมงค์ส่งน้ำช่วงแม่แตง - แม่งัด สัญญาที่ 2 โครงการเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา จังหวัดเชียงใหม่
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ ดังนี้
1. ให้ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา จังหวัดเชียงใหม่ (โครงการฯ) จากเดิม 16 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2555-2570) เป็น 20 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2555-2574) ภายใต้กรอบวงเงินโครงการฯ ที่ได้รับอนุมัติไว้เดิม 15,000 ล้านบาท
2. เพิ่มกรอบวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ งานจ้างก่อสร้างอุโมงค์ส่งน้ำและอาคารประกอบ พร้อมส่วนประกอบอื่น อุโมงค์ส่งน้ำช่วงแม่แตง - แม่งัด สัญญาที่ 2 โครงการเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา จังหวัดเชียงใหม่ (งานจ้างก่อสร้างอุโมงค์ส่งน้ำช่วงแม่แตง - แม่งัด สัญญาที่ 2) จากวงเงิน 3,173.63 ล้านบาท เป็นวงเงิน 3,877.50 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 703.87 ลบ.) โดยให้กรมชลประทานใช้วงเงินราคากลาง จำนวน 2,800 ล้านบาท เป็นกรอบวงเงินในการประกวดราคาจ้างก่อสร้าง
3. ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ งานจ้างก่อสร้างอุโมงค์ส่งน้ำช่วงแม่แตง - แม่งัด สัญญาที่ 2 จากเดิมปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 - 2570 เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 – 2574
สาระสำคัญของเรื่อง
เรื่องนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) ขอให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติ ดังนี้
|
หัวข้อ |
จากเดิม |
ขอเสนอในครั้งนี้ |
|
(1) ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการเพิ่มปริมาณน้ำ อนุมัติไว้เดิม 15,000 ล้านบาท |
16 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 – 2571) |
20 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 – 2574) |
|
(2) เพิ่มกรอบวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณงานจ้างก่อสร้างอุโมงค์ส่งน้ำ และอาคารประกอบพร้อมส่วนประกอบอื่น อุโมงค์ส่งน้ำช่วงแม่แตง - แม่งัด สัญญาที่ 2 โครงการฯ (งานจ้างก่อสร้างอุโมงค์ส่งน้ำ ช่วงแม่แตง - แม่งัด สัญญาที่ 2)* |
3,173.63 ล้านบาท |
3,877.50 ล้านบาท โดยให้กรมชลประทาน ใช้วงเงินราคากลาง 2,800 ล้านบาท เป็นกรอบวงเงินประกวด ราคาจ้างก่อสร้าง |
|
(3) ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ งานจ้างก่อสร้างอุโมงค์ส่งน้ำช่วงแม่แตง-แม่งัดสัญญาที่ 2 |
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 - 2570 |
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 - 2574 |
เนื่องจากกรมชลประทานได้บอกเลิกสัญญาเดิมกับผู้รับจ้างที่ไม่สามารถทำงานให้แล้วเสร็จได้ตามเงื่อนไขสัญญาและได้ดำเนินการตรวจสอบปริมาณงานส่วนที่ยังไม่ได้ดำเนินการและงานที่ต้องดำเนินงานซ่อมแซม แก้ไข หรือเพิ่มเติม เพื่อให้งานก่อสร้างแล้วเสร็จตามแบบรูปและรายการละเอียดรวมถึงเพิ่มเติมปริมาณงานเพื่อให้การดำเนินงานก่อสร้างสอดคล้องกับแบบก่อสร้างและสอดคล้อง กับสภาพธรณีวิทยา ดังนี้
(1) เพิ่มรายการงานสำรวจ ตรวจสอบ และซ่อมแซมอุโมงค์ส่งน้ำและอาคารประกอบเดิม เพื่อให้งานก่อสร้างมีความมั่นคงแข็งแรงและปลอดภัย เช่น การเตรียมความพร้อมในการตรวจสอบสภาพอุโมงค์ส่งน้ำด้วยวิธีขุดระเบิด
(2) แก้ไขรูปแบบการติดตั้งท่อเหล็กกล้ำหุ้มด้วยคอนกรีต (Steel Liner) ภายในอุโมงค์และช่วงลอดใต้แม่น้ำปิงเพื่อป้องกันการรั่วซึม
(3) เพิ่มรายการงานและปริมาณงานใหม่ที่ไม่ปรากฏในสัญญาเดิม แต่มีความจำเป็นต้องดำเนินการเพื่อให้สอดคล้องกับแบบก่อสร้าง เช่น งานระบบไฟฟ้า งานระบบป้องกันฟ้าผ่า
และ (4) ทบทวนปริมาณงานส่วนที่เหลือตามรายการสัญญาเดิม เช่น งานอัดฉีดปูนซีเมนต์และงานติดตั้งค้ำยันคานเหล็กโค้ง ซึ่งส่งผลให้ต้องปรับเพิ่มราคากลางสำหรับการจัดหาผู้รับจ้างรายใหม่รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 2,800 ล้านบาท ซึ่งสำนักงบประมาณ (สงป.) พิจารณาแล้วเห็นชอบความเหมาะสมของราคา รายการอุโมงค์ส่งน้ำช่วงแม่แตง - แม่งัด สัญญาที่ 2 ในวงเงิน 2,800 ล้านบาท โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จำนวน 104.51 ล้านบาท ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายแล้ว ส่วนที่เหลือ จำนวน 2,695.49 ล้านบาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 – 2574 และเมื่อรวมกับวงเงินงบประมาณตามสัญญาเดิมที่เบิกจ่ายไปแล้ว จำนวน 1,077.50 ล้านบาทรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 3,877.50 ล้านบาท แต่เนื่องจากการดำเนินการดังกล่าวเป็นการเพิ่มวงเงิน ค่าก่อสร้างและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ซึ่งเกินกว่าวงเงินและระยะเวลา ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้ (เพิ่มขึ้น 703.87 ล้านบาท จากวงเงินเดิม 3,173.63 ล้านบาท ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2558) และมีระยะเวลาเกินกว่าที่ได้รับอนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเดิมเป็นปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 - 2570) จึงขอให้กรมชลประทานนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติการเพิ่มวงเงิน และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการดังกล่าวข้างต้น ประกอบกับสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ พิจารณาแล้วไม่ขัดข้องและให้กรมชลประทานดำเนินโครงการดังกล่าวตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และเร่งรัดการดำเนินการเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนโดยเร็ว พร้อมทั้งรายงานความก้าวหน้าของโครงการให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติทราบ ทุก 6 เดือน
_________________________________
* กษ. แจ้งว่า การเพิ่มวงเงินในครั้งนี้ยังอยู่ภายใต้กรอบวงเงินโครงการฯ เนื่องจากในสัญญาก่อสร้างรายการอื่นๆ ผู้รับจ้างประมูลราคาค่างานก่อสร้างได้ต่ำกว่ากรอบวงเงินค่าก่อสร้างของแต่ละสัญญาประมาณร้อยละ 30 ดังนั้น จึงทำให้วงเงินรวมโครงการฯ ยังอยู่ในกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้เคยอนุมัติไว้
กษ. รายงานว่า
1. ภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการดำเนินโครงการฯ กรมชลประทานได้ดำเนินการก่อสร้างโครงการฯ โดยมีผลงานสะสมรวมร้อยละ 81.63 กรมชลประทานได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง กับการก่อสร้างอุโมงค์ส่งน้ำช่วงแม่แตง - แม่งัด สัญญาที่ 2 ดังนี้
1.1 กรมชลประทานได้ว่าจ้างบริษัท สยามพันธุ์วัฒนา จำกัด (มหาชน) ให้เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างอุโมงค์ส่งน้ำและอาคารประกอบช่วงแม่แตง - แม่งัด สัญญาที่ 2 ตามสัญญาเลขที่ กจ. 22/2559 (สพด.) ลงวันที่ 16 มิถุนายน 2559 โดยมีวงเงินสัญญา 2,134 ล้านบาท อายุสัญญา 1,800 วัน เริ่มนับอายุสัญญาตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน 2559 ครบกำหนดอายุสัญญาวันที่ 27 พฤษภาคม 2564
1.2 ต่อมากรมชลประทานได้มีการอนุมัติแก้ไขสัญญาเพิ่มเติมอีก 3 ครั้ง
โดยขยายระยะเวลาทำงานเพิ่ม 240 วัน ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2565 ครบกำหนดอายุสัญญา วันที่ 28 เมษายน 2566 และกำหนดอัตราค่าปรับร้อยละ 0 ตามสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมโดยผู้รับจ้างจะได้รับการช่วยเหลือกำหนดอัตราค่าปรับร้อยละ 0 จำนวน 827 วัน ตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคม 2564 ถึงวันที่ 1 กันยายน 2566
1.3 เมื่อครบกำหนดอายุสัญญาแล้ว ผู้รับจ้างทำงานก่อสร้างไม่แล้วเสร็จโดยมีผลงานสะสมเพียงร้อยละ 51.050 กรมชลประทานจึงอนุมัติบอกเลิกสัญญากับบริษัท สยามพันธุ์วัฒนา จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2567
2. กรมชลประทานได้พิจารณาตรวจสอบปริมาณงานส่วนที่ยังไม่ได้ดำเนินการและงานที่ต้องดำเนินงานซ่อมแซม แก้ไข หรือเพิ่มเติม เพื่อให้งานก่อสร้างแล้วเสร็จตามแบบรูปและรายการละเอียด รวมถึงมีความจำเป็นต้องเพิ่มเติมปริมาณงานเพื่อให้การดำเนินงานก่อสร้างสอดคล้องกับแบบก่อสร้างและสอดคล้องกับสภาพธรณีวิทยา โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้ 1.เพิ่มรายการงานสำรวจ ตรวจสอบและซ่อมแซมงานอุโมงค์ส่งน้ำและอาคารประกอบที่ ดำเนินงานไปแล้วตามสัญญาเดิม เพื่อให้งานก่อสร้างมีความมั่นคงแข็งแรงและสามารถดำเนินงานก่อสร้างให้แล้วเสร็จได้อย่างปลอดภัย 2. การแก้ไขแบบรูปรายการเพิ่มเติมในการติดตั้ง ท่อเหล็กกล้ำหุ้มด้วยคอนกรีต (Steel Liner) ภายในอุโมงค์ส่งน้ำและช่วงลอดใต้แม่น้ำปิงเพื่อป้องกันการรั่วซึมของแม่น้ำปิงช่วงที่อุโมงค์ส่งน้ำลอดผ่าน เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้สภาพแวดล้อมและสภาพลำน้ำของแม่น้ำปิงเปลี่ยนแปลงไป 3. เพิ่มเติมรายการและปริมาณงานที่ไม่ปรากฏในสัญญาเดิม แต่มีความจำเป็นต้องดำเนินการเพื่อให้สอดคล้องกับแบบก่อสร้าง 4.ทบทวนปริมาณงานส่วนที่เหลือตามรายการ สัญญาเดิม โดยมีความจำเป็นต้องเพิ่มเติมปริมาณงานเพื่อให้การดำเนินงานก่อสร้างสอดคล้องกับสภาพธรณีวิทยา
โดยราคากลางสำหรับการจัดหาผู้รับจ้างรายใหม่รวมทั้งสิ้น 2,800 ล้านบาท ได้คำนวณตามหลักเกณฑ์ราคาค่าก่อสร้างที่เป็นปัจจุบันโดยราคางานที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาวัสดุและราคา น้ำมันปรับสูงขึ้นและมีการเพิ่มเติมปริมาณงานใหม่
3. สงป. พิจารณาแล้วเห็นว่า หากกรมชลประทานได้ตรวจสอบผลงานที่ได้ดำเนินการไปแล้วและปริมาณงานส่วนที่คงเหลือ โดยคำนึงถึงความจำเป็นในการก่อสร้างให้แล้วเสร็จอย่างละเอียดถูกต้องครบถ้วน เป็นไปตามหลักวิศวกรรม และได้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 แล้ว ก็เห็นชอบ ความเหมาะสมของราคา รายการอุโมงค์ส่งน้ำช่วงแม่แตง - แม่งัด สัญญาที่ 2 ในวงเงิน
2,800 ล้านบาท โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จำนวน 104.51 ล้านบาท ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายแล้ว ส่วนที่เหลือ จำนวน 2,695.49 ล้านบาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 – 2574 และเมื่อรวมกับวงเงินงบประมาณตามสัญญาเดิมที่เบิกจ่ายไปแล้ว จำนวน 1,077.50 ล้านบาทรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 3,877.50 ล้านบาท แต่เนื่องจากการดำเนินการดังกล่าวเป็นการเพิ่มวงเงิน ค่าก่อสร้าง และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ซึ่งเกินกว่าวงเงินและระยะเวลา ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้ และมีระยะเวลาเกินกว่าที่ได้รับอนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงขอให้กรมชลประทานนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติการเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 - 2570 เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 – 2574 ตามนัยข้อ 7 (3) ของระเบียบว่าด้วยการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 และเมื่อได้ผลการจัดซื้อจัดจ้างแล้วหากไม่เกินวงเงินที่ สงป. ให้ความเห็นชอบให้แจ้ง สงป. ทราบ
และดำเนินการทำสัญญาก่อหนี้ผูกพันตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ขอให้กรมชลประทานปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ และต่อรองราคาจนถึงที่สุดด้วย ทั้งนี้ กรณีที่บอกเลิกสัญญาและแจ้งให้ผู้รับจ้างรายเดิมเป็นผู้ทิ้งงานดังกล่าว เห็นควรให้กรมชลประทานตรวจสอบและดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
6. เรื่อง ขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 เรื่อง การชะลอการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างหรือเช่าใช้บริการระบบคลาวด์ (Cloud)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) เสนอ ดังนี้
1. การขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 เรื่อง การชะลอการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างหรือเช่าใช้บริการระบบคลาวด์ (Cloud) ดังนี้
1.1 ขอผ่อนผันให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่มีการจัดตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 เพื่อจัดซื้อจัดจ้างหรือเช่าใช้บริการระบบคลาวด์ไว้แล้ว แต่ยังมิได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง หรือที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ ซึ่งกระทรวงการคลัง (กค.) ได้อนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายงบประมาณแล้ว ในระบบ New GFMIS Thai ต่อไปได้อีกไม่เกินหกเดือน ตามหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการขอกันเงินงบประมาณปี พ.ศ. 2568 ไว้เบิกเหลื่อมปี สามารถดำเนินการต่อไปได้
1.2 ขอผ่อนผันให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่มีการจัดตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 เพื่อจัดซื้อจัดจ้างหรือเช่าใช้บริการระบบคลาวด์ไว้แล้ว แต่ยังมิได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง หรือที่อยู่ระหว่างการดำเนินการสามารถดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้หน่วยงานภาครัฐนำข้อกำหนดมาตรฐานและเงื่อนไขสำหรับผู้ให้บริการระบบคลาวด์ ตามมติคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2567 เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2567 ไปประกอบการดำเนินการไปพลางก่อน จนกว่าจะมีข้อกำหนดมาตรฐานและเงื่อนไขสำหรับผู้ให้บริการระบบคลาวด์ฉบับใหม่ และต้องเชื่อมโยงระบบคลาวด์กับระบบบริหารจัดการคลาวด์กลาง (Cloud Management Platforms) ของ ดศ. ได้
2. การจัดซื้อจัดจ้างหรือเช่าใช้บริการระบบคลาวด์ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 ให้ ดศ. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการกำหนดแนวทางจัดหาบริการคลาวด์ที่เหมาะสม ให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 เพื่อการบูรณาการโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล (National Cloud) ของไทย ในรูปแบบการจัดหาแบบรวมศูนย์ (Centralized) ตามมติคณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2568 หรือแบบผสมผสาน (Hybrid) และนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
1. คณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในคราวประชุมครั้งที่ 3/2567 (22 ตุลาคม 2567) ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (14 พฤษภาคม 2567) เกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างหรือเช่าใช้บริการระบบคลาวด์ประจำปีงบประมาณ 2568 โดยให้หน่วยงานภาครัฐนำข้อกำหนดมาตรฐาน และเงื่อนไขสำหรับผู้ให้บริการระบบคลาวด์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 (ตามมติคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2567 เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2567) ไปใช้พลางก่อน จนกว่าจะมีข้อกำหนดมาตรฐานและเงื่อนไขสำหรับผู้ให้บริการระบบคลาวด์ใหม่ ทั้งนี้ กรณีหน่วยงานของรัฐที่มีโครงการจัดซื้อจัดจ้างหรือเช่าใช้บริการระบบคลาวด์ที่ต้องให้บริการต่อเนื่อง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ให้หน่วยงานเสนอคณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ เพื่อพิจารณาอนุมัติผ่อนผันการไม่ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ให้สัญญามีผลย้อนหลังต่อไป
2. ต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติ (26 สิงหาคม 2568) เห็นชอบให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่มีการจัดตั้งงบประมาณเพื่อจัดซื้อจัดจ้างหรือเช่าใช้บริการระบบคลาวด์ไว้แล้ว แต่ยังมิได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง หรือที่อยู่ระหว่างการดำเนินการให้ชะลอการดำเนินการดังกล่าวไว้ก่อน เพื่อรอความชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางการบูรณาการโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล (National Cloud) ของประเทศไทย ตามนโยบายการใช้คลาวด์เป็นหลัก (Cloud First Policy) จาก ดศ. ในฐานะหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล เพื่อให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ ได้นำแนวทางดังกล่าวไปประกอบการพิจารณาดำเนินการที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ให้ ดศ. เร่งจัดทำแนวทางดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยด่วน แล้วให้นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี ภายใน 1 เดือน
3. ดศ. โดยสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) ได้ประชุมหารือเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ร่วมกับผู้แทนหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ สำนักงบประมาณ กรมบัญชีกลาง และ สพร. แล้ว พบว่างบบูรณาการรัฐบาลดิจิทัล ตามแนวทางการผลักดันหน่วยงานภาครัฐให้มีระดับบริการและการดำเนินงานตามนโยบาย Cloud First ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ได้มีการกำหนดให้หน่วยรับงบประมาณขอรับจัดสรรงบประมาณด้านระบบคลาวด์ภายใต้แผนงานบูรณาการรัฐบาลดิจิทัล โดยงบประมาณที่ตั้งไว้ในหน่วยรับงบประมาณใด จะโอนหรือนำไปใช้สำหรับหน่วยรับงบประมาณอื่นมิได้ ตามมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 เว้นแต่การโอนงบประมาณรายจ่ายบูรณาการภายใต้แผนงานเดียวกันในกรณีที่งบประมาณที่ใช้จ่ายหรือก่อหนี้ผูกพันไม่เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ หรือกรณีเป็นงบประมาณเหลือจากการใช้จ่ายหรือดำเนินงานบรรลุวัตถุประสงค์ของรายการที่ได้รับจัดสรรแล้ว ตามข้อ 5 ของระเบียบว่าด้วยการโอนงบประมาณ รายจ่ายบูรณาการและงบประมาณรายจ่ายบุคลากรระหว่างหน่วยรับงบประมาณ พ.ศ. 2562 และที่แก้ไขเพิ่มเติม สำหรับกรณีที่ ดศ. จะดำเนินการจัดหาแบบรวมศูนย์ในลักษณะของการโอนงบประมาณจาก 70 หน่วยรับงบประมาณไปอยู่ที่หน่วยรับงบประมาณหน่วยใดหน่วยหนึ่งเพื่อรวมศูนย์จัดซื้อจัดจ้าง จึงไม่สอดคล้องตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 และระเบียบว่าด้วยการโอนงบประมาณรายจ่ายบูรณาการดังกล่าว
4. ดศ. แจ้งว่า การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (26 สิงหาคม 2568) ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 และ พ.ศ. 2569 ดังนี้
4.1 งบประมาณปี พ.ศ. 2568 การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว จะมีผลกระทบกับหน่วยงานภาครัฐที่มีการจัดตั้งงบฯ เพื่อจัดซื้อจัดจ้างหรือเช่าใช้บริการระบบคลาวด์ไว้แล้ว และเป็นโครงการที่มีการจัดหาระบบคลาวด์ใหม่ซึ่งอยู่ระหว่างกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง เพื่อจัดหาระบบคลาวด์และก่อหนี้ผูกพันไว้ก่อนสิ้นปีงบประมาณ หรืออยู่ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ที่ กค. ได้อนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายงบประมาณแล้วในระบบ New GFMIS Thai ต่อไปได้อีกไม่เกินหกเดือนตามหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการขอกันเงินงบประมาณ พ.ศ. 2568 ไว้เบิกเหลื่อมปี ซึ่งหากไม่สามารถดำเนินการได้ทันตามกำหนดจะไม่สามารถกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีต่อไปได้ (ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2569 ถึงวันที่ 30 กันยายน2569) ทั้งนี้ พบว่า งบประมาณเพื่อจัดซื้อจัดจ้างหรือเช่าใช้บริการระบบคลาวด์ตามพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2568 จำนวนเงินทั้งสิ้น 2,562 ล้านบาท ดำเนินการก่อหนี้ครบถ้วนแล้ว แต่ในส่วนของงบประมาณโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ จำนวน 3 โครงการจำนวนเงินทั้งสิ้น 1,082 ล้านบาท ต้องชะลอการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ได้แก่ โครงการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1 โครงการ วงเงิน 800 ล้านบาท และงบประมาณที่ถูกพับไปจำนวน 2 โครงการ คือ (1) โครงการยกระดับศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านอาชญากรรมออนไลน์ด้วยเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของสำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม วงเงิน 214 ล้านบาท และ (2) โครงการพัฒนาระบบบริการภูมิอากาศอัจฉริยะเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจในภาคเกษตรอย่างยั่งยืนของกรมอุตุนิยมวิทยา วงเงิน 68 ล้านบาท
4.2 งบประมาณปี พ.ศ. 2569 การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว จะมีผลกระทบกับงบประมาณภายใต้แผนงานบูรณาการรัฐบาลดิจิทัล และงบประมาณแหล่งอื่น ซึ่งหน่วยงานภาครัฐมีการจัดตั้งงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการจัดหาระบบคลาวด์แบบต่อเนื่อง โครงการจัดหาระบบคลาวด์ที่ได้ผูกพันสัญญาข้ามปีงบประมาณแล้ว และโครงการจัดหาระบบคลาวด์ที่เป็นการบำรุงรักษาพร้อมระบบงานของหน่วยงาน หากโครงการในลักษณะดังกล่าวต้องชะลอหรือหยุดชะงักอาจส่งผลต่อการให้บริการภาครัฐผ่านระบบ อิเล็กทรอนิกส์สำหรับประชาชน รวมทั้งผลกระทบกับการดำเนินงานตามภารกิจของหน่วยงาน ที่ใช้บริการบนระบบคลาวด์อยู่เดิมแล้ว ทั้งนี้พบว่า งบประมาณเพื่อจัดซื้อจัดจ้างหรือเช่าใช้บริการระบบคลาวด์ ตามพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2569 ต้องชะลอการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว รวมทั้งสิ้น 141 โครงการ จำนวนเงินทั้งสิ้น 5,501 ล้านบาท ได้แก่ (1) งบประมาณภายใต้แผนงานบูรณาการรัฐบาลดิจิทัล จำนวน 74 โครงการ วงเงิน 4,429 ล้านบาท และ (2) งบประมาณนอกแผนงานบูรณาการรัฐบาลดิจิทัล จำนวน 65 โครงการ วงเงิน 1,072 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังรวมถึงงบประมาณของกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ของ สดช. ในโครงการบริการระบบคลาวด์กลางภาครัฐ จำนวน 2 โครงการ รวมวงเงินทั้งสิ้น 1,988 ล้านบาท
4.3 สำหรับการจัดซื้อจัดจ้างหรือเช่าใช้บริการระบบคลาวด์ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 จะเป็นประโยชน์ในการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง หรือเช่าใช้บริการระบบคลาวด์ ตามแนวทางการ บูรณาการโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล (National Cloud) ของประเทศไทยตามนโยบายการใช้คลาวด์เป็นหลัก ทั้งนี้ ดศ. จะต้องดำเนินการรวบรวมคำของบประมาณตามนโยบาย Cloud First ของหน่วยงานภาครัฐ ตั้งแต่กระบวนการจัดทำคำของบประมาณ พ.ศ. 2570 เพื่อกำหนดแนวทางจัดหาบริการคลาวด์ในรูปแบบการจัดหาแบบรวมศูนย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
5. โดยที่เรื่องนี้เป็นการขอทบทวนหรือยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 จึงเข้าลักษณะเรื่องที่นำเสนอคณะรัฐมนตรีได้ตามนัยมาตรา 4 (9) แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548
7. เรื่อง ผลการพิจารณา เรื่อง ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณา เรื่อง ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. …. ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรและสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
กระทรวงวัฒนธรรมได้เสนอผลการพิจารณา เรื่อง ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา (ซึ่งพระราชบัญญัติดังกล่าวประกาศราชกิจจานุเบกษาแล้วเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2568) ซึ่งได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว โดยสรุปผลการพิจารณาที่สำคัญ เช่น 1) การรับฟังความคิดเห็นในการประกาศกำหนดหลักเกณฑ์และ วิธีการสรรหากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ กรรมการผู้แทนชาติพันธุ์ และกรรมการผู้แทนองค์กรพัฒนาเอกชน โดยกระทรวงวัฒนธรรมและศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดทำประกาศรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมว่าด้วยเรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการสรรหากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ โดยจะนำข้อสังเกตของสภาผู้แทนราษฎร เป็นข้อมูลประกอบการจัดทำประกาศต่อไป และจะรับข้อสังเกตของวุฒิสภาไปจัดทำระเบียบหรือข้อบังคับของคณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ให้มีความเหมาะสม ป้องกันไม่ให้เกิดการละเมิดในสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของกลุ่มชาติพันธุ์ 2) การทบทวนปรับปรุงกฎหมายและนโยบายที่เกี่ยวข้อง โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเห็นว่าในอนาคตจะพิจารณาปรับปรุงพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 โดยใส่หลักการของพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. 2568 เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเห็นควรให้มีการจัดทำแผนที่แนบท้ายเพื่อกำกับขอบเขตพื้นที่คุ้มครองสำหรับการประกาศพื้นที่คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ โดยให้คำนึงมาตราส่วนแผนของแผนที่ที่แต่ละหน่วยงานใช้ให้มีความสอดคล้องกัน และควรให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจสอบแผนที่แนบท้ายดังกล่าวด้วย
8. เรื่อง ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ปัญหาและแนวทางการแก้ไขแบบยั่งยืนเกี่ยวกับการโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติ ของคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ปัญหาและแนวทางการแก้ไขแบบยั่งยืนเกี่ยวกับการโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติ ของคณะกรรมาธิการการกฎหมาย
การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอและแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป รวมทั้งให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติจัดตั้งคณะทำงานขึ้นเพื่อศึกษาและพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการกำหนดแนวทางหรือนโยบายในการแก้ไขปัญหาในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร และตามข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
1. กระทรวงมหาดไทยได้เสนอผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ปัญหาและแนวทางการแก้ไขแบบยั่งยืนเกี่ยวกับการโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติของคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งได้พิจารณา ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว โดยสรุปผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯในเรื่องดังกล่าว รวม 4 ประเด็น ดังนี้
1.1 การแก้ไขปรับปรุงกฎหมายและเสนอร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงานได้ใช้กลไกตามกฎหมาย โดยการออกกฎหมายลำดับรองเพื่อออกประกาศหรือคำสั่งให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เช่น กระทรวงแรงงานอาศัยอำนาจตามมาตรา 14 แห่งพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 ออกประกาศผ่อนผันแรงงานต่างด้าวเพื่อให้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายปรับสถานะเข้าสู่ระบบอย่างต่อเนื่อง กรมการปกครองได้ออกประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง หลักเกณฑ์เพื่อเร่งรัดการแก้ไขปัญหาสัญชาติ และการสั่งให้คนที่เกิดในราชอาณาจักรไทย และไม่ได้รับสัญชาติไทย โดยมีบิดาและมารดาเป็นคนต่างด้าว ได้สัญชาติเป็นการทั่วไป และประกาศกรมการปกครองเรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการในการขอมีสัญชาติไทยและการตรวจคุณสมบัติของผู้ขอมีสัญชาติไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการได้เสนอให้หน่วยงานทบทวนกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือข้อบังคับที่ซ้ำซ้อน หรือไม่จำเป็น เพื่อลดขั้นตอนหรือภาระในการดำเนินการที่ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของภาครัฐ ทั้งนี้ การใช้วิธีการดังกล่าวมีทั้งข้อดีเช่น การใช้กฎหมายรองและมาตรามอบอำนาจในกฎหมายแม่บท ส่งผลให้หน่วยงานสามารถตอบสนองต่อปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ลดกระบวนการทางนิติบัญญัติซึ่งใช้เวลานานในการออกกฎหมาย ข้อด้อย เช่น การใช้กฎหมายหลายฉบับอ้างอิงในขั้นตอนการดำเนินการอย่างกระจัดกระจาย ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเกิดความสับสน ขั้นตอนซ้ำซ้อน และเกิดช่องว่างการบังคับใช้และประเด็นที่ควรปรับปรุง เช่น พิจารณายกร่างกฎหมายแม่บทเฉพาะด้านเกี่ยวกับการบริหาร จัดการการโยกย้ายถิ่นฐานไม่ปกติ เพื่อบูรณาการทะเบียนราษฎร แรงงาน และสาธารณสุขให้อยู่ภายใต้กรอบเดียวกัน ลดปัญหากฎหมายแตกย่อย
2. การปรับปรุงกลไกและโครงสร้างการบริหารจัดการประชากรผู้โยกย้ายถิ่นฐานไม่ปกติ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พัฒนากลไกการดำเนินงานตามภารกิจของแต่ละหน่วยงานภายใต้กรอบอำนาจตามกฎหมายเฉพาะด้านนั้น ๆ ซึ่งจำแนกออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ 1) กลไกด้านการคัดกรองและควบคุมความมั่นคง เช่น กลไกคัดกรองระดับชาติ ระบบการควบคุมตัวโดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง 2) กลไกด้านการให้บริการและสิทธิเบื้องต้น ได้แก่ ศูนย์การเรียนรู้สำหรับเด็กต่างด้าว (ปัจจุบันยังไม่มีสถานะตามกฎหมายการศึกษาแห่งชาติ) ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาแนวทางการรองรับและจัดระบบกำกับดูแลอย่างเหมาะสมโดยกระทรวงศึกษาธิการ นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการให้บริการด้านประกันสุขภาพและระบบการแพทย์ชายแดนและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ซึ่งมีบทบาทในการคุ้มครองสิทธิเด็กได้ดำเนินการคุ้มครองสิทธิ โดยเฉพาะเด็กที่อยู่ในกระบวนการคัดกรองหรือเป็นผู้ไม่มีผู้ดูแล 3) กลไกด้านทะเบียนและการจ้างงาน เช่น ระบบเลขประจำตัว 13 หลัก สำหรับบุคคลไร้สถานะโดยกรมการปกครอง และ 4) กลไกการบริหารความมั่นคงชายแดนระดับจังหวัด ซึ่งมีการจัดตั้ง ศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน ทั้งนี้ การพัฒนากลไกการดำเนินงานดังกล่าว มีจุดแข็ง เช่น แต่ละหน่วยงานมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านและสามารถพัฒนากลไกที่ตอบโจทย์ต่อกลุ่มเป้าหมายได้หลากหลาย และจุดอ่อน เช่น โครงสร้างการบริหารจัดการโดยรวมยังขาดศูนย์อำนวยการกลาง ทำให้เกิดความซ้ำซ้อนในบทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการและหน่วยงานต่าง ๆ อีกทั้งยังมีข้อเสนอเชิงนโยบาย เช่น สนับสนุนการจัดตั้งกรมกิจการคนเข้าเมือง สังกัดกระทรวงมหาดไทยให้เป็นหน่วยงานหลักในการบริหารจัดการประชากรผู้โยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติในลักษณะบูรณาการทั้งด้านการคัดกรอง การจดทะเบียนการให้บริการพื้นฐาน การควบคุมทางกฎหมาย และการประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ
3. การเข้าถึงเอกสารแสดงตนสำหรับประชากรผู้โยกย้ายถิ่นฐานไม่ปกติสามารถจำแนกตามระดับการเข้าถึงเอกสารได้ 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) กลุ่มที่ได้รับการขึ้นทะเบียนและมีเอกสารรับรองชั่วคราว เช่น บัตรประจำตัวบุคคลไม่มีสถานะทางทะเบียน ซึ่งออกโดยกรมการปกครอง 2) กลุ่มที่อยู่ระหว่างการคัดกรองสถานะ และ 3) กลุ่มที่ไม่มีเอกสารแสดงตนใด ๆ (ผู้โยกย้ายถิ่นฐานผิดกฎหมายหรือยังไม่เข้าสู่ระบบของรัฐ) ซึ่งหน่วยงานที่มีบทบาทในการจัดทำเอกสารแสดงตนดังกล่าว ได้แก่ กรมการปกครอง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กระทรวงแรงงาน และกระทรวงสาธารณสุข ทั้งนี้ ระบบเอกสารแสดงตนในปัจจุบัน มีจุดแข็งเช่น การจัดให้มีระบบทะเบียนประวัติและเลขประจำตัวประชาชนประเภทพิเศษที่สามารถใช้เข้าถึงบริการของรัฐได้ในบางกรณี และสามารถติดตามตัวบุคคลได้ และจุดอ่อน เช่น ไม่มีมาตรฐานกลางสำหรับการออกเอกสารแสดงตน ทำให้เกิดความซ้ำซ้อนและขาดความสามารถในการใช้งานข้ามหน่วยงาน อีกทั้งยังมีข้อเสนอเชิงนโยบายเกี่ยวกับระบบดังกล่าว เพื่อยกระดับเอกสารแสดงตนให้มีความโปร่งใส บูรณาการ และเคารพหลักสิทธิมนุษยชนอย่างแท้จริง เช่น ควรพัฒนาระบบบัตรแสดงตนชั่วคราวเพื่อการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน สำหรับบุคคลที่อยู่ระหว่างกระบวนการคัดกรอง และบูรณาการระบบเอกสารแสดงตนกับฐานข้อมูลด้านอื่นของภาครัฐ เพื่อให้สามารถใช้เป็นกุญแจหลักในการเข้าถึงบริการของรัฐได้อย่างสมบูรณ์
4. การเข้าถึงสิทธิและบริการขั้นพื้นฐานสำหรับประชากรผู้โยกย้ายถิ่นฐานไม่ปกติ ปัจจุบันประเทศไทยมีมาตรการหลากหลายที่เปิดโอกาสให้ประชากรกลุ่มดังกล่าว สามารถเข้าถึงสิทธิและบริการขั้นพื้นฐานในด้านต่าง ๆ ได้ เช่น ด้านสาธารณสุขกระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักในการให้การดูแลทางด้านการแพทย์และสาธารณสุขแก่คนต่างด้าวทั้งหมดที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม แต่คนต่างด้าวกลุ่มนี้ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่าย ที่เกิดขึ้นเอง ด้านการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการอนุญาตให้เด็กทุกคนมีสิทธิเข้าศึกษาผ่านระบบ G-code ที่ใช้ระบุและติดตามเด็กไร้สถานะ โดยบันทึกข้อมูลไว้ในระบบ ด้านการคุ้มครองทางสังคมกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จัดทำแนวทางการบริหารจัดการกรณีเด็กโยกย้าย ข้ามแดน และด้านแรงงาน กระทรวงแรงงานมีมาตรการผ่อนผันด้านการทำงานแก่แรงงานข้ามชาติที่ยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ เพื่อไม่ให้เกิดการขาดแคลนแรงงานในภาคเศรษฐกิจหลัก ซึ่งระบบการเข้าถึงสิทธิและบริการดังกล่าวมีจุดแข็ง เช่น มีแนวปฏิบัติและนโยบายที่เปิดกว้างในบางมิติต่อกลุ่มเด็กและแรงงานจำเป็นเร่งด่วน และจุดอ่อน เช่น สิทธิในการเข้าถึงบริการยังขึ้นอยู่กับการมีเอกสารแสดงตนตามกฎหมาย ทำให้ผู้ที่อยู่ระหว่างกระบวนการคัดกรอง ไม่สามารถเข้าถึงบริการ ขั้นพื้นฐานได้ อีกทั้งยังมีข้อเสนอเชิงนโยบาย เช่น กำหนดนโยบายระดับชาติเกี่ยวกับ สิทธิในการเข้าถึงบริการขั้นพื้นฐานของผู้ไม่มีสถานะทางทะเบียน และมีข้อเสนอเชิงโครงสร้างที่เห็นควรเสนอ ตั้งคณะอนุกรรมการด้านการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน ภายใต้กลไกศูนย์กลางการกำกับดูแลการย้ายถิ่นฐาน (Migration Governance Hub) โดยให้มีอำนาจหน้าที่ในการเสนอแนวนโยบายในเรื่องสิทธิของผู้ไม่มีสถานะทางทะเบียน ติดตามและประเมินผลการให้บริการขั้นพื้นฐานในระดับพื้นที่และประสานแผนปฏิบัติการร่วมระหว่างกระทรวงต่าง ๆ เพื่อบูรณาการทรัพยากรและข้อมูล ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยเห็นว่า ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดังกล่าวจำเป็นต้องมีการเห็นชอบในระดับนโยบายก่อนดำเนินการ ในชั้นนี้ จึงเห็นควรเสนอให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติจัดตั้งคณะทำงานขึ้นเพื่อศึกษาและพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการกำหนดแนวทางหรือนโยบายต่อไป
9. เรื่อง ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารสำนักงานอัยการจังหวัดสิงห์บุรี พร้อมบ้านพักและสิ่งก่อสร้างประกอบ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการค่าควบคุมก่อสร้างอาคารสำนักงานอัยการจังหวัดสิงห์บุรี พร้อมบ้านพักและสิ่งก่อสร้างประกอบ (ค่าควบคุมงานก่อสร้างฯ) จากเดิมจำนวน 8,891,400 บาท เป็น 9,676,300 บาท (เพิ่มขึ้น 784,900 บาท) และขอขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากเดิมปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 – 2567 เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 – 2569 ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุด (อส.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. คณะรัฐมนตรีมีมติ (20 ตุลาคม 2563) อนุมัติให้สำนักงานอัยการสูงสุดก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารสำนักงานอัยการจังหวัดสิงห์บุรีพร้อมบ้านพักและสิ่งก่อสร้างประกอบ วงเงิน 8,891,400 บาท (รวมเงินสำรองเผื่อเหลือเผื่อขาด จำนวน 423,400) ระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 – 2566 ต่อมาสำนักงานอัยการสูงสุดได้ดำเนินการกระบวนการจัดจ้างบริษัทเอกชนซึ่งเสนอราคาในวงเงิน 9,879,300 บาท อย่างไรก็ตาม สำนักงบประมาณได้เห็นชอบความเหมาะสมของราคาค่าควบคุมงานก่อสร้างดังกล่าว ในวงเงิน 8,799,200 บาท โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่าย ดังนี้
|
ปีงบประมาณ พ.ศ. |
งบประมาณ (บาท) |
|
2564 |
1,693,600 |
|
2565 |
1,481,600 |
|
2566 – 2567 (ผูกพันงบประมาณ) |
5,624,000 |
ซึ่งรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณดังกล่าวอยู่ภายในวงเงินงบประมาณแต่ระยะเวลาเกินกว่าที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้ สำนักงานอัยการสูงสุดจึงได้อาศัยอำนาจตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการงบประมาณ พ.ศ. 2564 อนุมัติการขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากเดิมงบประมาณ พ.ศ. 2564 – 2566 เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 – 2567 ในวงเงิน 8,799,200 บาท และต่อมาสำนักงานอัยการสูงสุดได้ทำสัญญาจ้างกับบริษัทเอกชนในวงเงิน 7,000,000 บาท
2. สำนักงานอัยการภาค 1 ได้อนุมัติการขยายระยะเวลาโครงการก่อสร้าง อาคารสำนักงานอัยการจังหวัดสิงห์บุรี พร้อมบ้านพักและสิ่งก่อสร้างประกอบ จำนวน 3 ครั้ง เนื่องจากมีการแก้ไขแบบก่อสร้าง ส่งผลให้สำนักงานอัยการสูงสุดมีความจำเป็นต้องจ้างผู้ควบคุมงานก่อสร้างเพิ่มเติมอีกจำนวน 210 วัน (ตามจำนวนวันที่เข้าควบคุมงานจริง) เพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาก่อสร้างโครงการดังกล่าว โดยมีค่าจ้างควบคุมงามเพิ่มเติม เป็นจำนวน 2,676,240 บาท ส่งผลให้วงเงินค่าควบคุมงานก่อสร้างเพิ่มขึ้น จากสัญญาเดิมจำนวน 7,000,000 บาท เป็น 9,676,240 บาท ซึ่งสำนักงบประมาณได้เห็นชอบความเหมาะสมของราคาค่าควบคุมงานก่อสร้างที่เพิ่มเติมด้วยแล้ว โดยวงเงินส่วนที่เพิ่มขึ้น จำนวน 2,676,240 บาท ผูกพันงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 และให้สำนักงานอัยการสูงสุดเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับให้ครบวงเงินค่างานตามสัญญาต่อไป แต่เนื่องจากการดำเนินการดังกล่าวเป็นการเพิ่มวงเงินค่าควบคุมงานก่อสร้างและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ซึ่งเกินกว่าวงเงินและระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้ จึงขอให้สำนักงานอัยการสูงสุดนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการดังกล่าว จากเดิมจำนวน 8,891,400 บาท เป็นจำนวน 9,676,240 บาท และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากเดิมปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 – 2567 เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 – 2569 ตามนัยข้อ 7 (3) ของระเบียบว่าด้วยการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ก่อนลงนามแก้ไขสัญญาจ้างตามขั้นตอนต่อไป ดังนั้น สำนักงานอัยการสูงสุดจึงต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขออนุมัติการเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณในครั้งนี้
10. เรื่อง การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวที่มีสถานะไม่ถูกต้องตามกฎหมาย สำหรับคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (ลาว เมียนมา และเวียดนาม)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวที่มีสถานะไม่ถูกต้องตามกฎหมายตามข้อ 3 และอนุมัติในหลักการร่างประกาศของกระทรวงมหาดไทย จำนวน 1 ฉบับ รวมถึงให้ความเห็นชอบในหลักการร่างประกาศของกระทรวงแรงงาน จำนวน 1 ฉบับ รวม 2 ฉบับ เพื่อบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวตามแนวทางดังกล่าว ดังนี้
1.1 ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติลาว เมียนมา และเวียดนาม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่....
1.2 ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติลาว เมียนมา และเวียดนาม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่....
2. ให้กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และความเข้าใจให้นายจ้าง/ผู้ประกอบการ แรงงานต่างด้าว และผู้ที่เกี่ยวข้องรับทราบข้อมูลการดำเนินการดังกล่าวอย่างทั่วถึง
ความเร่งด่วนของเรื่อง
1. คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 เห็นชอบมาตรการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ในส่วนของการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวที่มีสถานะไม่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยผ่อนผันให้คนต่างด้าว 4 สัญชาติ ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนามอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว โดยให้นายจ้างหรือบริษัทที่ได้รับมอบอำนาจจากนายจ้างยื่นคำขออนุญาตทำงานแทนคนต่างด้าวภายในระยะเวลา 15 วัน และดำเนินการตามแนวทางที่กระทรวงแรงงานกำหนดให้ครบถ้วน โดยเมื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ ถูกต้องครบถ้วนแล้ว คนต่างด้าวจะได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวและได้รับอนุญาตทำงานเป็นระยะเวลา 1 ปี
2. กระทรวงมหาดไทย มีหนังสือ ด่วนที่สุดที่ มท 0204.2/21336 ลงวันที่ 30 ตุลาคม 2568 เรื่อง มาตรการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน แจ้งให้กรมการจัดหางานทราบว่า นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีข้อสังเกตเพิ่มเติมให้พิจารณาทบทวนมาตรการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 โดยพิจารณาให้มีแนวทางการบริหารจัดการแรงงานสัญชาติกัมพูชาเป็นกรณีเฉพาะ เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และสถานการณ์การขาดแคลนแรงงาน
3. กระทรวงแรงงานได้รับข้อเรียกร้องจากภาคเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสภาอุตสาหกรรมกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 2 สมาคมผู้ผลิตยางแผ่นรมควันภาคใต้ เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ เป็นต้น ให้ผ่อนผันให้คนต่างด้าวที่มีสถานะไม่ถูกต้องตามกฎหมายที่ลักลอบทำงานอยู่ในประเทศ สามารถอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวและทำงานได้อย่างถูกกฎหมาย เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน
4. สถานการณ์ความไม่สงบและสภาวะเศรษฐกิจของประเทศเมียนมาส่งผลให้คนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาจำนวนมากลักลอบเข้ามาในราชอาณาจักรและลักลอบทำงาน และไม่สามารถเดินทางกลับประเทศต้นทางหรือกลับเข้ามาทำงานในประเทศไทยได้ รวมทั้งมีคนต่างด้าวบางส่วนซึ่งเคยได้รับอนุญาตให้ทำงานอย่างถูกต้อง และกลายเป็นคนต่างด้าวที่มีสถานะไม่ถูกต้อง เช่น กรณีคนต่างด้าวออกจากนายจ้างรายเดิมแล้วไม่สามารถหานายจ้างรายใหม่ได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด หรือกรณีไม่สามารถทำงานต่อไปได้เนื่องจากดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมาไม่ครบทุกขั้นตอน ซึ่งมีจำนวนประมาณ 388,051 คน แบ่งออกเป็น กัมพูชา 98,548 คน ลาว 91,489 คน เมียนมา 194,441 คน เวียดนาม 3,573 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 7 สิงหาคม 2568) ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีมาตรการการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ซึ่งเกิดขึ้นในหลายภาคส่วน ทั้งภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตรกรรม ภาคการค้า และภาคการบริการ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการผลิตสินค้าและการบริการ รวมถึงสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศ
สาระสำคัญของเรื่อง
การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวที่มีสถานะไม่ถูกต้องตามกฎหมาย สำหรับคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (ลาว เมียนมา และเวียดนาม) มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. กลุ่มเป้าหมาย
คนต่างด้าวซึ่งมีอายุไม่ต่ำกว่าสิบแปดปี ดังต่อไปนี้
1.1 คนต่างด้าว 3 สัญชาติ (ลาว เมียนมา และเวียดนาม) ที่มีหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางซึ่งมีอายุหรือหมดอายุ และมีรอยตราประทับ ซึ่งการอนุญาตทำงานหรือการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุดลงโดยผลของกฎหมาย เช่น กรณีคนต่างด้าวออกจากนายจ้างรายเดิมแล้วไม่สามารถหานายจ้างรายใหม่ได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด หรือกรณีไม่สามารถทำงานต่อไปได้เนื่องจากดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมาไม่ครบทุกขั้นตอน
1.2 คนต่างด้าว 3 สัญชาติ (ลาว เมียนมา และเวียดนาม) ที่มีหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางและมีรอยตราประทับ โดยระยะเวลาการอนุญาตสิ้นสุดลงแต่ไม่ได้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร (Overstay) หรือระยะเวลาการอนุญาตยังไม่สิ้นสุดลงแต่ทำงานกับนายจ้างโดยไม่ได้รับอนุญาต
1.3 คนต่างด้าว 2 สัญชาติ (ลาว และเมียนมา) ที่เข้าเมืองผิดกฎหมายก่อนที่ประกาศกระทรวงมหาดไทยและประกาศกระทรวงแรงงานมีผลบังคับใช้ และประสงค์จะทำงาน
2. ขั้นตอนการดำเนินการ
ผ่อนผันให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเป็นระยะเวลา 1 ปี โดยต้องปฏิบัติตามเงื่อนไข ดังต่อไปนี้
2.1 นายจ้างหรือบริษัทนำคนต่างด้าวมาทำงานในประเทศที่ได้รับมอบอำนาจจากนายจ้าง ยื่นคำขออนุญาตทำงานแทนคนต่างด้าว ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ณ สถานที่ที่กรมการจัดหางานกำหนด เป็นระยะเวลา 15 วัน นับถัดจากวันที่ประกาศกระทรวงมหาดไทยและประกาศกระทรวงแรงงานประกาศในราชกิจจานุเบกษา พร้อมทั้งชำระค่าธรรมเนียมค่ายื่นคำขอฉบับละ 100 บาท และค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำงานฉบับละ 900 บาท ภายในวันที่กรมการจัดหางานกำหนด โดยให้คนต่างด้าวใช้ใบรับคำขออนุญาตทำงานแทนคนต่างด้าวคู่กับใบเสร็จรับเงินค่าธรรมเนียม เพื่อเป็นหลักฐานแสดงว่าคนต่างด้าวได้รับการผ่อนผันให้ทำงานได้ต่อไปอีก 75 วัน
ในกรณีที่คนต่างด้าวประสงค์ทำงานในเรือประมง ให้ใช้ใบรับคำขออนุญาตทำงานแทนคนต่างด้าวคู่กับใบเสร็จรับเงินค่าธรรมเนียม เป็นใบอนุญาตทำงานหรือเอกสารหรือหนังสือรับรองว่าได้รับอนุญาตให้ทำงาน เพื่อให้คนต่างด้าวใช้เป็นหลักฐานในการขอหนังสือคนประจำเรือตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการออกหนังสือคนประจำเรือตามกฎหมายว่าด้วยการประมง
2.2 การตรวจสุขภาพ และการประกันสุขภาพ
1) การตรวจสุขภาพ
ให้คนต่างด้าวตรวจโรคต้องห้ามตามกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของคนต่างด้าวที่จะขอรับใบอนุญาตทำงานกับสถานพยาบาลของรัฐหรือสถานพยาบาลของเอกชนทุกแห่งที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการสถานพยาบาล โดยสถานพยาบาลของรัฐและสถานพยาบาลของเอกชนต้องเชื่อมโยงข้อมูลผลการตรวจสุขภาพกับกรมการจัดหางาน
ทั้งนี้ สถานพยาบาลเอกชนที่จะสามารถตรวจโรคต้องห้ามได้จะต้องผ่านการตรวจพิจารณาตามหลักเกณฑ์ที่กรมการจัดหางานกำหนด และได้รับการประกาศรายชื่อให้ตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าวได้
2) การประกันสุขภาพ
กรณีคนต่างด้าวซึ่งทำงานในกิจการหรือเป็นลูกจ้างที่ไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม ให้ทำประกันสุขภาพตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยการตรวจสุขภาพและประกันสุขภาพแรงงานต่างด้าว หรือทำประกันสุขภาพกับบริษัทประกันภัยตามกฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัย ที่มีอายุความคุ้มครองไม่น้อยกว่าระยะเวลาที่ขออนุญาตทำงาน
กรณีคนต่างด้าวซึ่งทำงานในกิจการหรือเป็นลูกจ้างซึ่งอยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม ต้องขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตน โดยในระหว่างที่ยังไม่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีประสบอันตราย หรือเจ็บป่วย ตามกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม ให้คนต่างด้าวทำประกันสุขภาพตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยการตรวจสุขภาพและประกันสุขภาพแรงงานต่างด้าว หรือทำประกันสุขภาพกับบริษัทประกันภัยตามกฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัยที่มีอายุความคุ้มครองไม่น้อยกว่า 6 เดือน
ทั้งนี้ สถานพยาบาลของรัฐและบริษัทประกันภัยตามกฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัยจะต้องเชื่อมโยงข้อมูลการประกันสุขภาพกับกรมการจัดหางาน กรณีคนต่างด้าวทำประกันสุขภาพกับบริษัทประกันภัย จะต้องเป็นบริษัทประกันภัยที่มีสถานะมั่นคงตามหลักเกณฑ์ที่กรมการจัดหางานกำหนด และต้องได้รับสิทธิประโยชน์ด้านการรักษาพยาบาลไม่น้อยกว่าสิทธิประโยชน์ด้านการรักษาพยาบาลที่ได้รับจากการทำประกันสุขภาพตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข
2.3 การจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล
คนต่างด้าวไปดำเนินการจัดเก็บข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลที่กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 1 สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัด หรือสถานที่อื่นที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองกำหนด ภายในระยะเวลา 60 วัน นับจากวันแรกที่สิ้นสุดระยะเวลาการยื่นคำขออนุญาตทำงานแทนคนต่างด้าว
2.4 ให้นายจ้างหรือบริษัทนำคนต่างด้าวมาทำงานในประเทศที่ได้รับมอบอำนาจจากนายจ้าง นำเอกสารหลักฐาน เช่น ใบรับรองแพทย์ หลักฐานการประกันสุขภาพหรือหลักฐานการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนแล้วแต่กรณี เป็นต้น นำเข้าสู่ระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีระยะเวลาดำเนินการต่อเนื่องจากการยื่นคำขออนุญาตทำงานแทนคนต่างด้าวต่อไป 60 วัน
2.5 ให้นายทะเบียนหรือเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายตรวจสอบเอกสารหลักฐาน แล้วพิจารณาอนุมัติโดยเร็ว ภายใน 30 วัน นับจากวันแรกที่สิ้นสุดระยะเวลาการให้ยื่นเอกสารหลักฐานเพิ่มเติม โดยคนต่างด้าวจะได้รับอนุญาตทำงาน 1 ปี นับจากวันแรกที่กำหนดให้นายจ้างหรือบริษัทนำคนต่างด้าวมาทำงานในประเทศที่ได้รับมอบอำนาจจากนายจ้างยื่นคำขออนุญาตทำงานแทนคนต่างด้าว
ในกรณีที่คนต่างด้าวประสงค์จะทำงานในเรือประมงให้นายทะเบียนออกใบอนุญาตทำงานให้แก่คนต่างด้าวสำหรับทำงานในเรือประมง เพื่อให้คนต่างด้าวใช้เป็นหลักฐานในการขอหนังสือคนประจำเรือ และเพิ่มนายจ้างตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการออกหนังสือคนประจำเรือตามกฎหมายว่าด้วยการประมง
ในการรับใบอนุญาตทำงาน คนต่างด้าวอาจมอบอำนาจให้บุคคลอื่นมารับแทนได้
ทั้งนี้ การจัดทำหรือปรับปรุงทะเบียนประวัติและออกบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยให้แก่คนต่างด้าว 3 สัญชาติ (ลาว เมียนมา และเวียดนาม) ให้กรมการปกครองและกรุงเทพมหานครดำเนินการตามกฎหมายปกติ
2.6 ให้คนต่างด้าวสัญชาติลาว เมียนมา และเวียดนาม ดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งหนังสือเดินทาง หรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง แล้วไปขอรับการตรวจลงตราหรือขอรับการตรวจอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว เท่าระยะเวลาที่ได้รับอนุญาตทำงาน ณ กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 1 สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัด หรือสถานที่อื่นที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองกำหนด ภายในระยะเวลา 120 วัน นับถัดจากวันที่ครบกำหนดระยะเวลาการยื่นเอกสารเพิ่มเติม
3. ผู้ติดตาม
ให้ผู้ติดตามซึ่งเป็นบุตรของคนต่างด้าวที่มีอายุไม่เกิน 18 ปีบริบูรณ์มีสิทธิอยู่ในราชอาณาจักรตามสิทธิของคนต่างด้าวซึ่งเป็นบิดาหรือมารดา โดยให้ผู้ติดตามคนต่างด้าวนั้นดำเนินการหรือบิดาหรือมารดาของผู้นั้นดำเนินการ ดังนี้
3.1 ให้จัดทำหรือปรับปรุงทะเบียนประวัติตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร นับตั้งแต่บิดาหรือมารดาของผู้นั้นได้รับอนุญาตทำงาน
3.2 ให้ทำประกันสุขภาพตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยการตรวจสุขภาพและประกันสุขภาพแรงงานต่างด้าว หรือทำประกันสุขภาพกับบริษัทประกันภัยตามกฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัยที่มีอายุความคุ้มครองเท่ากับระยะเวลาที่บิดาหรือมารดาได้รับอนุญาตให้ทำงาน
ทั้งนี้ สถานพยาบาลของรัฐและบริษัทประกันภัยตามกฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัยจะต้องเชื่อมโยงข้อมูลการประกันสุขภาพกับกรมการจัดหางาน กรณีคนต่างด้าวทำประกันสุขภาพกับบริษัทประกันภัยจะต้องเป็นบริษัทประกันภัยที่มีสถานะมั่นคงตามหลักเกณฑ์ที่กรมการจัดหางานกำหนด และต้องได้รับสิทธิประโยชน์ด้านการรักษาพยาบาลไม่น้อยกว่าสิทธิประโยชน์ด้านการรักษาพยาบาลที่ได้รับจากการทำประกันสุขภาพตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข
ในกรณีที่ผู้ติดตามคนต่างด้าวซึ่งต่อมามีอายุครบ 18 ปี และประสงค์จะทำงานกับนายจ้าง ให้คนต่างด้าวผู้นั้นอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษได้อีก 60 วัน เพื่อยื่นคำขออนุญาตทำงานตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว และจัดทำหรือปรับปรุงทะเบียนประวัติตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร
4. การดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
4.1 กระทรวงมหาดไทย อาศัยอำนาจตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 รัฐมนตรีโดยอนุมัติของคณะรัฐมนตรี ออกประกาศกระทรวงมหาดไทยอนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ สำหรับคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (ลาว เมียนมา และเวียดนาม) เพื่อดำเนินการ ตามประกาศกระทรวงแรงงาน โดยมิให้นำมาตรา 12 (10) มาตรา 54 และมาตราอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 รวมถึงคำสั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ 1/2558 ลงวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 เรื่อง การไม่อนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกเข้ามาในราชอาณาจักรมาใช้บังคับแก่คนต่างด้าวดังกล่าว นอกจากนี้ หากภายหลังจากที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ มีรายงานของหน่วยงานด้านความมั่นคงหรือด้านการรักษาความสงบเรียบร้อยว่าคนต่างด้าวมีพฤติการณ์ที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือมีพฤติการณ์อันน่าเชื่อได้ว่าเป็นภัยต่อสังคมหรือจะก่อเหตุร้ายให้เกิดอันตรายต่อความสงบสุข หรือความปลอดภัยของประชาชน หรือความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร หรือส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ ให้การอยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุดลงตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
4.2 กระทรวงแรงงาน อาศัยอำนาจตามมาตรา 14 แห่งพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม รัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ออกประกาศกระทรวงแรงงานอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษสำหรับคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (ลาว เมียนมา และเวียดนาม) และยกเว้นการแจ้งเข้าทำงานตามมาตรา 13วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
4.3 กระทรวงสาธารณสุข และสำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร ตรวจสุขภาพและประกันสุขภาพให้แก่คนต่างด้าว๓ สัญชาติ (ลาว เมียนมา และเวียดนาม) ที่นายจ้างเลือกใช้บริการ
4.4 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง จัดเก็บอัตลักษณ์บุคคลให้แก่คนต่างด้าว 3 สัญชาติ (ลาว เมียนมา และเวียดนาม) และตรวจลงตราหรือตรวจอนุญาตให้คนต่างด้าว อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว
4.5 กรมการปกครอง และกรุงเทพมหานคร จัดทำหรือปรับปรุงทะเบียนประวัติและออกบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยให้แก่คนต่างด้าว 3 สัญชาติ (ลาว เมียนมา และเวียดนาม) ตามกฎหมายปกติ
ประโยชน์และผลกระทบ
1. การผ่อนผันให้คนต่างด้าวที่มีสถานะไม่ถูกต้องสามารถอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษเพื่อทำงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งเป็นการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานและตอบสนองความต้องการแรงงานของนายจ้าง/สถานประกอบการ ทั้งภาคการผลิตและภาคการบริการเพื่อสนับสนุนการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยคำนึงถึงความสมดุลทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ
2. ส่งเสริมให้นายจ้าง/สถานประกอบการที่ยังคงมีความต้องการจ้างแรงงานปฏิบัติตามกฎ ระเบียบ และคนต่างด้าวทุกกลุ่มได้รับการจ้างงานโดยถูกต้องตามกฎหมาย ได้รับความคุ้มครอง และสิทธิประโยชน์ตามสิทธิที่พึงได้รับ ลดปัญหาการเลือกปฏิบัติและการแสวงหาผลประโยชน์ รวมถึงผู้ติดตามซึ่งเป็นบุตรของแรงงานกลุ่มดังกล่าวได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
11. เรื่อง ขออนุมัติงบประมาณเพื่อดำเนินงานโครงการพัฒนาสวนลำไยคุณภาพตัดแต่งทรงพุ่ม/ช่อผล ฟื้นฟูสวนลำไย เพื่อเพิ่มรายได้
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติโครงการพัฒนาสวนลำไยคุณภาพตัดแต่งทรงพุ่ม/ ช่อผล ฟื้นฟูสวนลำไย เพื่อเพิ่มรายได้ ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ภายในกรอบวงเงินทั้งสิ้น 745,071,000 บาท ดังนี้
1. เงินทุนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อสนับสนุนค่าตัดแต่งทรงพุ่ม/ช่อผล ปัจจัยการผลิต ค่าชดเชยต้นทุนเงินให้ ธ.ก.ส. และค่าบริหารจัดการโครงการของ ธ.ก.ส.ภายในกรอบวงเงิน 618,745,000 บาท สำหรับสนับสนุนให้แก่เกษตรกรชาวสวนลำไย ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 10 ไร่ต่อครัวเรือน ค่าชดเชย ต้นทุนเงินให้ ธ.ก.ส. ในอัตราร้อยละ 3.02 ต่อปี และค่าบริหารจัดการโครงการของ ธ.ก.ส. ครัวเรือนละ 5 บาท โดยการจ่ายครั้งเดียว เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการ/โครงการที่มีการดำเนินการในลักษณะเดียวกัน โดยเห็นควรให้เป็นการดำเนินการตามมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ ที่เกิดขึ้นจริง พ.ศ. 2561 โดยให้ ธ.ก.ส. ใช้เงินทุนสำรองจ่ายไปก่อน และให้รัฐบาลรับภาระชดเชยตามภาระค่าใช้จ่าย
2. ค่าใช้จ่ายในการถ่ายทอดความรู้ให้แก่เกษตรกร และค่าบริหารจัดการโครงการ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ของกรมส่งเสริมการเกษตร ภายในกรอบวงเงิน 126,326,000 บาท เป็นลำดับแรก หากไม่เพียงพอให้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณตามกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้อง ตามความจำเป็นเหมาะสม และภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงตามขั้นตอนต่อไป
3. อนุมัติผ่อนปรนการยกเว้นการไม่ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน2566 ในกรณีให้ทุกหน่วยงานหลีกเลี่ยงการดำเนินการในลักษณะการให้เงินอุดหนุนโดยตรงแก่เกษตรกรเฉพาะโครงการพัฒนาสวนลำไยคุณภาพตัดแต่งทรงพุ่ม/ช่อผล ฟื้นฟูสวนลำไย เพื่อเพิ่มรายได้ อย่างไรก็ตามการดำเนินการมาตรการ/โครงการเพื่อสนับสนุนหรือให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและภาคการเกษตรในโอกาสต่อไป กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 อย่างเคร่งครัด ในการพิจารณาดำเนินมาตรการหรือโครงการในลักษณะที่เป็นการสนับสนุนการเพิ่มระดับผลิตภาพ (Productivity) ของภาคการเกษตร การพัฒนาภาคเกษตรตลอดห่วงโซ่อุปทานอย่างเคร่งครัด เพื่อให้การดำเนินการมาตรการและโครงการในการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกลำไยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณ
4. อนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตรกำหนดคู่มือโครงการเพื่อให้มีแนวทางการดำเนินโครงการโดยการกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และขั้นตอนการดำเนินงานการตรวจสอบรับรองสิทธิ์ของเกษตรกร ตลอดจนการจัดทำระบบหรือกลไกในการตรวจสอบข้อมูลการขึ้นทะเบียนเกษตรกร จำนวนเกษตรกร พื้นที่เพาะปลูก โดยไม่เลือกปฏิบัติ และเห็นควรมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเน้นเรื่องการกำกับดูแลกระบวนการสุ่มตรวจเกษตรกรอย่างเข้มงวดและโปร่งใส เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณเกิดความคุ้มค่าตลอดจนจัดทำระบบการรายงาน การติดตาม และการประเมินผลสัมฤทธิ์ โดยเฉพาะการจัดทำรายงานสรุปผลการเปรียบเทียบข้อมูลอัตราส่วนเกรดลำไยคุณภาพสูงที่เพิ่มขึ้นและระดับรายได้ของเกษตรกรก่อนและหลังการดำเนินโครงการ เพื่อให้มีข้อมูลในการบริหารงานอย่างถูกต้องครบถ้วน และการกำหนดนโยบายภาครัฐ ที่เหมาะสมและยั่งยืนต่อไป
สาระสำคัญ
สำนักงบประมาณ (สงป.) เสนอความเห็นในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ดังนี้ โครงการพัฒนาสวนลำไยคุณภาพตัดแต่งทรงพุ่ม/ช่อผล ฟื้นฟูสวนลำไย เพื่อเพิ่มรายได้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและช่วยเหลือเกษตรกร ชาวสวนลำไยภาคเหนือไม่ให้เกิดภาวะผลผลิตล้นตลาด ราคาตกต่ำ และเพื่อฟื้นฟูการผลิตลำไยให้มีประสิทธิภาพ ด้วยการตัดแต่งทรงพุ่มและช่อผล อันจะนำไปสู่การเพิ่มสัดส่วนลำไยคุณภาพสูงและยกระดับรายได้เกษตรกร ซึ่งคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ได้มีมติเห็นชอบแล้ว เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2568 อย่างไรก็ดี การดำเนินโครงการดังกล่าวเป็นลักษณะการช่วยเหลือสนับสนุนลดต้นทุนการผลิตให้กับเกษตรกร ซึ่งมาตรการ/โครงการช่วยเหลือสนับสนุนเกษตรกรที่ดำเนินการในลักษณะเดียวกัน รัฐบาลมีการช่วยเหลือ สนับสนุนเกษตรกรในอัตราไร่ละ1,000 บาท ไม่เกิน 10 ไร่ต่อครัวเรือน ดังนั้น เพื่อให้เกิดความเสมอภาคและไม่เกิดความเหลื่อมล้ำในการช่วยเหลือสนับสนุนลดต้นทุนการผลิตให้กับเกษตร จึงเห็นสมควรที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบและอนุมัติโครงการดังกล่าว ภายในกรอบวงเงินทั้งสิ้น 745,071,000 บาท
ต่างประเทศ
12. เรื่อง ขอความเห็นชอบการต่ออายุบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งออสเตรเลียว่าด้วยยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ (MoU SECA)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบการต่ออายุบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งออสเตรเลียว่าด้วยยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ (บันทึกความเข้าใจฯ) และร่างหนังสือระดับรัฐมนตรีสำหรับการต่ออายุบันทึกความเข้าใจฯ (ร่างหนังสือฯ) ของฝ่ายไทย ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ขอให้ พณ. ดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก
2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามในหนังสือระดับมนตรีสำหรับการต่ออายุบันทึกความเข้าใจฯ เพื่อเป็นหนังสือตอบกลับถึงรัฐมนตรีการค้าและการท่องเที่ยวของออสเตรเลีย
1. เดิมคณะรัฐมนตรีมีมติ (8 พฤศจิกายน 2565) เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจฯ ซึ่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการจัดทำยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและออสเตรเลียอย่างน้อย 8 สาขา ได้แก่ (1) การเกษตร เทคโนโลยี และระบบอาหารที่ยั่งยืน (2) การท่องเที่ยว (3) การบริการ (4) การศึกษา (5) การค้าดิจิทัล และเศรษฐกิจดิจิทัล (6) เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (7) การลงทุนระหว่างกัน และ (8) พลังงาน เศรษฐกิจ สีเขียวและการลดการปล่อยคาร์บอน (สาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจฯ) โดยบันทึกความเข้าใจฯ จะมีผลบังคับใช้เป็นระยะเวลา 3 ปี นับตั้งแต่วันที่มีการลงนามของทั้งสองประเทศ (มีการลงนามเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2565) ทั้งนี้ บันทึกความเข้าใจฯ อาจขยายเวลา และ/หรือ แก้ไขเมื่อใดก็ได้ ภายในระยะเวลาที่ยังคงมีผลใช้บังคับผ่านการให้ความ ยินยอมร่วมกันของทั้งสองประเทศเป็นลายลักษณ์อักษร
2. เรื่องนี้เป็นการขอความเห็นชอบการต่ออายุบันทึกความเข้าใจฯ โดยการจัดทำเป็นร่างหนังสือระดับรัฐมนตรีสำหรับการต่ออายุบันทึกความเข้าใจฯ (ร่างหนังสือฯ) ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลาบันทึกความเข้าใจฯ ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 ออกไปอีก 3 ปี โดยไม่มีการแก้ไขเพิ่มเติมเนื้อหาในบันทึกความเข้าใจฯ รวมทั้งเป็นการดำเนินการตามวรรค 5 (15) ของบันทึกความเข้าใจฯ ที่กำหนดให้อาจขยายเวลา และ/หรือ แก้ไขบันทึกความเข้าใจฯ เมื่อใดก็ได้ภายในระยะเวลาที่ยังคงมีผลใช้บังคับผ่านการให้ความยินยอมร่วมกันของสมาชิกเป็นลายลักษณ์อักษร และโดยที่เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่มีผลผูกพันรัฐบาลไทย จึงเข้าลักษณะเรื่องที่เสนอคณะรัฐมนตรีได้ตามนัยมาตรา 4 (7) แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 ประกอบกับ กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย (กต.) และ สดก. พิจารณาแล้วเห็นว่า ร่างหนังสือฯ ไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและมอบหมาย ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ ดังนี้
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ในการประชุมรัฐมนตรีองค์การการค้าโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 12 (MC12) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12 - 17 มิถุนายน 2565 ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส สมาชิก WTO ได้สรุปผลการเจรจาความตกลงว่าด้วยการอุดหนุนประมง โดยมีมติรับรองพิธีสารแก้ไขความตกลงมาร์ราเกชจัดตั้งองค์การการค้าโลกเพื่อผนวกความตกลงว่าด้วยการอุดหนุนประมง (Agreement on Fisheries Subsidies) เข้าเป็นส่วนหนึ่งของภาคผนวก 1A ของความตกลงองค์การการค้าโลก (Multilateral Agreements on Trade in Goods) และให้สมาชิกดำเนินการเพื่อให้การยอมรับ (Accept) พิธีสารดังกล่าว ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (27 กันยายน 2565) รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีองค์การการค้าโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 12 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง และให้ พณ. หารือร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความตกลงว่าด้วยการอุดหนุนประมง และการดำเนินการเพื่อให้สัตยาบันความตกลงว่าด้วยการอุดหนุนประมงให้ได้ข้อยุติก่อนดำเนินการต่อไป
2. ความตกลงดังกล่าว จะมีผลบังคับใช้เมื่อสมาชิกจำนวน 2 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมด (คิดเป็น 111 รายจาก 166 ประเทศ) ให้การยอมรับ โดยความตกลงฯ เฉพาะกับสมาชิกที่ให้การยอมรับแล้วเท่านั้น และจะบังคับใช้กับสมาชิกที่ให้การยอมรับหลังจากนั้นทันที ซึ่งปัจจุบันความตกลงฯ มีผลใช้บังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน 2568 อย่างไรก็ตาม WTO และสมาชิกที่ให้การยอมรับพิธีสารฯ แล้ว ได้ผลักดันให้สมาชิกที่เหลือเร่งดำเนินการภายในเพื่อให้ สามารถยอมรับพิธีสารฯ ได้โดยเร็วที่สุด หรืออย่างช้าภายในการประชุมรัฐมนตรีองค์การการค้า โลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 14 (MC14) ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นในเดือนมีนาคม 2569 ทั้งนี้ ปัจจุบัน มีสมาชิกจำนวน 112 ราย ได้ให้การยอมรับพิธีสารฯ แล้ว ขณะที่ไทย อินโดนีเซีย และเมียนมา ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการ
3. พณ.พิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อให้ไทยสามารถยอมรับพิธีสารฯ ได้โดยเร็วที่สุดหรืออย่างช้าภายในการประชุมรัฐมนตรีองค์การการค้าโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 14 (MC14) ทั้งนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของไทยในการมีส่วนร่วมในการส่งเสริมและรักษาความยั่งยืนของทรัพยากรสัตว์น้ำทางทะเล รวมถึงเป็นการแสดงความพร้อมในการปฏิบัติตามความตกลงระหว่างประเทศภายใต้ WTO และเป็นการดำเนินการตามข้อเสนอภาคผนวกข้อผูกพันเฉพาะรายประเทศภายใต้ความตกลงว่าด้วยการค้าต่างตอบแทนระหว่างสหรัฐอเมริกาและไทย จึงมีความจำเป็นต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาและมีมติในโอกาสแรก โดยความตกลงฯ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อห้ามการอุดหนุนแก่การทำการประมงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ห้ามการอุดหนุนที่เกี่ยวข้องกับสัตว์น้ำที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำกว่าระดับที่ยั่งยืน (Overfished) และห้ามการอุดหนุนแก่การทำการประมงในพื้นที่ทะเลหลวงที่ไม่อยู่ในความรับผิดชอบขององค์การบริหารจัดการประมงระดับภูมิภาค (Regional Fisheries Management Organization: RFMOs) ทั้งนี้ เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับทรัพยากรสัตว์น้ำ และมีภาคผนวกความตกลงฯ ซึ่งสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
|
ภาคผนวก ความตกลงว่าด้วยการอุดหนุนประมง |
|
|
ข้อบทที่ 1 ขอบเขต |
• ขอบเขตของความตกลงฯ ครอบคลุมเฉพาะการอุดหนุนการทำประมงในทะเลตามธรรมชาติ และกิจกรรมในทะเลที่เกี่ยวข้องกับการทำประมง ไม่รวมถึงการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและการทำประมงน้ำจืด |
|
ข้อบทที่ 2 คำนิยาม |
• “การทำประมง” หมายถึง การค้นหา การล่อ การตรวจพบ การจับ การนำขึ้นมา หรือการเก็บเกี่ยวสัตว์น้ำ หรือการทำ กิจกรรมใด ๆ ที่สามารถคาดหมายได้ว่าจะนำไปสู่การค้นหา การล่อ การตรวจพบ การจับ การนำขึ้นมา หรือการเก็บเกี่ยวสัตว์น้ำ • “กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการทำประมง” หมายถึง การ ดำเนินการใด ๆ ที่เป็นการสนับสนุน หรือเป็นการเตรียมการ สำหรับการทำประมง ซึ่งรวมถึงการนำขึ้นท่า การบรรจุหีบห่อ การแปรรูป การขนถ่าย หรือการขนส่งสัตว์น้ำที่ยังไม่เคยนำขึ้น ท่ามาก่อน ตลอดจนการจัดหาบุคลากร เชื้อเพลิง เครื่องมือ ประมง และทรัพยากรอื่น ๆ ในทะเล • “เรือประมง” หมายถึง เรือทุกประเภท ไม่ว่าจะขนาดใดก็ตามที่ถูกนำมาใช้ หรือติดตั้งอุปกรณ์เพื่อนำมาใช้ เพื่อทำการประมงหรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการประมง |
|
ข้อบทที่ 3 การอุดหนุนที่นำไปสู่การทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Illegal Unreported and Unregulated Fishing: IUU Fishing) |
• ห้ามสมาชิกให้การอุดหนุนแก่เรือประมงหรือผู้ประกอบการประมงหลังจากถูกตัดสินว่ามีการทำ IUU Fishing หรือกิจกรรมที่สนับสนุนการทำ IUU Fishing • สมาชิกที่เป็นประเทศกำลังพัฒนา รวมถึงประเทศไทยและสมาชิกที่เป็นประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (LDCs) ได้รับการยกเว้นจากการห้ามอุดหนุนที่นำไปสู่ IUU Fishing ภายในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ เป็นระยะเวลา 2 ปีหลังจากที่ความตกลงฯ |
|
ข้อบทที่ 4 การอุดหนุนที่นำไปสู่การทำประมงในกลุ่มสัตว์น้ำที่ถูกจับมากเกินควร |
• ห้ามสมาชิกให้การอุดหนุนที่เกี่ยวข้องกับการทำประมงในกลุ่มสัตว์น้ำที่ถูกประเมินว่ามีความอุดมสมบูรณ์ต่ำกว่าระดับทรัพยากรที่ยั่งยืน (Overfished) ยกเว้นในกรณีที่เป็นการอุดหนุนเพื่อฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำให้อยู่ในระดับที่ยั่งยืนหรือมีการดำเนินมาตรการอื่นเพื่อฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำให้อยู่ในระดับที่ยั่งยืน ก็จะสามารถให้การอุดหนุนประมงในกลุ่มที่เป็น Overfished ต่อไปได้ • สมาชิกที่เป็นประเทศกำลังพัฒนา รวมถึงประเทศไทยและสมาชิกที่เป็นประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (LDCs) ได้รับการยกเว้นการอุดหนุนที่เกี่ยวข้องกับกลุ่ม Overfished ภายในเขตเศรษฐกิจจำเพาะเป็นระยะเวลา 2 ปีหลังจากที่ความตกลงฯ |
|
ข้อบทที่ 5 การอุดหนุนอื่น |
• ห้ามสมาชิกให้การอุดหนุนที่เกี่ยวข้องกับการทำประมง |
|
ข้อบทที่ 6 การให้ความช่วยเหลือทางเทคนิคและการสร้างศักยภาพ |
• ให้มีกลไกการให้เงินสนับสนุน หรือกองทุนภายใต้ WTO เพื่อให้ความช่วยเหลือทางเทคนิคและเสริมสร้างศักยภาพให้แก่สมาชิกที่เป็นประเทศกำลังพัฒนาและ LDCs ในการปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้ความตกลงฯ |
ความตกลงฯ เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย เนื่องจากจะเป็นการส่งเสริมจุดยืนของประเทศไทยในการรักษาความยั่งยืนของทรัพยากรสัตว์น้ำ และประเทศไทยจะปฏิบัติตามความตกลงระหว่างประเทศภายใต้ WTO ที่ประเทศไทยเป็นสมาชิก โดยผลของการปฏิบัติตามความตกลงฯ จะได้มาซึ่งการรักษาความยั่งยืนของทรัพยากรสัตว์น้ำทางทะเลและสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ความตกลงฯ ไม่ได้สร้างข้อจำกัดและไม่ได้ทำให้ประเทศไทย
เสียผลประโยชน์เพิ่มเติม นอกจากนี้ ประเทศไทยในฐานะประเทศกำลังพัฒนาสามารถใช้ประโยชน์จากกองทุน
ของ WTO ได้ด้วย
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์เห็นว่า แม้ความตกลงฯ ไม่ได้สร้างข้อจำกัดเพิ่มเติมต่อประเทศไทยและประเทศไทยสามารถปฏิบัติตามพันธกรณีตามความตกลงฯ ได้ โดยไม่ต้องออกพระราชบัญญัติ อย่างไรก็ดี ความตกลงฉบับนี้เป็นความตกลงระหว่างประเทศที่จัดทำเพิ่มเติมขึ้นใหม่เป็นส่วนหนึ่งของความตกลงมาร์ราเกชจัดตั้ง WTO และมีความเกี่ยวข้องกับภาคประมงซึ่งมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและสังคม จึงเห็นควรเสนอเรื่องดังกล่าวต่อรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา 178 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
โดยที่เรื่องนี้เป็นการดำเนินการตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงเข้าข่ายเป็นเรื่องที่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีตามมาตรา 4 (7) แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548
14. เรื่อง พิจารณาอนุมัติค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในภาพรวมสำหรับข้าราชการตำรวจที่ไปปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการบริหาร คนที่ 9 (Executive Director) ของสำนักเลขาธิการตำรวจอาเซียน
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ข้าราชการตำรวจที่เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งผู้อำนวยการบริหารของสำนักเลขาธิการตำรวจอาเซียนเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการได้ โดยให้นำหลักเกณฑ์ของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องมาใช้บังคับโดยอนุโลม สำหรับงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตและความเห็นของกระทรวงการคลัง (กค.) สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) และสำนักงาน ก.พ. ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งดำเนินการให้ถูกต้อง ครบถ้วน เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
เรื่องนี้เดิมคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2552 เห็นชอบในหลักการหนังสือขอบเขตอำนาจหน้าที่ของสำนักงานเลขานุการการประชุมหัวหน้าตำรวจอาเซียน (ปัจจุบันใช้ชื่อว่า สำนักเลขาธิการตำรวจอาเซียน) โดยในหนังสือดังกล่าวได้กำหนดว่า ผู้บริหารตำรวจอาเซียนจะต้องหมุนเวียนตามลำดับตัวอักษร และปัจจุบันผู้อำนวยการบริหาร คนที่ 8 ซึ่งเป็นผู้แทนจากสาธารณรัฐฟิลิปปินส์จะสิ้นสุดวาระในวันที่ 31 ธันวาคม 2568และผู้ที่จะต้องดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการบริหาร คนที่ 9 วาระปี พ.ศ. 2569-2570 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 - 31 ธันวาคม 2570 คือ ผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) จากประเทศไทย และเนื่องจากตำแหน่งผู้อำนวยการบริหารของสำนักเลขาธิการตำรวจอาเซียนไม่ใช่ตำแหน่งที่คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) กำหนดให้เป็นตำแหน่งประจำอยู่ในต่างประเทศทำให้ไม่มีสิทธิได้รับเงินเพิ่มสำหรับข้าราชการซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประจำอยู่ในต่างประเทศตามระเบียบ ก.ตร. ว่าด้วยเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่ประจำอยู่ในต่างประเทศ พ.ศ. 2557 และค่าใช้จ่ายอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางไปราชการประจำในต่างประเทศตามพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ. 2526 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ดังนั้น ในครั้งนี้ ตร. จึงได้เสนอ (1) ขออนุมัติส่งข้าราชการตำรวจระดับพันตำรวจเอก (พิเศษ) หรือเทียบเท่า ไปปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งดังกล่าว ณ ประเทศมาเลเซีย เป็นเวลา 2 ปี เป็นกรณีพิเศษ และ (2) ขอให้เบิกค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ได้โดยนำหลักเกณฑ์ตามระเบียบของทางราชการมาใช้บังคับโดยอนุโลม เช่น เงินเพิ่มสำหรับข้าราชการซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ประจำอยู่ในต่างประเทศ (พ.ข.ต.) ค่าเช่าที่พัก ค่าบัตรโดยสารเครื่องบินไป - กลับ
ประโยชน์ที่จะได้รับ
การส่งผู้แทน ตร. ไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการบริหารคนที่ 9 ของสำนักเลขาธิการตำรวจอาเซียน นอกจากจะเป็นการปฏิบัติตามพันธกรณีของขอบเขตอำนาจหน้าที่ของสำนักเลขาธิการตำรวจอาเซียนตามมติคณะรัฐมนตรี (11 สิงหาคม 2552) แล้วยังจะเป็นประโยชน์ด้านความมั่นคง การป้องกันและปราบปราม/อาชญากรรมข้ามชาติ รวมทั้ง สร้างภาพลักษณ์และบทบาทของประเทศไทยในเวทีระดับนานาชาติ
แต่งตั้ง
15. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอแต่งตั้ง นายวิวัธน์ชัย คงลำธาร ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง วิศวกรโยธาเชี่ยวชาญ กรมชลประทาน ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิศวกรรมโยธา (ด้านควบคุมการก่อสร้าง) (วิศวกรโยธาทรงคุณวุฒิ) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตั้งแต่วันที่ 12 กรกฎาคม 2567 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ และรองนายกรัฐมนตรี (ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า) ได้ให้ความเห็นชอบด้วยแล้ว
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
16. เรื่อง การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) เสนอ โดยมีหน้าที่และอำนาจคงเดิม
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 เป็นต้นไป ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ) ได้ให้ความเห็นชอบด้วยแล้ว
องค์ประกอบคณะกรรมการ ที่เสนอแต่งตั้งในครั้งนี้
1. ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ประธานกรรมการ
2. ผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง รองประธานกรรมการ
ประจำกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
3. ผู้แทนสำนักงบประมาณ กรรมการ
4. ผู้แทนสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล กรรมการ
(องค์การมหาชน)
5. ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการการรักษา กรรมการ
ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ
6. ผู้แทนกรมบัญชีกลาง กรรมการ
7. นายธีรวุธ กลั่นเลี้ยง กรรมการ
8. รองศาสตราจารย์ปานวิทย์ ธุวะนุติ กรรมการ
9. ผู้ช่วยศาสตราจารย์รวิน ระวิวงศ์ กรรมการ
10. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ชยกฤต อัศวธิตานนท์ กรรมการ
11. ผู้ช่วยศาสตราจารย์มานิต สาธิตสมิตพงษ์ กรรมการ
12. ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ กรรมการและเลขานุการ
และการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวง
ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
13. ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเทคโนโลยี กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
สารสนเทศ สำนักงานปลัดกระทรวง
ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
14. ผู้อำนวยการกลุ่มงานเทคโนโลยีสารสนเทศ กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
เพื่อการบริหาร สำนักงานปลัดกระทรวง
ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
15. ผู้แทนศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
และการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวง
ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
หน้าที่ และอำนาจของคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐ
1. พิจารณากลั่นกรองความเหมาะสม เสนอแนะแนวทางการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของส่วนราชการ องค์การมหาชน ที่ใช้งบประมาณแผ่นดิน รวมถึงแหล่งเงินอื่นที่นอกเหนือจากงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งเป็นภาระที่รัฐจะต้องตั้งงบประมาณชดใช้ ในการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมูลค่าเกินกว่า 200 ล้านบาทขึ้นไป โดยเฉพาะการบูรณาการงบประมาณ เทคโนโลยี และการใช้ข้อมูลร่วมกันเพื่อลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินการ รวมทั้งให้มีการใช้เกณฑ์มาตรฐานเดียวกันในการพิจารณาการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
2. พิจารณาติดตามแผนงานและโครงการที่ได้ให้ความเห็นชอบของส่วนราชการและรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบ
3. พิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ และแนวทางปฏิบัติการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐ
4. พิจารณากำหนด และเผยแพร่ข้อมูลในเรื่องราคาและคุณลักษณะของระบบคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสมกับลักษณะงานต่าง ๆ
5. เสนอแนะข้อวินิจฉัย ปัญหาและแนวทางปฏิบัติในการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมมอบหมาย
6. ให้มีอำนาจเชิญเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องมาชี้แจง เสนอข้อมูล และ/หรือเอกสารประกอบการพิจารณาได้ตามความจำเป็น
7. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ คณะทำงาน และผู้ช่วยเลขานุการเพิ่มเติมได้ตามความจำเป็น
8. ปฏิบัติงานอื่นใดตามที่ได้รับมอบหมายจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
หมายเหตุ : 1. หลักเกณฑ์ในการจำแนกประเภทหน่วยงานในรูปแบบ ส่วนราชการ หรือองค์การมหาชน ให้พิจารณาตามหลักการจำแนกประเภทหน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหารของสำนักงาน ก.พ.ร.
2. งบประมาณรายจ่ายประจำปี หมายถึง จำนวนเงินอย่างสูงที่อนุญาตให้จ่ายหรือให้ก่อหนี้ผูกพันได้ตามวัตถุประสงค์และภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในกฎหมาย ว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายโดยปีงบประมาณมีระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมของปีหนึ่ง ถึงวันที่ 30 กันยายนของปีถัดไป และให้ใช้ชื่อปี พ.ศ. ที่ถัดไปนั้นเป็นชื่อสำหรับปีงบประมาณนั้น
17. เรื่อง คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนอแต่งตั้งคณะกรรมการที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี จำนวน 2 คณะ ประกอบด้วย
1. คณะกรรมการนโยบายและอำนวยการแก้ไขปัญหาการก่อการร้ายสากล (นอก.)
2. คณะกรรมการพิจารณาปัญหาเขตแดนของประเทศไทย
(องค์ประกอบ หน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการคงเดิม) ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้พิจารณาเห็นชอบด้วยแล้ว ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 4 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป
1. คณะกรรมการนโยบายและอำนวยการแก้ไขปัญหาการก่อการร้ายสากล (นอก.) มีองค์ประกอบ ดังนี้
1. นายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
2. รองนายกรัฐมนตรี ที่ได้รับมอบหมาย รองประธานกรรมการ
3. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กรรมการ
4. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กรรมการ
5. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กรรมการ
6. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กรรมการ
7. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กรรมการ
8. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กรรมการ
9. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กรรมการ
10. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กรรมการ
11. เลขาธิการนายกรัฐมนตรี กรรมการ
12. ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กรรมการ
13. ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ กรรมการ
14. ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กรรมการ
15. อัยการสูงสุด กรรมการ
16. ผู้บัญชาการทหารสูงสุด กรรมการ
17. ผู้บัญชาการทหารบก กรรมการ
18. ผู้บัญชาการทหารเรือ กรรมการ
19. ผู้บัญชาการทหารอากาศ กรรมการ
20. เจ้ากรมยุทธการทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย กรรมการ
21. อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กรรมการ
กระทรวงการต่างประเทศ
22. ผู้แทนส่วนราชการและผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้อง กรรมการ
23. เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
24. รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ (1)
25. ผู้อำนวยการกองความมั่นคงเกี่ยวกับ กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ (2)
ภัยคุกคามข้ามชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
หน้าที่และอำนาจ (คงเดิม)
1. พิจารณากำหนดนโยบาย และการดำเนินการตามนโยบายการแก้ไขปัญหาการก่อการร้ายสากลให้สอดคล้องกับสถานการณ์
2. ศึกษาปัญหา ติดตาม และประเมินสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายสากลตามห้วงเวลาอย่างต่อเนื่อง
3. เมื่อสถานการณ์ก่อการร้ายเกิดขึ้นในประเทศหรือนอกประเทศ กรรมการนี้จะต้องปฏิบัติการ ณ ที่ที่กำหนดไว้จนสถานการณ์สงบเรียบร้อย หากกรรมการผู้ใดไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้จะต้องมอบหมายผู้แทนที่มีอำนาจตกลงใจปฏิบัติหน้าที่แทน และกรรมการคณะนี้จะได้พิจารณาและเสนอแนะมาตรการปฏิบัติแก่รัฐบาลเพื่อตกลงใจต่อไป
4. มอบหมายมาตรการปฏิบัติและอำนวยการในการแก้ไขปัญหาแล้วแต่กรณีให้หน่วย
ในองค์กรปฏิบัติทำหน้าที่ควบคุมสถานการณ์ หรืออาจมอบหมายให้หน่วยกำลังพิเศษอื่นตามความจำเป็นแล้วแต่กรณี
5. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานได้ตามความจำเป็น
6. มีอำนาจเชิญบุคคลมาชี้แจงข้อเท็จจริง หรือข้อคิดเห็นเพื่อการปฏิบัติภารกิจของคณะกรรมการ
7. หากมีปัญหาในการบริหารที่จำเป็นและเร่งด่วนให้ประธานกรรมการคณะนี้มีอำนาจในการพิจารณาตกลงใจและสั่งการ แล้วแจ้งให้คณะกรรมการทราบต่อไป
2. คณะกรรมการพิจารณาปัญหาเขตแดนของประเทศไทย มีองค์ประกอบคณะกรรมการ ดังนี้
1. เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ประธานกรรมการ
2. ปลัดกระทรวงมหาดไทย กรรมการ
3. ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ กรรมการ
4. อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กรรมการ
5. อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก กรรมการ
6. อธิบดีกรมการปกครอง กรรมการ
7. เสนาธิการทหาร กรรมการ
8. เสนาธิการทหารบก กรรมการ
9. เสนาธิการทหารเรือ กรรมการ
10. เจ้ากรมแผนที่ทหาร กรรมการ
11. เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร กรรมการ
12. เจ้ากรมอุทกศาสตร์ กรรมการ
13. ผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน กรรมการ
14. ผู้แทนหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง กรรมการ
กับเรื่องที่พิจารณา
15. ผู้อำนวยการกองความมั่นคงกิจการชายแดน กรรมการและเลขานุการ
และประเทศรอบบ้าน
สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
16. ผู้อำนวยการกองเขตแดนระหว่างประเทศ กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
กรมแผนที่ทหาร
17. ผู้อำนวยการกองเขตแดน กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย
18. นักวิเคราะห์นโยบายและแผน กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
หน้าที่และอำนาจ (คงเดิม)
1. พิจารณาปัญหาเกี่ยวกับเขตแดนของประเทศไทย โดยให้มีขอบเขตหน้าที่คลุมถึงเขตแดนทางบก ทางน้ำและทางทะเล กับประเทศเพื่อนบ้านทุกด้าน เว้นแต่ปัญหาการแบ่งเขตไหล่ทวีป และเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ
2. เสนอแนะนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติของไทยในการแก้ไขปัญหาเส้นเขตแดนระหว่างไทย กับประเทศเพื่อนบ้านต่อสภาความมั่นคงแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ
3. อำนวยการและประสานการปฏิบัติกับหน่วยต่าง ๆ เพื่อให้มีการวางแผนปฏิบัติงาน และดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติในการแก้ไขปัญหาเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน
4. เชิญเจ้าหน้าที่ บุคคล หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง หรือเรียกเอกสารจากบุคคลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาเพื่อประกอบการพิจารณาได้ตามความจำเป็น
5. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
6. ดำเนินการอื่นใดตามที่นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี สภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือประธานมอบหมาย
18. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงบประมาณ เสนอแต่งตั้ง นางพลินี เตชะมวลไววิทย์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง ที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณเชี่ยวชาญ) ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) สำนักงบประมาณ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 27 พฤษภาคม 2568 ซึ่งเป็น วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ และรองนายกรัฐมนตรี (นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ) ได้ให้ความเห็นชอบด้วยแล้ว
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
19. เรื่อง แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า) เสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพรวม 3 คน เนื่องจากประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปี ดังนี้
1. นายพิสิฐ รังสฤษฎ์วุฒิกุล ประธานกรรมการ
2. นางปัทมา วีระวานิช กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
3. นายอดุล ขาวละออ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 เป็นต้นไป
20. เรื่อง การแต่งตั้งรองประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลัง เสนอแต่งตั้งรองประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรรวม 2 คน แทนรองประธานกรรมการและกรรมการอื่นเดิมที่พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ ดังนี้
1. นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข รองประธานกรรมการ
2. นายนิรันดร์ มูลธิดา กรรมการ (ผู้แทนกรมส่งเสริมสหกรณ์)
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 เป็นต้นไป และผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งแทนนี้ให้อยู่ในตำแหน่งตามวาระของผู้ซึ่งตนแทน ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรี (นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ) ได้เห็นชอบด้วยแล้ว
21. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงบประมาณเสนอแต่งตั้ง นายวิศนุเวศ เศวตนันทน์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง ที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) สำนักงบประมาณ
ให้ดำรงตำแหน่ง รองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ สำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป และรองนายกรัฐมนตรี (นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ) ได้ให้ความเห็นชอบด้วยแล้ว
22. เรื่อง การโอนข้าราชการพลเรือนสามัญและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงยุติธรรม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เสนอรับโอน ร้อยตำรวจเอก
ปิยะ รักสกุล ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง รองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้
ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ทั้งนี้ ผู้มีอำนาจสั่งบรรจุทั้งสองฝ่ายได้ตกลงยินยอมการโอน และรองนายกรัฐมนตรี (นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ) ได้ให้ความเห็นชอบด้วยแล้ว
23. เรื่อง การโอนข้าราชการพลเรือนสามัญเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายโสภณ ซารัมย์) กำกับการบริหารราชการ สั่ง และ ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีในส่วนของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) เสนอรับโอน
นายฉันทานนท์ วรรณเขจร ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ทั้งนี้ ผู้มีอำนาจสั่งบรรจุทั้งสองฝ่ายได้ตกลงยินยอมการโอน และนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบด้วยแล้ว
24. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 5 ราย ดังนี้
1. นายโสภัชย์ ชวาลกุล ตำแหน่งรองอธิบดี (นักบริหารระดับต้น) กรมปศุสัตว์ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง
2. นางสุวรรณี ศรีสุวรรณ์ ตำแหน่งรองอธิบดี (นักบริหารระดับต้น) กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง
3. นายสุรชัย ยุทธชนะ ตำแหน่งรองเลขาธิการ (นักบริหารระดับต้น) สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง
4. นายบุญญกฤช ปิ่นประสงค์ ตำแหน่งรองอธิบดี (นักบริหารระดับต้น) กรมปศุสัตว์ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง
5. นายพงศ์ไท ไทโยธิน ตำแหน่งรองเลขาธิการ (นักบริหารระดับต้น) สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป
25. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (สำนักงาน ป.ย.ป.) เสนอแต่งตั้ง พันตำรวจเอก วทัญญู วิทยผโลทัย ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำด้านสังคม สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่ง รองผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ย.ป. (นักบริหารระดับสูง)
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงโปรดพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
26. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เสนอแต่งตั้งบุคคลเป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี จำนวน 2 ราย ดังนี้
1) นายชนะศักดิ์ อัตถาวงศ์
2) นายวุฒิกร สติฐิต
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้ง
27. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการการประปานครหลวง
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการการประปานครหลวง จำนวน 14 ราย ดังนี้
1) นายฉันทานนท์ วรรณเขจร ประธานกรรมการ
2) นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ กรรมการ
3) นายยุทธนา สาโยชนกร กรรมการ
4) ร้อยตำรวจเอก ปิยะ รักสกุล กรรมการ
5) นางสาวเพียงออ เลาหะวิไลย กรรมการ
6) พลตำรวจโท ภาณุรัตน์ หลักบุญ กรรมการ
7) นายภูวเดช สุระโคตร กรรมการ
8) นายพรรณรบ เตชะมงคลาภิวัฒน์ กรรมการ
9) นายจรูญเดช เจนจรัสสกุล กรรมการ
10) นายกช พัชรารัตน์ กรรมการ
11) นายฐิติวุฒิ เงินคล้าย กรรมการ
12) นายสมชาย อ่วมกระทุ่ม กรรมการ
13) นายธีรพจน์ จันทรศุภแสง กรรมการ
14) นายวินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ กรรมการ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 เป็นต้นไป
28. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการการประปาส่วนภูมิภาค
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการการประปาส่วนภูมิภาค จำนวน 8 ราย ดังนี้
1) นายจุมพฏ วรรณฉัตรสิริ ประธานกรรมการ
2) นางธาราพร สิงหพันธุ์ มหิทธาฟองกุล กรรมการ (ผู้แทนกระทรวงการคลัง)
3) นางปาณิสรา ดวงสอดศรี กรรมการ
4) นายเผ่าภัค ศิริสุข กรรมการ
5) นายหลักชัย พัฒนเจริญ กรรมการ
6) นายคธาทิพย์ เอี่ยมกมลา กรรมการ
7) รองศาตราจารย์ชัยวัฒน์ อุตตมากร กรรมการ
8) นายอธิป ตันติวรวงศ์ กรรมการ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 เป็นต้นไป
29. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จำนวน 13 คน ดังนี้
1) นายนฤชา โฆษาศิวิไลซ์ ประธานกรรมการ
2) นายกรณินทร์ กาญจโนมัย กรรมการ
3) นายจิระพงศ์ เทพพิทักษ์ กรรมการ
4) นายเจษฎ์ โทณะวณิก กรรมการ
5) นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ กรรมการ
6) รองศาสตราจารย์ธีร เจียศิริพงษ์กุล กรรมการ
7) นายปริญญา แสงสุวรรณ กรรมการ
8) ผู้ช่วยศาสตราจารย์พงษ์ศักดิ์ กีรติวินทกร กรรมการ
9) นายพนิต ธีรภาพวงศ์ กรรมการ
10) ศาสตราจารย์ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์ กรรมการ
11) พลตำรวจเอก สำราญ นวลมา กรรมการ
12) พลตำรวจโท สมประสงค์ เย็นท้วม กรรมการ
13) นายสุวิทย์ ธรณินทร์พานิช กรรมการ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 เป็นต้นไป
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี