วันอังคาร ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
วันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 นายวัส ติงสมิตร นักวิชาการอิสระ อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา และอดีตประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า ทักษิณต้องจ่ายภาษี 1.76 หมื่นล้านบาทในการขายหุ้นชินคอร์ปฯ ให้กลุ่มเทมาเสก
วันนี้ (จันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2568) สื่อมวลชนรายงานข่าวว่า “ทักษิณ” อ่วม ศาลฎีกาพิพากษากลับยกฟ้องคดีที่ทักษิณฟ้องกรมสรรพากรให้เพิกถอนการประเมินเรียกเก็บภาษีขายหุ้นชินคอร์ปฯ ให้กลุ่มเทมาเสก ชี้การให้ "โอ๊ค-เอม" ถือหุ้นแทน ถือว่ามีวัตถุประสงค์ขาดคุณธรรมทางภาษีเพื่อให้รัฐเก็บภาษีไม่ได้ เป็นธุรกรรมที่ทำขึ้นเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมายอย่างร้ายแรง ทำให้ทักษิณต้องจ่ายภาษี 17,629.58 ล้านบาท พร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม
ผู้เขียนพิจารณาแล้ว มีข้อมูลและความเห็นดังนี้
1)เดิมกรมสรรพากรประเมินเรียกเก็บภาษีเงินได้ 17,629.57 ล้านบาท จากนายพานทองแท้ และนางสาวพิณทองทา บุตรนายทักษิณ แต่บุคคลทั้งสองต่อสู้ว่าผู้ต้องเสียภาษีที่แท้จริงคือนายทักษิณ เพราะเป็นเจ้าของหุ้นและได้รับผลประโยชน์ที่แท้จริง ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้บุคคลทั้งสองชนะคดี กรมสรรพากรไม่อุทธรณ์ และไม่ยอมออกหมายเรียกและประเมินภาษีจากนายทักษิณผู้ต้องเสียภาษีที่แท้จริง ทั้งที่ยังอยู่ในกำหนดเวลาที่สามารถออกหมายเรียกและประเมินภาษีได้
ต่อมาเดือนมีนาคม 2560 ในขณะที่คดีจะครบอายุความ 10 ปี ที่จะประเมินภาษีจากนายทักษิณ รัฐบาลพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา ได้แจ้งให้กรมสรรพากรประเมินภาษีจากนายทักษิณตามคำแนะนำของ สตง. กรมสรรพากรจึงประเมินภาษี 17,629.58 ล้านบาทจากนายทักษิณ
2) นายทักษิณจึงฟ้องกรมสรรพากรและคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาลภาษีอากรกลาง ขอให้เพิกถอนการประเมิณ โดยอ้างว่าว่ากรมสรรพากรไม่ได้ออกหมายเรียกตนก่อนประเมินภาษี จึงประเมินภาษีตนไม่ได้ เป็นคดีนี้
3) ศาลภาษีอากรกลางมีคำพิพากษา (ในคดีหมายเลขดำที่ ภ 220/2563 หรือ คดีหมายเลขแดงที่ ภ 109/2565 ลงวันที่ 18 กรกฎาคม2565) เพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาฯ (ภ.ง.ด.12) เนื่องจากเห็นว่าเจ้าพนักงานประเมินกรมสรรพากรมิได้ออกหมายเรียกตรวจสอบโจทก์ ตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร ในฐานะตัวการ การออกหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาฯ (ภ.ง.ด.12) จึงเป็นการดำเนินการโดยไม่ชอบ กรมสรรพากรกับพวกอุทธรณ์
4) ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีภาษีอากร มีคำพิพากษา (ที่ 2819/2566 ลงวันที่ 2 มิถุนายน 2566) ยืนตามศาลภาษีอากรกลาง กรมสรรพากรกับพวกฎีกา
5) ศาลฎีกาแผนกภาษีอากรเห็นว่า การที่โจทก์ปกปิดการถือหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จำกัด (มหาชน) ของตนโดยให้บุคคลอื่นรวมถึงนายพานทองเเท้ และนางสาวพินทองทา ถือหุ้นแทน เพราะโจทก์ประสงค์ที่จะเข้ารับตำแหน่งทางการเมืองที่กฎหมายห้ามมิให้โจทก์ถือหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ที่ขาดคุณธรรมทางภาษีและไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายภาษีอากร ในการจัดเก็บภาษีอากร ส่งผลให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างถูกต้องและแน่นอนตามเจตนารมณ์แห่งกฎหมาย ทั้งเป็นธุรกรรมที่ไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจนอกเหนือจากการหาประโยชน์อื่นรวมถึงภาษีเงินได้ และเป็นธุรกรรมที่ทำขึ้นเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมายอย่างร้ายแรง กรณีจึงไม่มีเหตุงดและลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่โจทก์ ส่วนประเด็นอื่น ไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6890/2568)
6) อาจกล่าวในอีกนัยหนึ่งได้ว่า ศาลฎีกาพบว่า ทักษิณ “ปกปิด”การถือหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น โดยให้บุคคลอื่น (รวมถึงลูก คือ พานทองแท้ และ พินทองทา) ถือหุ้นแทนเขา เหตุผลที่ให้บุคคลอื่นถือหุ้นแทน “เพราะประสงค์ที่จะเข้ารับตำแหน่งทางการเมือง” — ซึ่งตามกฎหมายห้ามให้เขาถือหุ้น ชินคอร์ปขณะดำรงตำแหน่งทางการเมือง
เจตนาของธุรกรรม
ศาลฎีกามองว่าโครงสร้างการถือหุ้นดังกล่าว “ทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ที่ขาดคุณธรรมทางภาษี” (tax avoidance) และ “ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายภาษีอากร” โดยเฉพาะเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ต้องการให้รัฐจัดเก็บภาษีได้อย่าง “ถูกต้องและแน่นอน”
ศาลฎีกาเห็นว่าการทำธุรกรรมนี้เป็น “ธุรกรรมที่ไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจนอกเหนือจากการหาประโยชน์อื่นรวมถึงภาษีเงินได้” ซึ่งแสดงว่าไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจปกติ (เช่นการลงทุน, การขยายกิจการ) แต่เน้นหลีกเลี่ยงภาษี
นอกจากนี้ ศาลฎีการะบุว่าเป็น “ธุรกรรมที่ทำขึ้นเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมายอย่างร้ายแรง” (severely unlawful) ในมุมภาษีอากร
ผลทางกฎหมาย — เบี้ยปรับและเงินเพิ่ม
แม้จะมีประเด็นว่าการประเมินภาษีของกรมสรรพากรอาจไม่สมบูรณ์ในกระบวนการ (เช่น เรื่องหมายเรียก) แต่ศาลฎีกาเห็นว่า พฤติการณ์ของนายทักษิณในฐานะตัวการไม่เปิดเผยชื่อย่อมต้องผูกพันต่อการออกหมายเรียกและการออกหนังสือแจ้งการประเมินภาษีของกรมสรรพากร และกรมสรรพากรมีสิทธิบังคับนายทักษิณผู้เป็นตัวการให้รับผิดในหนี้ภาษีอากรที่นายพานทองแท้และนางสาวพิณทองทาในฐานะตัวแทนทำขึ้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 820 ไม่มีเหตุให้งดหรือให้ลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม” แก่นายทักษิณ — เพราะการกระทำเบื้องหลังเป็นธุรกรรมหลบเลี่ยงภาษีอย่างจริงจัง
ด้วยเหตุนี้ ศาลฎีกาจึงยกฟ้องโจทก์ (นายทักษิณ) — หมายถึงไม่เพิกถอนการประเมินภาษี และให้กรมสรรพากรดำเนินการเก็บภาษีตามที่เรียกมา
ยอดเงินภาษีที่ต้องจ่าย
นายทักษิณต้องจ่ายภาษี 17,629.58 ล้านบาทพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามหนังสือแจ้งการประเมินภาษีอากร
วัส ติงสมิตร
นักวิชาการอิสระ
17 พฤศจิกายน 2568
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี