วันศุกร์ ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
‘แม้หวังตั้งสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ’
นายกฯลั่นกองทัพพร้อม
ยกคำสอนปลุกใจทหารไทย
‘บิ๊กเล็ก’ยกหูคุย‘เตียเซยฮา’
‘พีระพันธุ์’แฉหวังฮุบพลังงาน
นายกฯยันให้อำนาจกองทัพตัดสินใจปมปัญหาชายแดน ซึ่งกองทัพพร้อมรับมือสถานการณ์ไทย-เขมรลั่น “แม้หวังตั้งสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ” ย้ำศูนย์อพยพ - เงินเยียวยา เตรียมพร้อมหมดแล้ว ด้าน“บิ๊กเล็ก”สายตรง“เตีย เซยฮา”ให้หยุดปฏิบัติการทหารในพื้นที่พลเรือน เชื่อเขมรมีแผนใส่ร้ายไทย หวังดึงโลกกดดัน รับบทผู้ถูกกระทำเหมือนเดิม ล้มโต๊ะถกจีบีซี จี้ AOT ตรวจสอบไฟเขียวผบ.หน่วยระดับพื้นที่ตอบโต้ได้เลย ไม่ต้องรอผบ.ทบ. วอน ‘ผู้รู้-สื่อ’ ระวังเปิดเผยข้อมูล ทำให้เขมรรู้ทัน เอาไปต่อจิ๊กซอว์ได ส่วนทบ.เผยกัมพูชาฝ่าฝืนข้อตกลงและยั่วยุชายแดนซ้ำซาก โดยเฉพาะการลอบวางทุ่นระเบิด เผยในพื้นที่กทภ.2 ตรวจเจอ 17 ทุ่น ลั่นทหารพร้อมรักษาอธิปไตย-ความปลอดภัยของประชาชน
เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน เวลา 07.45 น. ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทยให้สัมภาษณ์ถึงการมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา ระหว่างการเดินทางไปต่างประเทศว่า ไม่มีปัญหา ตนเปิดช่องทางการสื่อสารกับที่เกี่ยวข้องหรือรับผิดชอบต่อสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง
ยันกองทัพมียุทธวิธีรับมือเขมรป่วน
ส่วนที่ประชาชนกังวลสถานการณ์ชายแดน เนื่องจากเมื่อวานนี้ (12 พฤศจิกายน) มีเหตุเสียงดังคล้ายระเบิดบริเวณบ้านหนองจาน-หนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว นายกรัฐมนตรี ระบุว่า เราจะทำให้ดีที่สุด พร้อมยืนยันว่าเราไม่ได้มีเจตนาไปรุกรานใคร แต่เราก็ไม่ยอมให้ใครมาคุกคามอธิปไตยของเรา ทั้งจะไม่ยอมให้ประชาชน และทหารต้องประสบภัยอันตราย
ผู้สื่อข่าวถามว่า เหมือนกัมพูชาใช้ปืนเล็กยิงก่อกวนเข้ามาในฝั่งไทย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ทหารมียุทธวิธี ซึ่งรัฐบาลสนับสนุนเต็มที่ ส่วนหากจำเป็นต้องอพยพ เรื่องของศูนย์พักพิง และเงินเยียวยา มีความพร้อมใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว
โวตอนเป็นฝ่ายค้านยังดูแลปชช.ทัน
ส่วนเรื่องเงินเยียวยาต้องให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเบิกจ่ายได้ทันทีหรือไม่นั้น ตนก็เป็นรมว.มหาดไทย แต่คราวที่แล้วตนไม่ได้เป็น แต่ก็ได้ดำเนินการเรื่องศูนย์อพยพในอีสานใต้ ร่วมกับมีสส.จนสามารถดูแลประชาชนที่ต้องย้ายมายังศูนย์อพยพได้ และมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังได้รับธารน้ำใจจากประชาชนทั้งประเทศเข้าไปช่วยเหลือ ซึ่งรัฐบาลจะใช้รูปแบบดังกล่าวในการดูแลประชาชนตามความจำเป็น
ถามย้ำว่าหน่วยงานรัฐต้องไม่ช้าใช่หรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า คราวที่แล้วตนเป็นฝ่ายค้าน พวกตนยังทำได้ วันนี้ตนเป็นนายกฯและรมว.มหาดไทย
ย้ำกองทัพพร้อมรับมือทุกสถานการณ์
ถามถึงการประเมินสถานการณ์ เนื่องจากบรรยากาศตอนนี้เข้าใกล้การปะทะ นายกฯกล่าวว่า แม้หวังตั้งสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพเพราะมีคำสั่งสอนมาตั้งแต่บรรพบุรุษแล้ว พร้อมยืนยันว่า ได้ให้อำนาจทหารในการตัดสินใจตั้งแต่วันแรกที่มาเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว โดยการเตรียมความพร้อมชายแดนนั้นจะสั่งการผ่านสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) แต่ตอนนี้มีข้อสั่งการที่มีกรอบอยู่แล้ว การประชุม สมช.แต่ละครั้งถือเป็นการรับฟังรายงานความพร้อมและปฏิบัติงาน ที่ต้องปรับไปตามสถานการณ์และความเหมาะสม รวมถึงให้การสนับสนุนสิ่งที่กองทัพร้องขอมา
“ยืนยันว่า กองทัพพร้อมรับมือสถานการณ์และปกป้องแผ่นดิน อธิปไตย และความปลอดภัยของประชาชน”นายกฯกล่าว และว่า ส่วนที่นายฮุน มาเนต นายกฯเขมรโพสต์กล่าวอ้างว่า ทหารไทยยิงใส่พลเรือนเขมรบาดเจ็บ และเสียชีวิตนั้น ได้อ่าน แต่เราก็มีแนวทางของเรา
บิ๊กเล็กคุยเตียเซยฮาหยุดปฎิบัติการทหาร
ด้านพล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหมให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา จ.สระแก้วหลังกัมพูชายิงเข้ามายังฝั่งไทยว่า เป็นไปตามสถานการณ์ ซึ่งตนเน้นย้ำไป 2 มาตรการคือ เราระงับปฎิบัติการตามปฏิญญาแล้ว และต้องปกป้องพื้นที่ที่อยู่ในเขตอธิปไตยของไทยตามกฎการใช้กำลัง ซึ่งเชื่อว่าเหตุการณ์เมื่อวานนี้ (12 พฤศจิกายน)เป็นการยั่วยุ โดยกองกำลังบูรพา กองทัพภาคที่ 1 ก็ใช้ความระมัดระวัง ที่จะดำเนินการในพื้นที่ที่มีพลเรือนอาศัยอยู่ ได้แต่ยิงตอบโต้เพื่อให้เขารับทราบว่าอย่ากระทำอย่างนี้อีก เนื่องจากพื้นที่นั้นมีพลเรือนอาศัยอยู่ จึงไม่น่าทำ ซึ่งตนได้โทรหาพล.อ.เตียเซยฮา รมว.กลาโหมกัมพูชา ให้หยุดการปฎิบัติการในพื้นที่พลเรือน แม้จะบอกว่าไม่เจตนาก็ตาม แต่ก็ยังเป็นพื้นที่พลเรือน ซึ่งพล.อ.เตียเซยฮาก็พูดเหมือนที่กระทรวงกลาโหมเขมรแถลงออกมา
ฉะเขมรยั่วยุมุ่งเอาชีวิต-ใส่ร้ายไทย
ส่วนที่เขมรอ้างมีพลเรือนเขมรบาดเจ็บ 3 ราย เสียชีวิต 1 ราย พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า เราไม่ได้รับทราบว่ามีพลเรือนอยู่บริเวณ ในเมื่อทหารกัมพูชายิงเข้ามาฝั่งเรา เราก็ต้องตอบโต้ ซึ่งครั้งก่อนเห็นว่าการยั่วยุเป็นการยิงปืนขึ้นฟ้า แต่ครั้งนี้ยิงมาระดับบุคคล แสดงว่ามุ่งหวังชีวิต ซึ่งเรามีหลักฐานคือรอยกระสุนบริเวณบังเกอร์ ดังนั้นเราต้องยิงตอบโต้ ซึ่งเป็นไปตามกฎใช้กำลังอยู่แล้ว สิ่งที่เขาไม่ควรทำอย่างยิ่งคือการปฏิบัติในพื้นที่ที่มีพลเรือนอยู่ อีกทั้ง เขมรก็ทราบดีอยู่แล้วว่าบริเวณนั้นมีพลเรือนอยู่ ซึ่งตนยังมองด้วยซ้ำว่าพลเรือนที่อยู่บริเวณนั้นมาร่วมอยู่ด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่าเขมรต้องการยั่วยุให้เกิดสงครามใช่หรือไม่ พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า ตนไม่คิดถึงขนาดนั้น ไม่อยากให้เรียกว่าสงคราม ดูหนักเกินไป แต่เป็นการจัดฉากเพื่อให้เกิดการปะทะว่าเขาเป็นฝ่ายถูกกระทำ
ถามว่าเขาหวังใส่ร้ายไทยเพื่อหวังผลหรือไม่ พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า คิดว่าเป็นอย่างนั้น โดยมุ่งหวังให้ประชาคมโลกหันกลับมาตรงนี้ เพราะเขาทำลักษณะนี้มาเรื่อยๆอยู่แล้ว ในพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้วและบ้านหนองจาน โดยนำพลเรือนมาออกหน้า แม้รัฐบาลเขมรออกมาระบุว่าไม่ได้มีนโยบายเช่นนั้น แต่พฤติกรรมที่เกิดขึ้นเรามองว่าเป็นเช่นนั้น
ย้ำเลิกถกจีบีซี-จี้AOTสอบปมหนองจาน
ถามย้ำว่า เขาบอกเหตุผลหรือไม่ว่าเหตุใดจึงยิงปืนกลเข้ามาฝั่งไทยถึง 60 นัด พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า ก็เขาไม่ยอมรับเมื่อถามว่า พล.อ.เตียเซยฮา ไปขอให้เจรจาขึ้นหรือไม่ พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า ขออนุญาตไม่พูด เพราะเป็นการพูดคุยกันส่วนตัว คล้ายโฟว์อาย แต่จุดยืนของเรายังเหมือนเดิมคือจะไม่มีการประชุมจีบีซี ซึ่งจะเกิดขึ้นปีละ 1 ครั้ง ซึ่งที่ผ่านมาเป็นการประชุมสมัยวิสามัญ ต่อจากนี้ไปจะไม่มีอีกแล้ว เพราะมองว่าไม่มีประโยชน์ รวมถึงปีหน้าก็คงไม่มี ต่อไปก็ให้ใช้กลไกรัฐบาลหรือรมว.ต่างประเทศ ก็ให้ว่ากัน ในส่วนจีบีซี ไม่มีอะไรคืบหน้าและไม่ปฏิบัติตามปฏิญญา ประชุมไปก็เปลืองภาษีประชาชน ขณะที่คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) ยังคงปฏิบัติงาน เหตุการณ์ที่บ้านหนองหญ้าแก้วก็ต้องพิสูจน์ทราบต่อไป ซึ่งเป็นข้อตกลงของประเทศอาเซียน ไม่เกี่ยวกับปฏิญญาสันติภาพ
ขอสื่อ-ผู้รู้ไม่เปิดข้อมูลความมั่นคง
ถามว่าจะมีมาตรการอื่นอีกหรือไม่ พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า ถ้าเป็นพื้นที่ที่ไม่มีพลเรือน ก็ปฏิบัติตามลำดับขั้นตอนได้เลย แต่ตนไม่ขอลงรายละเอียด
“ปัจจุบันผมก็เครียดมากพออยู่แล้ว เพราะมีผู้รู้ ทหารเก่าออกมาพูด กระทั่งเขมรต่อจิ๊กซอว์ได้ ขอความกรุณาสื่อหรือพิธีกรการเปิดเวทีให้บุคคลต่างๆมาพูด เช่น กู้ระเบิดทำให้เขมรต่อจิ๊กซอว์ได้ เพราะเป็นทหารด้วยกันจะคิดคล้ายกัน ผมต้องคอยดูว่าอะไรที่พูดไปแล้ว ต้องทำอย่างรอบคอบ เพราะเขมรเขาคาดเดาได้แล้ว นี่คือสิ่งที่ผมห่วงใยชีวิตน้องๆที่อยู่แนวหน้า เมื่อถึงเวลาที่เขาต้องปฎิบัติการทางทหาร ปรากฏว่าฝ่ายตรงข้ามเขาเตรียมการไว้หมดแล้ว ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อชีวิตน้องๆส่วนตัวเข้าใจสื่อต้องหาข่าว แต่ในมุมทหาร บางครั้งคนที่พูดไม่เจตนาก็ตาม เพราะเจตนาของเขาต้องการแสดงว่าเขารู้ แต่สิ่งที่เขารู้ ทำให้เขมรรู้ด้วย แต่ไม่สามารถไปห้ามได้ อยากฝากถึงทุกคนที่ทำให้ข้อความเหล่านั้นออกสู่สาธารณะ เพราะเขมรดูอยู่”พล.อ.ณัฐพลกล่าว
ย้ำผบ.ทหารปกป้องอธิปไตยตามกฎใช้กำลัง
เมื่อถามว่าประชาชนเป็นห่วงว่าจะเกิดสิ่งใดบริเวณแนวชายแดน พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า ขออนุญาตไม่พูดถึง ในเมื่อเราระงับการปฎิบัติตามปฏิญญาแล้ว สิ่งที่ได้คุยกับผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในฐานะผู้บัญชาการทางทหาร อะไรที่อยู่ในพื้นที่อธิปไตยของเรา ขอให้ปกป้องตามกฎการใช้กำลัง ฉะนั้นตนจึงไม่สามารถให้ความมั่นใจได้ ขึ้นอยู่กับเขมรว่าต้องการคลี่คลายสถานการณ์จริงหรือไม่ ที่ผ่านมาเราใช้แนวทางสันติมาตลอด จนบางครั้งยังถูกตำหนิเสียด้วยซ้ำว่าไม่เข้มแข็งไม่เด็ดขาด ถึงเวลานี้เราก็เพิ่มความเด็ดขาดมากขึ้น ซึ่งนายกฯประกาศใช้แล้วว่าระงับปฏิญญา
ผบ.หน่วยพื้นที่ตัดสินใจตามสถานการณ์
สำหรับความเด็ดขาดในการตัดสินใจอยู่ที่ผู้บัญชาการทหารบกใช่หรือไม่ พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า มีอยู่ 2 ประการ ระดับอำนวยการมีคณะผู้บัญชาการทางทหาร แต่กฎการใช้กำลังมีทุกระดับ แม้แต่ผบ.ที่คุมกำลังหน่วยเฉพาะกิจ ที่อยู่แนวน้า ก็สามารถดำเนินการได้ แต่ไม่ขอลงรายละเอียด ตนอยากให้สื่อมวลชนสบายใจ ไม่ใช่ต้องรอฟังผู้บัญชาการทหารบกเพียงคนเดียว หรือผู้บัญชาการทหารสูงสุด เขามีระดับปฏิบัติการอยู่แล้วว่าเหตุการณ์เช่นนี้ใครจะเป็นผู้ตัดสินใจ เช่นกรณียิงเข้ามาบริเวณบ้านหนองหน้าแก้ว เราสามารถตอบโต้ได้ทันที แต่หากทำมากกว่านั้น อำนาจการตัดสินใจก็เลื่อนลำดับขึ้นมา
ทบ.เผยพื้นที่ทภ.2เจอทุ่นระเบิด17ลูก
ที่กองบัญชาการกองทัพบก พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบกแถลงถึงสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ที่กลับมาตึงเครียดอีกครั้งว่าแม้รัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาร่วมลงนามปฏิญญาร่วมไทย–กัมพูชา (Joint Declaration) เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์และความมั่นคงตามแนวชายแดน ครอบคลุม 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ ถอนอาวุธหนัก เก็บกู้ทุ่นระเบิด ปราบปรามขบวนการอาชญากรรมไซเบอร์สแกม และการบริหารจัดการพื้นที่หมู่บ้านชายแดนจ.สระแก้ว แต่ที่ผ่านมาเขมรยังมีท่าทีเป็นปรปักษ์ต่อฝ่ายไทยมาต่อเนื่อง โดยเฉพาะการลักลอบวางทุ่นระเบิด ซึ่งในพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 เกิดเหตุการณ์และตรวจพบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลชนิด PMN-2 หลายครั้ง เหตุการณ์ทั้งหมดมีลักษณะต่อเนื่องและเข้าข่ายละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศชัดเจนรวมทั้งหมด 17 ทุ่น ดังนี้
ในพื้นที่ห้วยตามาเรีย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2568 ตรวจพบทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 มีลักษณะการวางใหม่ 7 ลูก เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2568 ตรวจพบแนวลวดหนามถูกตัดหลายจุด วันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 ทหารเหยียบกับระเบิดในแนวลวดหนามของฝ่ายไทยระยะลึกเข้ามาประมาณ 7 เมตร ทำให้ทหารไทยเจ็บ 4 นาย และตรวจพบ PMN-2 เพิ่มเติมอีก 3 ลูกบริเวณใกล้เคียง
สำหรับเหตุการณ์พื้นที่อื่นได้แก่ พื้นที่ปราสาทโดนตวล อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 10–11 พฤศจิกายน 2568 ตรวจพบทุ่นระเบิด 5 ลูกพื้นที่ช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 ตรวจพบ PMN-2 จำนวน 1 ลูก การกระทำดังกล่าว นอกจากเป็นการขัดขวางกระบวนการสันติภาพในพื้นที่ชายแดนที่กำลังเดินหน้าไปด้วยดีแล้ว ยังละเมิดข้อตกลงระหว่างกันและอนุสัญญาออตตาวา
ปล่อยเฟคนิวส์สร้างหลักฐานเท็จใส่ร้ายไทย
นอกจากนี้ กัมพูชาได้เผยแพร่ข่าวปลอม บิดเบือนข้อมูลหลายประเด็นโดยไม่อยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริงแต่อย่างใด อาทิ การเสียชีวิตของเชลยศึก การกล่าวหาว่าทหารไทยเปิดฉากยิงใส่คนเขมรก่อน การใส่ร้ายว่าไทยเป็นผู้วางทุ่นระเบิดเอง เป็นต้น ซึ่งความเป็นจริงคือ เขมรสร้างหลักฐานและคำกล่าวอ้างเป็นเท็จใส่ร้ายไทยโดยไม่มีมูลความจริงทุกประการ
ต่อกรณีนี้ จะเห็นได้ว่าเขมรมีเจตนาไม่ปฏิบัติตามปฏิญญาร่วมไทย–กัมพูชา (Joint Declaration) และกระทำการที่แสดงออกถึงความเป็นปรปักษ์ต่อไทยชัดเจน จนนำไปสู่รัฐบาลไทยมีมติให้ระงับการดำเนินการตามข้อตกลง โดยกองทัพบกระงับการถอนอาวุธหนัก รวมถึงส่งกลับเชลยศึกทุกกรณี แต่ไทยยังเดินหน้าเก็บกู้ทุ่นระเบิดในเขตอธิปไตยไทยต่อไป เพื่อให้พื้นที่ปลอดภัยและพร้อมปฏิบัติการทุกด้านที่อาจเกิดขึ้นทั้งนี้ กองทัพบกพร้อมปกป้องอธิปไตยของชาติ ในกรอบการปฏิบัติของศูนย์บัญชาการทางทหารและกระทรวงกลาโหม สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อป้องกันภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่ออธิปไตย และประชาชนไทยทุกพื้นที่
‘พีระพันธุ์’เปิดโปงวาระซ่อนเร้นเขมร
มีความเห็นจากนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค อดีตรมว.พลังงาน เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊ก พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา โดยชี้ถึงประเด็นน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งว่า ขณะที่สังคมกำลังมุ่งความสนใจไปที่สถานการณ์ชายแดนบนบก แต่เป้าหมายที่แท้จริงของกัมพูชาคือการอ้างสิทธิในเขตแดนทางทะเล ซึ่งเกี่ยวข้องกับทรัพยากรพลังงานมหาศาลที่ไทยสูญเสียโอกาสใช้ประโยชน์มานานกว่า 52 ปี โดยนายพีระพันธุ์ ได้ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับเป้าหมายที่แท้จริงของกัมพูชาและปัญหาการรับมือของฝ่ายไทยอย่างตรงไปตรงมาในเพจส่วนตัว มีเนื้อหาโดยสรุปว่า
“เป้าหมายที่แท้จริงของเขมรไม่ใช่แค่เขตแดนบนบก สถานการณ์ไทย-เขมรวันนี้ถูกจดจ่อไปที่ชายแดนบนบกทางภาคอีสาน แต่ความเป็นจริงเขตแดนที่ต้องเป็นห่วงและต้องทวงคืนไปพร้อมกันนอกจากปราสาทตาควายแล้ว คือเขตแดนในทะเลที่พิพาทกันมาตั้งแต่ พ.ศ. 2516 ที่อยู่ๆเขมรก็อ้างการลากเส้นเขตแดนในทะเลตามอำเภอใจไม่สนใจหลักสากล ทำให้เกิดพื้นที่อ้างสิทธิทางทะเลมาจนทุกวันนี้ ผมขอย้ำว่าที่ถูกต้อง ต้องเรียกว่าพื้นที่อ้างสิทธิ ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อน เพราะพื้นดินมีหนึ่งเดียวมาทับซ้อนกันไม่ได้ แต่เป็นการอ้างสิทธิเหนือพื้นที่เดียวกัน”นายพีระพันธุ์ระบุ
จ้องขยับหลักเขต73หวังกระทบเขตทะเล
และว่า ตนเชื่อว่าเขาต้องการขยับเส้นเขตแดนบนบกตามแนวชายแดนภาคอีสานเพื่อให้กระทบไปถึงหลักเขตสุดท้ายก่อนลงทะเลคือ หลักเขตที่ 73 เพราะหากขยับหลักเขตนี้ได้ก็เท่ากับเส้นเขตแดนในทะเลจะเปลี่ยนตาม เขตแดนทางทะเลตรงนี้มีความสำคัญมากเพราะไม่ใช่เป็นแค่เขตแดนเท่านั้น แต่หมายถึงทรัพยากรทางพลังงานใต้พื้นทะเลตรงบริเวณนั้นด้วย และน่าจะเป็นเป้าหมายสำคัญต่อไปของเขา เราจึงควรป้องกันและเอาจริงกับเรื่องนี้ได้แล้วข้อพิพาทจากเขตแดนในทะเลนี้ทำให้ไทยเราไม่สามารถพัฒนาหรือนำทรัพยากรทางพลังงานมาใช้ประโยชน์ได้เป็นเวลากว่า 52 ปีแล้ว ทั้ง ๆ ที่เป็นพื้นที่ของเราเองแท้ๆ เสียเวลาไปกับความเกเร เพราะเขมรอ้างสิทธิทับซ้อนลากเส้นเขตแดนทางทะเลตามหลักเกณฑ์ของตนเองไม่ใช่หลักสากล
นายพีระพันธุ์กล่าวต่อว่า พอมาปี 2540 ก็เกเรเพิ่มขึ้นอีกโดยการถมทะเลให้แผ่นดินต่อยื่นเข้าไปในทะเลอีกหลายร้อยเมตรอ้างว่าเป็นเขื่อนกันคลื่นแต่ตามสนธิสัญญาระหว่างประเทศอาจใช้เป็นข้ออ้างว่าเป็นเขตต่อเนื่องจากแผ่นดินที่จะมีผลต่อการลากเส้นแบ่งเขตแดนในทะเลเพิ่มขึ้นจากเดิมได้อีก ซึ่งจะกระทบถึงทรัพยากรทางพลังงานของชาติในทะเลยิ่งขึ้นไปอีกเช่นกัน ตนเชื่อแน่ว่าเจตนาที่แท้จริงของเขมร ไม่ใช่เป็นห่วงคลื่นเป็นห่วงทะเลอะไร
จี้ทร.-รบ.อย่าทำแค่ประท้วง
“กองทัพเรือรู้เรื่องนี้ดีแต่ทำอะไรไม่ได้เพราะไม่เคยมีคำสั่ง รัฐบาลไทยได้แต่ประท้วง ทำได้เท่านั้น…
ประท้วงไป 3 ครั้ง ตั้งแต่ปี 2541 และครั้งล่าสุดคือเมื่อปี 2564 24 ปี ทำได้แค่ประท้วง และประท้วงแค่ 3 ครั้ง ปีนี้ 2568 เพิ่มเป็น 28 ปี แล้ว ก็ยังเงียบอยู่ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น และไม่มีการพูดถึง คงต้องรอการประท้วงครั้งต่อไปจนกว่าจะถูกยึดไปอีกกระมัง รัฐบาลไทย กองทัพไทย ทำได้แค่นี้จริงหรือ?”
นายพีระพันธุ์ยังเสนอแนะอีกว่า เราน่าจะใช้โอกาสนี้จัดการแก้ไขเรื่องนี้ด้วย ถ้าไม่ทำลายทิ้ง ก็ทำบ้าง เขาทำได้เราก็ทำได้ เมื่อเขาไม่ยอมรื้อเราก็ต้องทำบ้าง เอาให้ยาวกว่า ดูสิว่าจะว่าอย่างไร เรื่องประโยชน์ชาติเป็นสุภาพบุรุษไม่ได้
แฉไร้คำสั่งทวงคืนเขตแดนทางทะเล
นายพีระพันธุ์ ยังได้กล่าวถึงประสบการณ์ส่วนตัวช่วงเกิดการปะทะเดือนกรกฎาคม 2568 ว่า แม้กองทัพเรือจะพร้อม แต่กลับได้รับแจ้งว่าไม่มีคำสั่งให้ดำเนินการทวงคืนเขตแดนทางทะเล
“ช่วงที่เกิดปะทะผมอยู่ใน ครม. ในฐานะรมว.พลังงานที่ต้องทวงคืนทรัพยากรพลังงานให้ประเทศ ผมเห็นกองทัพเรือเตรียมความพร้อมแล้วแต่เขาบอกว่า…ไม่มีคำสั่งผมเลยบอกกับกลาโหมให้ใช้โอกาสนี้ทวงคืนเขตแดนทางทะเลด้วยเลยไม่ใช่ทวงคืนแต่บนบก เพราะมีทรัพยากรพลังงานที่มีค่ามหาศาลสำหรับคนไทยและประเทศไทยและเป็นของเราอย่างถูกต้องด้วย แต่จนวันนี้ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น วันก่อนผมถามกองทัพโดยรวมว่าพร้อมที่จะเด็ดขาดหรือยัง ถ้าพร้อมมัวรออะไรอยู่ วันนี้ขอถามกองทัพเรือว่าพร้อมที่จะเด็ดขาดทวงเขตแดนทางทะเลของเราคืนหรือยัง ถ้าพร้อม…รออะไรครับ?”
ฃฟ้องUN!’เขมร’ยื่น7คำร้องอ้างไทยยิงพลเรือนดับ
ด้านสำนักข่าวขแมร์ไทมส์รายงานว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนกัมพูชา (CHRC) ออกแถลงการณ์ว่าได้ยื่นคำร้องไปยังองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) และหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนระดับภูมิภาค เพื่อเรียกร้องให้สอบสวนอย่างเป็นอิสระเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เขมรอ้างว่ากองทัพไทยเปิดฉากยิงเข้ามาในบ้านเปรยจัน จังหวัดบันเตียเมียนเจยของกัมพูชา ทำให้พลเรือนเขมรเสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 3 ราย
CHRC ระบุว่าเหตุที่เกิดขึ้นจากกองทัพไทยถือเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของคนเขมร และกฎหมายระหว่างประเทศ อาทิ กฎบัตรสหประชาชาติ ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และถ้อยแถลงร่วมระหว่างไทยและเขมรที่ลงนามที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ CHRCจึงยื่นคำร้องสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) สำนักงาน OHCHR ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในกรุงเทพ สถาบันอิสระด้านสิทธิมนุษยชนในอาเซียน และประธาน ผู้แทนถาวรของมาเลเซียประจำคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (ICAI)
1. เรียกร้องให้ไทยยุติการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ทั้งหมด และให้ความเคารพต่อความปลอดภัยของพลเรือนชาวกัมพูชาตามแนวชายแดน 2.ร่วมมือกับรัฐบาลไทยเพื่อให้แน่ใจว่ามีการสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นอิสระ เป็นกลางโปร่งใส และเพื่อให้แน่ใจว่าบุคคลใดๆที่รับผิดชอบอนุมัติหรือดำเนินการอันผิดกฎหมายนี้ต้องรับผิดอาญา 3. เรียกร้องให้ไทยรักษาพยาบาล ชดเชยแก่เหยื่อและครอบครัวอย่างเร่งด่วน 4. เรียกร้องให้รัฐบาลไทยสร้างกลไกป้องกันและสร้างความเชื่อมั่น และดำเนินการตามปฏิญญาสันติภาพเต็มที่
5.นำเรื่องนี้หารือคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติหรือขั้นตอนพิเศษที่เกี่ยวข้องเพื่อให้แน่ใจว่ามีการรับผิดชอบและไม่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นอีก 6.พิจารณาส่งคณะผู้แทนตรวจสอบข้อเท็จจริงลงพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบเพื่อประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ 7. เรียกร้องให้รัฐบาลไทยปล่อยตัวและส่งทหารกัมพูชา 18 นายกลับประเทศทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข
“ยืนยันความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ของกัมพูชาต่อหลักการกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และเรียกร้องให้ชุมชนระหว่างประเทศต้องรับผิดชอบต่อการละเมิดร้ายแรงเหล่านี้ และดำเนินมาตรการเร่งด่วนเพื่อรับรองความยุติธรรมให้เหยื่อและการคุ้มครองพลเรือนทั้งหมดตามแนวชายแดนกัมพูชา-ไทย”แถลงการณ์ระบุ
เขมรเร่งพาAOTดูอาการคนเจ็บถึงICU
นายอุมราตรี ผู้ว่าราชการจังหวัดบันเตียเมียนเจย พร้อมกองทัพกัมพูชานำคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) ลงพื้นที่เป็นการเร่งด่วน เพื่อตรวจสอบอาการบาดเจ็บของพลเรือนเขมร 3 ราย ซึ่งกำลังรักษาตัวอยู่ในห้อง ICUของโรงพยาบาลมิตรภาพกัมพูชา-ญี่ปุ่น มงคลบุรีนายอุม ราตรี ได้พยายามบิดเบือนและให้ข้อมูลที่เป็นความเท็จแก่คณะAOT โดยกล่าวอ้างว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดจากการที่ทหารไทยกราดยิงพลเรือนเขมรที่หมู่บ้านเปรยจัน จังหวัดบันเตียเมียนเจย ช่วงเย็นวันที่ 12 พฤศจิกายน ก่อนป้ายสีทหารไทยในสังคมออนไลน์เขมรอย่างกว้างขวาง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี